Group Blog
 
All blogs
 

วันนี้จะบ่นอะไรกันดี



เค้าบอกว่าขอให้งดเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง .. เอ.. ถ้าเขียนเชียร์รัฐประหารจะเข้าข่ายไม่สมควรด้วยหรือเปล่าเนี่ย..

ไม่เขียนก็ด้ะ.. เพื่อประโยชน์แก่สวัสดิภาพของบล็อคโดยรวม

ไอ้ผมก็ถนัดอยู่ไม่กี่เรื่อง หนังสือ ภาพยนตร์ ดนตรี ศาสนา การเมือง การมุ้ง การตลาด

เขียนไปเขียนมา ก็วนอยู่แค่นี้แหละ ร้อยบล็อค มีอยู่ไม่กี่เรื่อง

ที่จริงทุกชีวิตก็เหมือนกัน ลองสังเกตดูสิครับ มันมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก ที่เราวนๆเวียนๆกันเจอ อยู่ในโลกธรรม 8 นี่แหละ

หนังสือก็มีอยู่ไม่กี่แนว นิยายก็ผูกเรื่องจากพล็อตไม่กี่แบบ หนังหรือภาพยนตร์ ก็มีอยู่ไม่กี่ประเภท เพลงก็เหมือนกัน มีโน๊ตอยู่ไม่กี่ตัว

แต่ในความ "มีไม่กี่แบบ" มันก็สร้างรายละเอียดพิสดารได้มากมาย เป็นหนังสือ เพลง ภาพยนตร์ และชีวิตนับล้านๆได้อย่างน่าประหลาด

และถึงจะมีส่วนคล้ายกันอยู่ในหลายองค์ประกอบ แต่รายละเอียดมันก็ซับซ้อน พลิกแพลงได้อย่างน่าทึ่ง และต่อให้มันคือหนังเรื่องเดิม เพลงๆเดิม คนส่วนมากก็ยินดีที่จะพลีใจให้มันซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

ดาวพระศุกร์ สร้างมากี่หนแล้ว ใครจำได้ไหมครับ บ้านทรายทองล่ะ ละครเวทีอย่าง Phanthom Of The Opera เล่นมากี่หนแล้ว เพลงอย่าง Yesterday.. Can't Help Fallin In Love .. To Love Somebody .. Just The Way You Are .. Fly Me To The Moon ร้องกันมากี่เวอร์ชั่นแล้ว เดากันดูไหมครับ

ผมได้ยินคนบ่นบ่อยๆ ว่าเบื่อชีวิตที่ซ้ำซาก จำเจ เหมือนที่บิล เมอร์เรย์ เบื่อการต้องตื่นมาแล้วพบว่า ชีวิตมันก็เป็นแค่ Ground Hog Day เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ในหนังชื่อเดียวกัน "Ground Hog Day"

นี่ขนาดแค่ชีวิตนี้ ชีวิตเดียว เรายังเบื่อกันขนาดนี้ แล้วถ้าเราเกิดพบความจริงว่า ไอ้ชีวิตนี้มันก็เหมือนชีวิตที่เคยผ่านมา ไม่รู้กี่แสนโกฏชาติมาแล้ว เหมือนที่เราหายใจเข้าแล้วก็ออก เข้าแล้วก็ออก พวกเราก็เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เราจะเบื่อกันขนาดไหน

เรื่องนี้ เป็นเรื่องของความเชื่อนะครับ ไม่ได้บอกว่าคุณต้องเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แล้วจะเป็นคนฉลาด พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกให้เราเชื่อทุกอย่างที่ท่านตรัสไว้ ท่านเพียงแต่ท้าทายเชิญให้มาลองพิสูจน์เอง แล้วเราจะรู้เอง ว่าที่ท่านบอกเราไว้ มันจริงหรือเปล่า..

จริงไหมที่ว่า.. คนเราเป็นแค่ผู้อาศัยยืมกายมาจากโลกนี้ แต่ไม่ใช่เจ้าของกาย"จริงๆ"

เหมือนเราได้รถมาคันนึงให้ใช้ฟรีตลอดชีวิต เราอาจจะรู้สึกว่า รถคันนี้เป็นของเรา แต่คนที่มองทะลุ ก็จะเข้าใจได้ว่า เราแค่ "เป็นผู้ครอบครอง" แต่เราไม่ใช่เจ้าของจริงๆ

ถึงเวลารถมันจะเสื่อม มันจะเสีย มันจะทรุดโทรม มันจะเสียหลัก บังคับไม่อยู่ เราก็บังคับอะไรมันไม่ได้ ใช่ไหมครับ ทำได้แค่ดูแล บำรุงรักษา หมั่นฝึกขับขี่ให้ปลอดภัย อันนี้ อธิบายแล้วเข้าใจง่ายหน่อย ..

แต่พอพระพุทธเจ้าบอกว่า.. ไอ้ "จิต" ที่เรารู้สึกว่า มันคือ "ตัวเรา" ก็มีสถานะคล้ายๆกัน คือเราอยู่กับมันนาน จนเข้าใจว่ามันคือของๆเรา มันคือตัวตนคนเดียวกับเรา ทั้งๆที่จริง มันไม่ใช่หรอก มันมีธรรมชาติของมัน มันเป็นอิสระจากเรา

เหมือนเรามีเพื่อนสนิทตัวติดกันไปไหนไปกันเสมอ ตั้งแต่เกิดจนตาย จะมีคนมาบอกว่า ไอ้อีกคนที่ตัวติดกะเธอน่ะ มันไม่ใช่ "เธอ" หรอกนะ อย่าไปยึด อย่าไปแบกอะไรกับมันมาก เราคงคิดว่า ไอ้นี่ ท่าจะบ้า

ไม่จำเป็นผมถึงไม่ค่อยอยากพูดเรื่องพุทธศาสนาลึกๆมาก เพราะเดี๋ยวคุณจะเข้าใจว่าผมบ้า แล้วมันอาจจะพาลทำให้คุณไม่อยากยุ่งกับธรรมะ ซึ่งผมจะได้บาปมากกว่าบุญ

ศาสนาเรา ไม่ได้ต้องการศรัทธานำมากมายหรอกครับ เราเป็นศาสนาที่ต้องการให้คนตื่น ด้วยการสอนให้คนมีสติ มีสติก็จะมีศีล ไม่ทำบาป ทำชั่ว โดยอัตโนมัติ เมื่อมีสติ ก็จะไม่ฟุ้งซ่านนำไปสู่ความสงบ ได้สมาธิ แล้วก็จะก่อเกิดปัญญา อันนี้พูดแบบคร่าวๆมากเลยนะ

ถ้ามีปัญญาระดับนึง จะเข้าใจว่า ชีวิตก็ไม่ได้มีองค์ประกอบอะไรมากมายหรอกครับวันๆนึง ถ้าเราไม่สุข ก็ทุกข์ หรือไม่ก็เฉยๆ มีแค่นี้เอง

พิสดารที่สุด ก็แค่ สุขเจือทุกข์ปะแล่มๆ ทุกข์ฉาบด้วยสุขเหมือนน้ำตาลเคลือบยาขม หรือสุขที่ซ่อนทุกข์ก้อนโตไว้เหมือนภูเขาน้ำแข็ง อะไรทำนองนั้น

แล้วเราจะได้อะไรจากการ "รู้" ความจริงอันนี้ .. คุณคงสงสัยอย่างนั้น อันนี้ผมตอบคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะแต่ละคนเดินเข้าศึกษาธรรมะ ด้วยวัตถุประสงค์ความตั้งใจต่างกัน ประโยชน์ที่ได้ก็ต่างกัน

บางคนแค่อยากทำบุญ สร้างกุศล บางคนแค่อยากมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป บางคนอยากได้ความเย็นกาย เย็นใจ บางคนอยากเป็นคนฉลาดมีปัญญา บางคนอยากได้ดวงตาเห็นธรรม บางคนอยากไปนิพพาน

สำหรับผม ตอนเริ่มต้น ผมแค่อยากรู้สึกว่าได้ทำบุญ ไปๆมาๆ ผมถึงรู้ว่าบุญที่ผมได้มันมีอานิสงส์มากกว่านั้น

ยกตัวอย่าง.. ผมได้คำตอบหลายๆอย่างให้ชีวิตตัวเอง ผมไม่มีคำถามประเภท "คนเราเกิดมาทำไม" เหลืออยู่ในใจ หรือ "ชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ก็ไม่มี

เวลามีทุกข์ ผมก็จะทุกข์แบบ .. เออ.. มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละ เวลาสุข ก็จะไม่ได้สุขจนลืมโลก ชีวิตมันก็เลยดูเบาสบายดี เพราะไม่มีคำถามประเภท "ทำไมชั้นโชคร้ายแบบนี้" หรือ "เมื่อไหร่ชั้นจะหลุดจากอาการเศร้าเสียใจนี้ซักที"

ผมยังดูหนังได้ ยังฟังเพลงเพราะนะ ผมยังไม่ได้ละกิเลสอะไรมากไปกว่าที่รู้ทันมัน คนจำนวนมากเข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าการเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า คือผู้ละแล้วซึ่งกิเลสทุกประการ อันนั้นควรจะเป็นเรื่องของพระน่ะ แต่ฆราวาสอย่างเรา ยังไม่ต้องครับ เอาแค่ฝึกมีสติ รู้สึกตัวบ่อยๆ จนมันระลึกรู้ขึ้นได้เอง แค่นั้นก็บุญโขแล้ว

เขียนยาวมาก จนมีคนบ่นทาง msn งั้นพอแล้วเนาะ ฟังเพลงๆ ผมมีเพลงนี้ หลายฉบับเหลือเกิน ตั้งแต่ต้นฉบับอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ไปจนถึงฉบับหลังสุดฉบับนี้ โดย อันเดรีย บอแชลลี่



ใครชอบเพลงนี้ ไปหาซื้อได้ ชื่อ Andrea Bocelli ชุด Amore ผมซื้อชุดนี้มาจากร้าน โดเรมี สยามแสควร์ ราคา สองร้อยกว่าบาท มีเพลงเพราะจุใจเต็มอัลบั้ม ร้านป้าโดเรมีเธอย้ายไปอยู่เวิ้งด้านหลัง ใกล้ๆ ร้านจุฑารส นะครับ

คุณอันเดรีย เป็นผู้ชายอิตาเลี่ยนตาบอดคนนึงครับ แต่ฟังเสียงเขาดูเถอะ เสียงดีเหลือรับประทาน ขนาด เซลีน ดิออน นักร้องที่ร้องเพลง My Heart Will Go On ยังเคยบอกว่า ถ้าพระเจ้ามีจริงแล้วพูดได้ เธอเชื่อว่าเสียงของพระเจ้าก็คงคล้ายๆเสียงของ อันเดรีย บอแชลลี่ นี่แหละ

ในความโชคร้าย มันจะมาพร้อมโชคดีเสมอครับ อยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

สุขสันต์วันเสาร์นะครับ




 

Create Date : 23 กันยายน 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 14:13:12 น.
Counter : 2408 Pageviews.  

Tango In Tango Out.. Just Tango On


(ภาพจาก //www.globalartdepot.com)

สมัยอยู่ ม.6 ผมต้องเรียนวิชากิจกรรมเข้าจังหวะ เรียกง่ายๆว่า ลีลาศ เป็นหลักสูตรอันนึงที่ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าเลือกเรียนได้ จะเลือกไหม

ไม่ใช่เพราะไม่ชอบเต้นรำ แต่เพราะผมเรียนโรงเรียนชายล้วน เวลาเรียนมันก็ต้องเต้นกันเองนี่แหละ ง่า....

ปกติเวลาเรียนครูจะให้เริ่มจากท่าพื้นฐานอย่าง วอลซ์ บีกิน ช่าช่าช่า รุมบ้า ที่ถ้าใครมาเห็นพวกผมเต้นคงรู้ทันทีว่าเต้นสะเต็ปอะไร เพราะจะเหมือนคนบ้า มารุมกัน

ท่าที่ผมลืมไปแล้วว่าเต้นยังไง ก็มี กัวราช่า ที่สมัยเล่นดนตรีให้วงของมหาวิทยาลัย พวกผมเรียกกันเล่นๆตามรุ่นพี่ว่า "กลัวล่าช้า"

แต่ท่าที่ยากที่สุดและอาจารย์สอนเป็นท่าสุดท้าย โดยผมไม่เคยเข้าใจและยังเต้นไม่ได้จนบัดนี้ คือ "แทงโก้" ครับ

ว่ากันว่า แทงโก้ เป็นท่าเต้นรำคู่ ที่เก่าแก่เป็นอันดับสามของโลกตะวันตก

ตามประวัติศาสตร์ เขาบันทึกว่า เวียนนาวอลซ์ (Waltz) ที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1830 เป็นการเต้นรำคู่ ชายหญิงที่เก่าแก่ที่สุด

โพลก้า (Polka) ที่นิยมกันในยุโรปช่วงทศวรรษ 1840 มาเป็นอันดับสอง อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าใช่การเต้นรำที่เห็นในหนังเรื่อง Pride & Prejudice หรือเปล่า

จุดกำเนิดของแทงโก้ เกิดขึ้นในอาร์เจนติน่า โดยได้อิทธิพลดนตรีจากสเปน ซึ่งเป็นผู้ปกครองอาร์เจนติน่าในยุคโน้น โดยมีจุดเด่นที่เป็นท่าทางการเต้นรำที่ต้องใช้การ Improvisation หรือการอาศัยไหวพริบปฏิภาณเยอะ ไม่มีท่าบังคับแยะเหมือน ท่าลีลาศอื่นๆ จะเรียกว่าต้องเต้นไปดำน้ำไปก็ต้องบอกว่า ต้องดำน้ำอย่างมีศิลปะขั้นเอกอุ

สังเกตว่าในหนังที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Ballroom dancing จะให้เครดิตการเต้นแทงโก้ไว้สูงทีเดียว เพราะแทงโก้ ต้องใช้ทั้งทักษะ ความแข็งแรง ความพลิ้วไหว และอารมณ์ และออกจะเป็นท่าเต้นที่อีโรติคเอาการ ถ้าดูจากในหนังนะครับ

ตัวอย่างหนังอย่าง Shall We Dance ซึ่งริชาร์ด เกียร์แสดงกับ เจ-โล หรืออีกเรื่องที่แทงโก้เด่นมาก คือ Take The Lead ครับ ต้องดูฉากที่ แอนโทนิโอ แบนเดรัส เอาลูกศิษย์สาวสวยมาเต้นแทงโก้โชว์ ให้กลุ่มเด็กเหลือขอดู จะเข้าใจว่ามันสวยแบบอีโรติคยังไง

ผมมีหนังโปรดเรื่องนึง ชอบมากแม้เวลาจะผ่านไปนานสิบกว่าปี คือเรื่อง Scent Of A Woman ที่อัล ปาชิโนได้ออสการ์จากเรื่องนี้

ลุงปาชิโนแกเล่นเป็น ผู้พันสเลด อดีตนายทหารผู้มีประวัติโชกโชน แต่ตาบอดเพราะเมาเหล้าแล้วเล่นระเบิดจนเกิดตูมขึ้นมา ตั้งแต่นั้นชีวิตแกก็เริ่มมืดมนพร้อมๆกับตาที่บอดลง จนกระทั่งวันนึง ที่เด็กหนุ่มบ้านนอกจิตใจดี ใสซื่อ อ่อนต่อโลก มารับจ๊อบเป็นคนคอยเฝ้าผู้พันสเลด และถูกลากให้ไปท่องโลกผจญภัยกับผู้พันสเลด ในนิวยอร์ค

ในระหว่างนั้นแหละครับ ที่ผู้พันสเลด ได้แสดงความสามารถในการเดาลักษณะผู้หญิงสวยได้จากกลิ่นหอมของผู้หญิง ว่าคนใช้สบู่กลิ่นนี้ ยี่ห้ออะไร น้ำหอมยี่ห้ออะไร ลักษณะจะเป็นแบบไหน และสามารถเต้นแทงโก้ได้อย่างสวยงาม พร้อมกับสอนสหายหนุ่มว่า ....ศิลปะการเต้นแทงโก้ ก็เหมือนศิลปะการใช้ชีวิตนั่นแหละ


(ภาพฉากเต้นรำจาก Scent of A Woman)

Tango in, Tango out... just Tango on.. มันไม่ตรงจังหวะเป๊ะๆ หรอก ช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่ขอให้เต้นต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องที่ใช้ "ใจ" ใช้ ความรู้สึกมากกว่าความพอดี หรือลงตัว

ผมไม่กล้าบอกว่า อยากให้คุณดูหนังเรื่องนี้แล้วคุณจะชอบเหมือนผม นอกเสียจากคุณจะไม่รังเกียจหนังดราม่า แต่ผมกล้าบอกได้ว่านี่เป็นหนังดีมากนะครับ ผมมีเก็บไว้ดูแล้ว เวลาเปิดเจอใน cinemax ก็ยังต้องนั่งดูอีกจนลืมเวลา

จะดูหนังไม่ดู ก็ช่างเถอะครับ จะเต้นแทงโก้ไม่เต้น ก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้คุณใช้ชีวิตให้มีชีวา เหมือนลีลาแทงโก้

จำไว้ว่า.. Tango in.. Tango out .. Just Tango on.. ชีวิตมันไม่ลงตัวเป๊ะๆตลอดเวลาหรอกครับ มันขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง แต่ก็ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องคิดมาก ใช้ชีวิตให้ดีที่สุดต่อไปเท่านั้นแหละ



เพลงวันนี้ไม่ใช่แทงโก้นะครับ ผมก็เพิ่งค้นพบว่า ผมมีเพลงแทงโก้ในห้องสมุดเพลงของผมน้อยจนหาไม่เจอเลยสักเพลง ฟังเอาอารมณ์หวานๆไปก็แล้วกันนะ

นอนหลับฝันดีทุกท่านครับ




 

Create Date : 19 กันยายน 2549    
Last Update : 23 กันยายน 2549 10:33:10 น.
Counter : 3723 Pageviews.  

การตลาด เมื่อชื่อนั้นสำคัญไฉน

สมัยผมยังเป็นขาประจำตอบกระทู้ในพันทิพ มีคนชมผมบ่อยๆ ว่าผมดูเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้หญิงดี

เชื่อไหม ว่าผมกลับรู้สึกว่า ผมไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิงเท่าไหร่ แต่ผมเข้าใจ "มนุษย์" มากกว่า เพราะมนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุดก็จริง แต่เราก็ต้องการอะไรเหมือนๆกัน ไม่กี่อย่างหรอก

ปริมาณที่ต้องการ อาจจะแตกต่าง แต่ประเภทความต้องการไม่ต่างกันมากหรอกครับ ลำดับขั้นความต้องการที่คุณมาสโลว์ อธิบายไว้ตั้งแต่ปัจจัยสี่ ไปจนถึงการบรรลุถึงความต้องการขั้นสูงสุด มันก็ยังพอใช้ได้เสมอ

ด้วยความที่ผมทำงานเกี่ยวข้องการการตลาดมานาน บางเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีนึกคิดของมนุษย์บางคนก็ทำให้ผมอดขำไม่ได้นะ..

ตัวอย่าง.. เดี๋ยวนี้เรามีเสื้อผ้าผู้หญิงทันสมัยขายดี ในชื่อยี่ห้อว่า "Playboy" ซึ่งควรจะเป็นชื่อที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคุณผู้หญิงเป็นอย่างยิ่ง สังเกตได้ว่า เสื้อผ้ายี่ห้อนี้จะออกแนวๆ ชุดชั้นในที่ไม่ต้องสวมอะไรคลุม ใส่แล้วดูหวิวๆขัดใจแม่ไปถึงคุณระเบียบรัตน์ แต่แน่ชัดได้ว่าต้องถูกใจเพลย์บอย

สรุปว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิง (โดยผู้หญิงหรือไม่ ไม่ทราบ) ชื่อผู้ชาย เพื่อผู้หญิงใส่ ให้ผู้ชายดู

เข้าใจไหมนี่...

ต่อมา ผมเห็นยี่ห้อเครื่องสำอางที่อ่านชื่อแล้วก็ขำว่า "Etude"

คือผมคงเป็นคนพิเรนท์ เห็นแว้บแล้วก็อ่านไปว่า " E -ตูด" เอ่อ.........

อันนั้นมันเป็นเรื่องการพ้องเสียงที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เป็นปัญหาเรื่องภาษา ไม่ใช่วิธีคิดแบบกรณีแรก

เหมือนแฟชั่นแบรนด์อย่าง Prada ที่ผมเคยอำหลายคนว่ามาจากชื่อคนไทยว่า "ป้าดา" ที่ขายเครื่องหนังอยู่แถวบางลำภู อิอิอิ

แต่ยี่ห้อที่ตั้งชื่อได้สะดุดตาสะดุดใจผมเหลือเกินต้องยี่ห้อนี้ครับ "FCUK" โอ้วววว.... เหนือคำบรรยาย (จะบอกว่าบรรตา ก็กลัวมุกแป้ก ฮี่ๆๆๆ)

ที่จริงมีสาวผู้รอบรู้เรื่องแฟชั่นเธอบอกผมว่า ชื่อยี่ห้อนี้มันมาจาก "French Connection United Kingdom" แต่ผมก็ชอบจำเป็น "Fashion City UK." บอกแล้วว่าผมความจำสั้นเหมือนปลาทองไง เอิก เอิก

สินค้าผู้ชายก็มีเกร็ดเยอะนะ เวลาเรียนพวกการตลาดจะฮามาก อย่างโฆษณาเสื้อผ้าส่วนมากจะต้องใช้นายแบบผู้ชายฝรั่ง หรือลูกครึ่งให้ดูคอเคเชี่ยนหน่อย.. เพราะเขาไปวิจัยมาว่าถ้าใช้นายแบบผู้ชายไทย จะขายไม่ดี

เรื่องผลวิจัยที่ว่า อันนี้ไม่เห็นจริงเลย มันอยู่ที่วิธีคัดนายแบบมามากกว่า เชื่อไหมว่าผู้ชายไม่ชอบดูโฆษณาเสื้อผ้าที่นายแบบหล่อกว่าตัวเอง มันเป็นอีโก้แบบนึงที่ผู้ชายไม่ต้องการหล่อตามแบบดาราหรือนายแบบคนไหน

ที่สำคัญ ต้องไม่เชื่อโฆษณามาก เพราะถ้าเลือกไม่ดี เสื้อที่นายแบบคอเคเชี่ยนใส่ เราใส่แล้วอาจจะดูอัลเซเชี่ยนเอาง่ายๆ

อีกอย่าง .. เขาจะเชื่อกันในยุคนึงว่าเสื้อผ้าผู้ชายต้องเป็นชื่อฝรั่งเท่านั้น จะตั้งยี่ห้อ พล นิกร กิมหงวน ดิเรก ดำรง สมันน้อย ไม่ได้ เราเลยมีชื่ออย่าง ปิแอร์ กะแด็ง อะเลน เดอล็อง ทอม เทเลอร์ ทอมมี่ ฮิลฟิเกอร์ ฌองปอล แกดูแย่.. (เอ้ย..อันหลังนี่มันของผู้หญิง ไม่ใช่เรอะ)

จำได้ว่าไอ้แบรนด์ชื่อฝรั่งเศสนี่ ดังมากในสมัยยุคผมเป็นนักเรียน เป็นยุคเริ่มต้นของคนใส่เสื้อโชว์ยี่ห้อ จนบางทีผมไม่แน่ใจว่า เราซื้อเสื้อผ้าเพื่อมาช่วยเขาโฆษณายี่ห้อเขาหรือยังไง

ส่วนถ้าเป็นพวก แบรนด์ของคนไทยเอง ยี่ห้อ Domon และ Soda จะดังมาก พอๆกับความนิยมในเสื้อผ้าที่ตัดด้วย ลินิน สมัยนั้นเด็กทุนน้อยอย่างผมจะไปเดินซื้อผ้ากับพี่สาวที่สำเพ็ง แล้วนั่งรถเมล์ไปให้ร้านแถวๆบรรทัดทองตัด

อยากได้ยี่ห้ออะไรบอก.. บรรทัดทองจัดให้ ชาลส์ จูด็อง หรือ เอเตียง แอคเนอร์ ทำได้หมด ฮ่าๆๆ ตัดที่ไหนไม่สำคัญ ขอให้มีแถบชื่อยี่ห้อเท่ๆ แลบออกมาแถวฝากระเป๋าหลัง ตอนโน้น จิออร์จิโอ อาร์มานี่ คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักนะครับ เวอร์ซาชี่ ดังแล้ว คริสเตียน ดิออร์ ดังแล้ว แต่ในเรื่องเครื่องสำอางค์มากกว่า

ยุคนี้เสื้อผ้าแฟชั่น ผู้หญิงแบกะดิน ร้อยกว่าบาทสวยๆเยอะนะครับ ของผู้ชายก็พอมี แต่สมัยผมเด็กๆ อยากดูดีต้องมีตังค์ซื้อแบรนด์เนม หรือไม่ก็ซื้อผ้าสำเพ็งมาจ้างเขาตัดนั่นแหละ ไปรอซื้อตามแผง ไม่ค่อยมี นอกจากเสื้อเชิ้ต กะเสื้อยืด

แหม..คุณผู้หญิงอมยิ้มไปเถอะ มีช่วงนึงที่สาวๆทันสมัยชอบใส่เสื้อคอกระเช้า มีระบายลูกไม้ ทำผมมวย คือจะบอกว่า ถ้าไอ้แบบนี้เรียกว่าทันสมัย คุณย่าผมต้องโคตะระ ทันสมัยเลย ผมตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เห็นอาม่าผมใส่เสื้อแบบเนี้ย ทำผมมวยอยู่บ้านมานานแล้ว อิอิอิ

อีกอันที่ผมขำๆ คือเสื้อแบบที่เหมือนชุดนอนหรือซับใน ผมว่ามันเหมือนใส่ชุดนอนมาเดินสยาม หรือเอายกทรงมาไว้ข้างนอก เหมือนที่เราเคยหัวเราะว่าซุปเปอร์แมนชอบใส่กางเกงในไว้ข้างนอกนั่นแหละ

อ่านเล่นๆ พอขำขำนะครับ อย่าจริงจัง ผมเขียนเรื่องฮาๆ ไม่เก่งอย่างคุณสมันน้อยฯ หรือหนุ่มดำรงเฮฮา

พูดถึงสองคนนี้ จะแนะนำว่า ถ้าวันไหนเครียดๆ ไปนั่งอ่านสองบล็อคนี้ จะช่วยได้มาก

ถ้าอยากอ่านเรื่องแล้วมีรูปน่ารักๆ แบบ handmade ไปดูบล็อคคุณ Q Nuh นะครับ

ถ้าอยากฟังเพลงดีๆ ทันสมัย จ๊าบๆ หน่อย ต้องไปบล็อค king of pain แต่ถ้าชอบเพลงเชยๆก็อยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวจัดให้

ถ้าอยากฟังของแปลก.. ออกแนวอุบาทว์นิดๆ แต่แจ๋วดี ลองไปบล็อค กึ่งยิงกึ่งผ่านนะครับ

สายแล้ว ขอไปทำงานก่อนนะครับ ไม่มีเวลาใส่ทั้งรูป ทั้งเพลง

จบมันดื้อๆแบบนี้แหละ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเท่ เกี่ยวกับเรื่องไปทำงานสาย!!




 

Create Date : 18 กันยายน 2549    
Last Update : 19 กันยายน 2549 1:02:43 น.
Counter : 1263 Pageviews.  

Click และชีวิตจริง



คุณเคยนึกอยาก Fast Forward ชีวิตตัวเองไปให้ถึงวันที่คุณประสบความสำเร็จไหม

หรือถ้าคุณกำลังมีทุกข์ระทม จนงมหาตัวเองไม่ค่อยเจอ คุณเคยอยาก skip กดข้ามชีวิตตอนนั้นไปหรือเปล่า

คุณเป็นพวกที่เห็นงาน เห็นเงินสำคัญกว่าครอบครัว สำคัญกว่าเวลาที่คุณจะมีให้คนที่คุณรักหรือเปล่า

ถ้าคำตอบคือใช่.. Click คือหนังที่คุณควรดู

หนังดีนะครับ ตลกด้วย

แต่พูดก็พูดเถอะ เมื่อคืนผมส่ง Proposal ให้ทางอเมริกาเสร็จตอนตีสอง ..ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง..

ทำไปก็ง่วงไป แทบจะหลับคาโต๊ะ ตาลายแล้วลายอีก
เพราะมันต้องคำนวณตัวเลขจากหลาย sheet มารวมกัน
นั่งเพ่งแล้ว เพ่งอีก เล็งแล้วเล็งอีก

นอนแล้วยังเก็บไปฝัน ตื่นมาก็เสียวๆ ว่าเมื่อคืนทำตัวเลขถูกหรือเปล่า เงินเป็นหลักล้านเหรียญเชียวนา แอสตันเอ๊ยยย

เกิดมาอุตส่าห์เรียนศิลป์ภาษา เพื่อหนีเลข แต่ลงท้ายทำงานไป ทำงานมา ก็ต้องอยู่กับตัวเลข
กรรมของเวร เวรของกรรม ใครทำไว้



ผมไม่ได้เห็นแก่เงินนะ ไม่ได้บ้างานด้วย อยากกลับบ้านนอนจะตายชัก แต่มันเป็นความรับผิดชอบของผมที่จะต้องทำให้เสร็จ ก็ต้องทำ

จริงๆก็ไม่ควรดึกขนาดนั้นหรอก แต่ผมต้องออกไปตอนห้าโมงครึ่ง เพื่อไปงานแต่งงานแล้วก็กลับมาทำต่อ ตอน สี่ทุ่ม

โชคดีที่ไม่มีใครรอผมอยู่ที่บ้าน จะบ้างานขนาดไหน ก็ไม่เดือดร้อนใคร และหวังว่าจะไม่มีใครต้องทำแบบผมนะ

ไปดูหนังเถอะครับแล้วมาคุยกัน
สุขสันต์วันเสาร์ครับ





 

Create Date : 16 กันยายน 2549    
Last Update : 16 กันยายน 2549 21:51:46 น.
Counter : 1253 Pageviews.  

ทุกก้าว คือทางเลือกของชีวิต



มีคนบอกว่า.. ธรรมชาติให้ทางเลือกกับพวกเรา
ให้โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ทุกวัน ทุกๆเช้า
ธรรมชาติถึงได้กำหนดให้ทุกคนต้องนอนหลับ
เพื่อปิดท้ายวันด้วยการรีเซทร่างกายและจิตใจใหม่

น่าสนใจนะครับ ..คนจำนวนมาก เลือกใช้โอกาสนั้น ด้วยการยึดติดกับเมื่อวาน มากกว่าอยู่กับปัจจุบัน

ไม่ได้บอกว่า.. ชีวิตที่ผ่านไปทุกวัน ต้องมีแต่เรื่องดีๆนะครับ
คนเราเกิดมา มีชีวิตปกติ ก็ต้องมีทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย
มีโชคดี โชคร้าย มีเวลาสุข มีเวลาทุกข์ มีได้มา มีเสียไป
มีสมหวัง มีผิดหวังกันทุกคน

สมัยพุทธกาล มีบันทึกเรื่องของนางปฏาจลา (ไม่แน่ใจเรื่องตัวสะกดนะครับ) ที่สูญเสียทั้งทรัพย์สิน สามี ลูกๆ ไปพร้อมๆกัน เธอแทบเสียสติ เดินร้องไห้คร่ำครวญ ไปตามถนน

โชคดีที่เธอมีบุญเก่า ได้พบพระพุทธเจ้า
เธอเข้าไปขอให้ทรงช่วยชุบชีวิตสามีและลูกๆของเธอกลับคืนมา

ท่านจึงทรงเตือนสติว่า.. ปฏาจลาเอ๋ย ถ้าเธอหาเมล็ดข้าวจากบ้านที่ไม่เคยมีใครสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวเลย มาให้ตถาคตได้ ตถาคตจะทำตามคำขอของเธอ..

ผมเคยพูดถึง โลกธรรม 8 ว่าเป็นธรรมชาติที่เป็นความจริงคู่โลก 8 อย่าง ประกอบด้วยทางดี 4 อย่าง มียศ มีลาภ มีสุข มีสรรเสริญ ทางร้าย 4 อย่าง เสื่อมยศ เสื่อมลาภ เป็นทุกข์ และมีนินทา

ผมเชื่อสิ่งที่เคยอ่านจากที่ไหนสักที่ว่า ธรรมชาติ ให้ดวงตาสองดวงไว้ข้างหน้า เพื่อจะได้มองไปข้างหน้า มากกว่าเหลียวมาข้างหลัง

แต่ธรรมชาติสร้างวิธีเดินไปข้างหน้าไว้น่าสนใจนะครับ
พอดีวันนี้ ผมมีช่วงว่างที่ต้องยืนรออะไรบางอย่างนานพอควร เลยถือโอกาสทำความรู้สึกตัวในกิริยาเดิน ผมถึงเห็นว่า ทุกครั้งที่เราจะเดินไปข้างหน้า เราต้องยอมให้เท้าอีกข้างมันอยู่ข้างหลัง

ถ้าไม่ยอมให้มีเท้านึงไว้ข้างหลัง เราจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลย

และไอ้เท้าที่อยู่ข้างหลังนั่นแหละ เราต้องยอมทิ้งมันไป เพื่อจะสร้างก้าวใหม่ขึ้นมา ส่วนไอ้ก้าวที่เป็นเท้าหน้า ไม่ช้า มันก็จะกลายเป็นเท้าหลัง เหมือนจะมีอนาคตใหม่ ก็ต้องปล่อยอดีตที่อยู่ข้างหลังทิ้งไป วนเวียนเป็นวัฏจักรไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเดินไม่ไหว

ผมรู้ว่า ในบางเวลาของชีวิต เมื่อบางอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ไม่ดีอย่างที่ใจหวัง ไม่สมหวังในสิ่งที่ตั้งใจไว้ มันขมขื่น ไม่ใช่เล่น เหมือนเราเดินแล้วสะดุดยังไงยังงั้น

แต่เชื่อไว้นะครับ ถ้าเรายังเดินไหว ถ้าเราไม่หยุดเดิน
ทุกอย่างก็จะเป็นแค่ก้าวๆหนึ่งในชีวิต ที่เราเดินผ่าน

สุขก็หนึ่งก้าว ทุกข์ก็หนึ่งก้าว เท่ากัน หนึ่งขณะจิตเท่ากัน
ปัญหาคือเรามักจะชอบอยู่กับความสุข ก้าวแล้วหยุด ไม่อยากเดินต่อไปไหน อยากให้มันอยู่ตรงนั้นนานๆ

เวลาก้าวแล้วเจอทุกข์ ก็จมอยู่กับทุกข์นานๆ เหมือนเล่นมิวสิควีดีโอ ฝนตกกระจกแตก

ทั้งๆที่แค่ก้าวใหม่ไปเรื่อยๆ กลับบ้านนอน.. ตื่นมาก็วันใหม่แล้ว

อย่างที่บอก.. ไม่มีใครสมหวังในทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครผิดหวังในทุกเรื่อง

แค่วางใจให้ถูก มีสติ ก็เชื่อได้ว่าคุณจะไม่ก้าวพลาดง่ายๆ จนตกหลุมพรางของความสมหวัง หรือผิดหวัง

เลือกหยุด เลือกเดินให้ถูกจังหวะ ให้พอเหมาะพอควร และมีสติไว้นะครับ

ส่งท้าย.. ด้วยเรื่องที่อาจจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อโดยตรง
อยากบันทึกไว้ว่า .. สำหรับใครที่มีคนทำให้คุณผิดหวัง ผมมีหลักอยู่ข้อนึงว่า..

We don't have to be friends but we don't have to be strangers.
We don't have to be lovers but we don't have to hate each other.

นอนหลับฝันดี ทุกท่านนะครับ




 

Create Date : 14 กันยายน 2549    
Last Update : 15 กันยายน 2549 0:19:42 น.
Counter : 4263 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.