Group Blog
 
All blogs
 

ใบไม้หนึ่งกำมือ



เคยได้ยินนิทานเรื่องนักศึกษากับคนแจวเรือไหมครับ

ที่มีนักศึกษาคนนึง จบโทจาก MIT และกำลังทำปริญญาเอก ที่ฮาร์วาร์ด
นั่งเรือแจวข้ามฟากจากริมฝั่งจะไปเที่ยวเกาะ
แล้วถามคำถามยากๆต่างๆกับคนแจวเรือ

นักศึกษาหนุ่มถามคนแจวเรือ เรื่องโลกาภิวัฒน์ เรื่อง GDP เรื่องนาโนเทคโนโลยี
เรื่องทฤษฎีการเกิดกาแลคซี่ เรื่องแคลคูลัส ตรีโกณมิติ พลังงานฟิวชั่น

คนแจวเรือ ที่เรียนไม่จบกระทั่ง ป. 4 ตอบไม่ได้สักคำถาม นักศึกษาจึงหัวเราะชอบใจ
เขาภูมิใจในความรอบรู้ของตัวเอง และสมเพชในความเขลาของคนแจวเรือ

กระทั่งเรือแจวแล่นมาถึงกลางทะเล ลมก็เริ่มพัดแรง
ฝนเทกระหน่ำ คลื่นเริ่มเชี่ยวกราก

คนแจวเรือ ที่เงียบงันมาตลอดทาง ถามนักศึกษาว่า "พ่อหนุ่ม ว่ายน้ำเป็นไหม"
นักศึกษาหนุ่ม ตัวสั่นงันงก แต่ไม่ทันจะได้ตอบ เรือก็ถูกคลื่นใหญ่ซัดจนจมคว่ำ

คนแจวเรือ ว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ปลอดภัย แต่นักศึกษาหนุ่มจมน้ำตาย
ความรู้มากมายหลายปริญญา ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ในนาทีวิกฤต

ผมนึกถึงนิทานเรื่องนี้ หลังจากที่ฟังพี่ซัน มาโนช
เล่าเรื่องที่เพื่อนของพี่ซันส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ

พ่อของเด็ก มักจะมาเล่าให้พี่ซันฟังถึงความฉลาดของลูกว่า เรียนโรงเรียนนี้ดีเลิศ
สอนให้เด็กป.1 ฉลาดรอบรู้ ถามคำถามพ่อแต่ละอย่าง พ่อยังตอบไม่ได้เลย

แต่อยู่มาวันหนึ่ง โรงเรียนจะจัดพิธีไหว้ครู
และบอกให้เด็กไปเตรียมหา ธูปเทียน หญ้าแพรก ดอกเข็มมาให้พร้อม

เด็กกลับบ้าน ไปถามพ่อว่า "พ่อ พ่อ.. ไอ้หญ้าแพรก กะดอกเข็มนี่ มีขายที่เซเว่นไหม?"

ผมแอบสังเกตว่า ระบบการศึกษาปัจจุบัน มักจะแข่งกันสอนเรื่องไกลตัว
ยิ่งรู้อะไรประหลาดพิสดาร ถึงดาวเนปจูนพลูโต ยิ่งน่าภูมิใจ

แต่ไม่ค่อยใส่ใจความรู้พื้นฐาน ง่ายๆ ใกล้ๆตัว เช่นไม่รู้จักหญ้าแพรก
เด็กรุ่นใหม่ๆ แยกไม่ออกนะครับ ว่าใบกระเพรากับโหระพามันต่างกันยังไง

หรือเรื่องพื้นฐาน แต่มีคุณค่ามหาศาล อย่างความรู้ว่าด้วย "ตัวเรา"
เพราะเราเป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง

เราถึงพลาดอะไรหลายอย่างดีๆในชีวิต เพราะมัวแต่รู้สึกว่า
ธรรมะเป็นเรื่องเชย เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องของคนแก่ คนอกหัก รักคุด เป็นเรื่องไกลตัว

หลายคนเรียนจนจบปริญญาโท ก็ยังไม่รู้จักตัวเอง
ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร
ไม่รู้ว่า จุดหมายของชีวิตอยู่ตรงไหน

หรือยังเข้าใจว่า.. การปฏิบัติธรรม คือการนุ่งห่มขาว อดข้าวเย็น
ถือศีล เดินจงกรม นั่งสมาธิอย่างเดียว

หรือการเป็นชาวพุทธ คือการไปวัดทำบุญ ใส่บาตร แล้วจบ

ความรู้ในโลก มีมากมายเหมือนใบไม้ในป่า
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านจะสอนเพียงแค่ ใบไม้หนึ่งกำมือ
ใบไม้หนึ่งกำมือของท่าน คือความรู้ที่เพียงพอต่อการจะเดินไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์

ถึงวันนี้ เราจะยังไม่หลุดพ้น หรือไม่เชื่อว่าตายแล้วจะเกิดอีก
แต่ความรู้แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของท่าน
ก็เพียงพอที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตด้วยสติและปัญญา
โดยเฉพาะเวลาที่คลื่นลมในชีวิตมันเชี่ยวกราก

เพราะเราไม่รู้ว่านาวาชีวิตที่เรานั่งอยู่ มันจะเจอคลื่นลม
จะจมเพราะพายุเมื่อไหร่ หรือจะรั่วจนล่มลงวันไหน

มีใบไม้หนึ่งกำมือติดตัวไว้ ก็ไม่เลวนะครับ

14 ตุลา มาเขียนเพิ่ม

สำหรับท่านอื่นที่เพิ่งมาอ่าน หรือแวะกลับมา
ในส่วนที่ผมอยากบอก ไม่ได้จะบอกว่า
ให้เลิกเรียนปริญญาตรี โท เอก แล้วมาเรียนธรรมะอย่างเดียวหรอกนะครับ

หมายถึงว่า ความรู้ในโลกมีเยอะแยะ
เรียนไปเถอะครับ ที่อยากเรียน ที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อท่าน

แต่อย่าดูแคลนคนที่ไม่ได้เรียนอย่างเรา ประการหนึ่ง
และอย่าลืมศึกษาใบไม้หนึ่งกำมือของพระพุทธเจ้าท่านด้วย

เพราะในเวลาที่ชีวิตเรามีวิกฤต ใบไม้หนึ่งกำมือนี่แหละจะช่วยท่านได้
อันนี้ไม่ได้ดูแคลนคนที่ไม่สนใจธรรมะนะครับ

อย่างที่บอกเสมอว่า.. ผมทำได้แค่บอกว่ามีทางเดินอยู่
ใครจะเดินก็ได้ ไม่เดินก็ได้ เราต่างมีชีวิตของตัวเอง

ว่ากันไม่ได้ครับ





 

Create Date : 03 ตุลาคม 2550    
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 9:32:08 น.
Counter : 2552 Pageviews.  

ความสุขของกะทะ



(รูปจากไดอารี่เพื่อนคนนึง ที่เจ้าตัวคงไม่หวง)

ไม่ได้จะมาล้อเลียนหนังสือระดับซีไรท์หรอกนะครับ

แค่นั่งฟังซีดีหลวงอาสอนเรื่องความสุขแบบโลกๆ ตอนขับรถไปทำงาน แล้วรู้สึกอย่างนั้น

รู้สึกว่าตัวเองเป็นกะทะ

กะทะ อย่างที่ทราบว่า มันเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำครัว
แต่เวลามันจะโดนใช้งานที หรือพูดหรูๆ ก็ว่า จะได้สัมผัสของอร่อย
มันเป็นต้องจับตั้งบนไฟให้ร้อนซะก่อน

แถมยังได้เกลือกกลั้วกับอาหารอร่อยๆชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
ทั้งๆที่ อุตส่าห์ทนร้อนอยู่ตั้งนานสองนาน

ผมเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป
มีชีวิตแบบกะทะ ที่สุขอะไร ก็ได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ไม่จีรังยั่งยืน

ลองนึกย้อนไปเล่นๆก็ได้ว่า ครั้งหลังสุดที่คุณมีความสุขสุดๆ คือเมื่อไหร่
แล้วความสุขนั้นมันยืนยาวได้กี่ปี กี่เดือน กี่สัปดาห์ กี่ชั่วโมง กี่นาที

แถมก่อนจะสุข ก็มักจะต้องโดนเผาด้วยกิเลส ด้วยความอยากเสียก่อน
อยากได้ อยากดี อยากมี อยากดู อยากเห็น อยากเป็น

อันนี้เผลอๆบางที จะเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
อย่างไปชอบสาวสวยคนนึง ยังไม่ต้องรู้จักหรอก แค่อยากพูดด้วย ก็ทุกข์แล้ว
แต่เวลาทุกข์ตอนไปชอบเขานี่ มันมองข้ามตัวทุกข์ไปง่ายๆซะงั้น

แล้วในชีวิตจริง เรื่องแบบนี้ มันก็ทุกข์กันได้ตลอดทั้งกระบวนการ
อยากรู้จัก ก็ทุกข์ เพราะไม่รู้เขาจะยินดีไหม
อยากคุยด้วย ก็ไม่รู้เขาจะอยากคุยด้วยไหม
พอรู้จักมักคุ้นแล้ว ก็อยากได้เบอร์ อยากให้เขาชอบ อยากให้เขาดีกับเรา
อยากให้เขาเห็นหัวเรา อยากให้เขารัก อยากเป็นแฟน

เป็นแฟนแล้ว ก็อยากให้รักมากขึ้น อยากให้รักแบบนี้ไปนานๆ รักเราคนเดียว ไม่แบ่งให้ใคร
พอรักกันไปสักระยะ ก็อยากให้เขาเห็นเราสำคัญที่สุด อยากแต่งงาน อยากมีบ้าน
อยากรวย อยากมีลูก อยากไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด

บางคนป่วยหนักใกล้จะตาย ก็ยังอยากตายให้พ้นๆ
น่าสงสารสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ จังนะครับ

น่าขำที่คิดว่า เรามีชีวิตเพื่อวิ่งไล่ความสุข
มีสุขแล้วก็อยากรักษาให้มันคงทนถาวร แต่ไม่ทันได้นึกว่า
ความสุขที่ถาวรในโลก มันไม่เคยมี

เหมือนกะทะ ที่เริ่มต้นก็ได้ลิ้มรสแค่น้ำมัน แล้วค่อยๆไล่ไปกระเทียม หมู ผัก ซอส น้ำปลา
หรือจะไข่ดาว ไข่เจียว ไข่เยี่ยวม้า ข้าวผัด ผัดกระเพรา อะไร ก็ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

แต่สุดท้าย ก็ได้แค่คลุกเคล้าชั่วครู่ยาม ไม่เคยได้อยู่กับอาหารจานไหนได้นานๆ

พูดปลอบใจคุณหน่อยก็ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจว่าผมมองโลกในแง่ร้าย
ความไม่จีรัง ยั่งยืน มันไม่เลือกเกิดกับความสุขอย่างเดียวหรอกครับ

ธรรมชาติ ไม่ได้แยกว่า อะไรคือสุขหรือทุกข์ ดีหรือแย่
ทุกอย่างในธรรมชาติมันยุติธรรมเสมอ คือมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเสมอกัน

สุขก็อยู่ไม่นานฉันใด ทุกข์ก็อยู่ไม่นานฉันนั้น

ที่เรารู้สึกว่าความสุขมันสั้น ความทุกข์มันยาว
ก็เพราะเวลาสุข แทนที่เราจะอยู่กับมันอย่างเป็นกลาง
เป็นกลาง ด้วยสติ ด้วยปัญญา ว่าสุขมันก็มาชั่วครู่ยาม เดี๋ยวมันก็ไป
เรามักจะพลาดไป "อยาก" ให้มันคงทน อยู่นานๆ

แล้วหลักง่ายๆก็คือ.. คนเรา"อยาก" เมื่อไหร่ ก็ทุกข์เมื่อนั้น
สุขจึงแสนสั้น ด้วยประการฉะนี้

ส่วนทุกข์มันยืดยาว ก็เพราะเวลามีทุกข์ เราก็ไม่เป็นกลางกับมัน
เรามักจะพลาดไป "อยาก" ให้มันหมด มันหดหายไปไวไว

แล้วหลักง่ายๆก็คือ.. คนเรา"อยาก" เมื่อไหร่ ก็ทุกข์เมื่อนั้น
จากเดิมที่ทุกข์อยู่เป็นทุนเดิม ก็ทุกข์ซ้ำ ทุกข์ซ้อน เข้าไปเรื่อยๆ
ทุกข์จึงมักจะยืดยาว ด้วยประการฉะนี้

บางคนอาจจะนึกเถียงในใจว่า กะทะ มันไม่มีหัวใจย่ะคุณแอสตัน
ก็จริงนะครับ เพียงแต่ผมไม่ได้มองในมุมนั้น

ผมมองในมุมที่เรามีส่วนคล้ายกะทะ เรื่องการได้สัมผัสอะไร ก็ชั่วครั้งคราว
ต่างกันหน่อย ที่เราคิดเป็น พูดได้ มีหัวใจ เท่านั้นเอง

อ้อ.. ว่าแต่ กะทะแอสตัน มันเขียนบล็อคได้ด้วยครับ








 

Create Date : 27 กันยายน 2550    
Last Update : 3 ตุลาคม 2550 8:25:23 น.
Counter : 2643 Pageviews.  

1-2 Go! เหตุผลที่คนควรเตรียมพร้อม







อย่างที่เคยเล่าไปในบล็อคเก่าๆโน้นว่า.. ผมเชื่อในการเตรียมพร้อมจะตายอยู่เสมอ
เพราะผมเชื่อ และเคยเห็นมาแล้วว่า ความเป็นกับความตาย มันอยู่ห่างกันแค่เสี้ยววินาที

ผมเคยเจออุบัติเหตุแรงๆในชีวิตอยู่สองครั้ง

ครั้งแรก ผมขับรถไปคว่ำที่ภูเขาแห่งหนึ่งแถบๆพะเยา
คว่ำแบบรถหมุนๆๆพลิกคว่ำพลิกหงายสามรอบ เหมือนในหนังน่ะ
ถึงจะไม่ได้ห้อยจตุคาม ก็อนุมานว่ายังมีบุญมาคุ้ม ผมมีแค่รอยถลอกที่แขนซ้าย แต่รถพังยับ

ตำรวจที่สถานี แกบอกว่า ผมโชคดีที่รถไม่ลงอีกฟากของถนนที่เป็นเหวลึก
เพราะโค้งนั้นเพิ่งมีรถตกเหวอีกฟากถนนไปตาย ก่อนหน้าผมไม่ถึงเดือน

ครั้งที่สอง ผมนั่งเครื่องกลับจากเชียงใหม่ เครื่องบินไม่มีอะไรครับ
แต่พอถึงดอนเมือง ผมอาศัยรถแฟนของเพื่อนรุ่นพี่ กะจะติดรถไปลงในเมือง

สมัยนั้น (ฟังดูแก๊...แก่ ) วิภาวดียังไม่ได้สร้างโทลเวย์ ส่วนขยาย
เกาะกลางถนนเลยยังไม่ได้เป็นกำแพงสูงอย่างทุกวันนี้

แฟนของเพื่อนรุ่นพี่ที่ว่า เธอขับไป คุยไป แล้วพยายามหยิบแว่นกันแดดมาใส่
ปรากฏว่าถนนเลนที่ชิดเกาะกลางมันเป็นคลื่น ด้วยความที่วิ่งเร็วรถเลยสะบัด จนเธอตกใจ

แทนที่จะจับพวงมาลัยให้ตรงๆนิ่งๆ เธอไปกระชากพวงมาลัยจนรถเสียหลักแฉลบ
รถปีนขึ้นเกาะกลางถนน ชนอะไรบนนั้นสักอย่างแล้วพลิกคว่ำโดยพุ่งมาอีกฝั่ง ซึ่งเป็นฝั่งขาออกจากกรุงเทพ

คนกรุงเทพฯ ที่คุ้นเคยกับถนนวิภาวดีเป็นอย่างดี คงรู้ว่า มันหวาดเสียวขนาดไหน
คือไอ้รถคว่ำว่าแย่แล้ว แต่ที่พุ่งข้ามไปขวางอีกฟากถนนนี่ สุดเสียวเลยครับ

เดชะบุญ อีกแล้ว.. ตอนนั้นถนนฝั่งตรงข้ามของผม โดนปิดการจราจรพอดี
เพราะกำลังจะมีขบวนเสด็จ รถที่ผมนั่งไป เลยนอนแอ้งแม้งโดยไม่มีสิบล้อหรือรถบัสที่ไหนวิ่งมาเสย

แถมยังมีตำรวจมาช่วยดูแลทันใจ โดยไม่ต้องโทรเรียกปอเต็กตึ้ง
แล้วก็โชคดีอีกเช่นกัน ผมไม่เป็นอะไร มากไปกว่ารอยถลอกที่แขน นิดเดียว
ในขณะที่เพื่อนกับแฟน หัวร้างข้างแตก แขนหัก เย็บกันระนาว

วันเวลาผ่านไป.. ผมยังจำได้ดีว่า
ไอ้วินาทีที่มันจะวัดว่า เราจะอยู่หรือไป มันเป็นยังไง

ผมถึงบอกทุกคนเสมอว่า.. มีโอกาสทำบุญทำกุศล ให้รีบทำ อย่าประมาท
อย่าคิดว่า เราอายุน้อยแล้วจะตายไม่ได้
อย่าคิดว่า เราอยู่ได้ อยู่ดีมาสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี แล้วจะได้อยู่จนครบสี่สิบ ห้าสิบ หรือหกสิบ

ไม่แน่หรอกนะครับ

ส่วนตัวผมเอง ไม่เคยนั่ง วัน ทู โก แต่เวลาขึ้นเครื่องบินทีไร ก็ทำใจทุกที
ว่าไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมา หรืออาจจะไม่ได้ออกจากเครื่องแบบตัวเป็นๆ

อย่าว่าแต่เครื่องบินเลย เอาแค่ขับรถทุกวันๆ ก็ยังประมาทไม่ได้
เพราะไม่รู้วันดีคืนดี จะมีคานรถไฟฟ้าที่ไหนหล่นมาทับ หรือรถแก๊สเบรกแตกมาชนท้ายเมื่อไหร่

ที่พูดนี่ ไม่ได้ให้กลัวตายหรอกนะครับ อย่ากลัวในสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้
แต่พูดเพราะไม่อยากให้เห็นกรณี วัน ทู โก เป็นเรื่องใหญ่โตสยองขวัญจนไม่เป็นอันใช้ชีวิต


เพราะทุกวันนี้ ความตายเขาก็อยู่ข้างๆเรา ทุกลมหายใจเข้าออก
เราเดินไปไหน เขาก็เดินข้างเราในทุกฝีก้าวอยู่แล้ว

เอาแค่.. แสดงความเสียใจให้ครอบครัว ญาติมิตร ของผู้ล่วงลับ
อุทิศส่วนกุศลผลบุญไปให้ท่านเหล่านั้นก็พอ

ที่เหลือ ที่ควรทำคือใช้ชีวิตทางโลกให้เป็นสุข แต่ไม่ประมาท
ทำบุญ ถือศีล ภาวนาหาโอกาสศึกษาเรียนรู้ ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกทางไว้

บางที ผมรู้สึกว่า ชีวิตอันเล็กจ้อยของเรา มันสั้นและเปราะบาง
คล้ายแดดที่พาดผ่านสนามหญ้าในรูปข้างบนนี่แหละ

แดดออกอยู่ดีๆ จะมีเมฆพาพายุฝนมาบดบังจนมืดครึ้มเสียเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

สิ่งที่แน่นอนที่สุดในชีวิต คือความไม่แน่นอน
กว่าจะได้เวียนมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เจอพุทธศาสนา
ได้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่ใช้การได้ มีสติปัญญาครบถ้วน ไม่ง่ายเลยนะครับ

บางคนอยู่ๆ ไม่รู้นึกยังไง คลิกมาอ่านบล็อคนี้ ได้อ่านในสิ่งที่อยากอ่านบ้าง ไม่อยากบ้าง
ผมเรียกว่า กรรมจัดสรรครับ เราคงเคยทำบุญทำกรรมอะไรร่วมกันมาก่อนแหละ

อ่านแล้วคิดดี เข้าใจ ก็ดีไป อ่านแล้วคิดไม่ดี ไม่เข้าใจ ก็ช่วยไม่ได้

ตัวใครตัวมันนะครับ

One.. Two.. ไปล่ะครับ






 

Create Date : 18 กันยายน 2550    
Last Update : 27 กันยายน 2550 0:42:57 น.
Counter : 1398 Pageviews.  

Reality, Bites or Nice? ความเป็นจริง โหดร้าย หรือสบายจัง



วันนี้กลับมาบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งกายและใจ
เปิดหลังไมค์มาดู เจอข้อความนี้เข้า ..

"มือถือเราหายล่ะ คุณแอสตัน T_T

ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะแค่อยากหาคนบ่นให้ฟัง

ปกติจะนั่งรถไฟกลับบ้านแต่วันนี้ไม่รู้คิดยังไงนึกจะนั่งรถเมลล์ และก็ถูกล้วงตอนช่วงชุลมุนขึ้นรถ รู้ตัวอีกทีตอนจะหยิบกระเป๋าตังค์จ่ายค่าโดยสาร อ๊ะ มือถือหายไปไหนฟะ ทำไมกระเป๋าเปิดอยู่ ยังดีกระเป๋าตังค์ไม่ถูกเอาไปด้วย

คุณแอสตันเคยบอกว่าทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นมาไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ ทุกอย่างมีที่มา มีเหตุผล แล้วเหตุการณ์แบบนี้จะเรียกว่าเหตุผลไรดีคะ (พยายามดึงเค้าเรื่องธรรมซะแล้ว 555)

เจอเหตุการณ์วันนี้แล้วก็ทำให้นึกถึงหนังประเภท sliding door, butterfly effect เลยค่ะ คิดอยู่ว่าถ้าวันนี้เราตัดสินใจขึ้นรถไฟอย่างทุกวัน แทนที่จะนั่งรถเมลล์อาจไม่โดนล้วงมือถือ (แต่ก็อาจโดนเอากระเป๋าตังค์ไปแทน) การตัดสินใจอย่างหนึ่ง จะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่ง แต่เราก็ไม่สามารถทำอย่างในหนังที่จะย้อนเวลากลับไปตัดสินใจใหม่ได้

อีกคำถามนึงค่ะ คิดไว้มานานว่าลองถามคุณแอสตันดู
ถาม "การอยู่กับปัจจุบันทำไมมันยากอย่างนี้คะ?"
ขอบคุณที่อ่านเรื่องที่บ่นข้างบนค่ะ ^ ^ "


พูดแบบปลอบใจ ..เสียแค่มือถือดีกว่าเสียกระเป๋าตังค์
เสียกระเป๋าตังค์ดีกว่าเสียเลือดเสียเนื้อ ..ฯลฯ

ทุกอย่างที่เกิด มีเหตุของมัน เพียงแต่เหตุบางอย่างเรามองไม่เห็น
เช่นเราเคยมือไวหยิบฉวยทรัพย์สินของคนอื่นมาก่อน อาจจะไม่ใช่ในชาตินี้
หรือตอนเด็กๆ อาจจะเคยขโมยมะม่วงของบ้านข้างๆ
แล้วบังเอิญไปสอยลูกที่เจ้าของเขาหมายตาไว้พอดี

เหตุบางอย่าง เป็นเรื่องของปัจจุบัน เช่นเราเลือกจะกระทำอย่างหนึ่ง
แทนที่จะเลือกกระทำอีกอย่าง เหมือนที่คุณยกกรณีหนังเรื่อง Sliding Doors

การไม่ใส่ใจระวังดูแลกระเป๋า ทรัพย์สินของมีค่าของตัวเอง ก็นับเป็นเหตุปัจจุบันได้นะ

แต่คุณก็คิดถูกแล้วครับ .. ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไร
เราทำได้แค่อยู่กับปัจจุบัน เพราะเราย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้

ถามว่า.. ทำไมการอยู่กับปัจจุบันมันยากจัง
ตอบว่า.. เพราะปัจจุบันคือความจริง

มีสำนวนลิเกๆ อยู่อันนึง เขาบอกว่า
อดีตคือลมตด อนาคตคือความฝัน ปัจจุบันคือความจริง

มนุษย์ที่อยู่กับปัจจุบันแล้วรู้สึกลำบาก แปลว่าไม่ชอบความจริงที่เห็น ที่เป็นอยู่
ลองย้อนกลับไปนึกๆดูได้ ว่าผมพูดถูกไหม

ที่จริงการอยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่กับความจริงไม่ได้ยาก
ถ้าเราฝึกจะมีใจที่เป็นกลางต่อความจริง

เช่นความจริงคือ เราเคยไม่เหลียวแลคนบางคน
เพียงเพื่อจะค้นพบว่า จริงๆเขาคือคนที่ดีที่สุดในชีวิตที่เคยเจอ

ถ้ายอมรับความจริงได้ว่า เราทำพลาดไป แต่ไม่ซ้ำเติมตัวเอง
แค่เข้าใจ ยอมรับผิด ไม่แก้ตัว ไม่มัวหาคำอธิบาย
ก็จะรู้สึกว่า ทุกข์ที่มา ก็มาเพราะเหตุอันควรแล้ว
มันก็จะไม่มีทุกข์ส่วนเกินให้กล้ำกลืนขนาดต้องฝืนทน

ถ้ายอมรับความจริงได้ว่า ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว
จะผิดจะถูก จะดีจะชั่ว มันก็ผ่านเลยไปแล้ว
เราไม่มีไทม์แมชชีนของโดราเอม่อนจะย้อนเวลากลับไปเริ่มใหม่
เราก็จะเห็นว่า การกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริง คือสิ่งดีที่สุด

ถ้ายอมรับได้ว่าขมขื่น แต่ก็รู้ว่า ความจริงก็คือ
ความขมขื่นมีเหตุของมันอันสมควร
และมันอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็จะผ่านไป

ก็เหมือนไอ้ความสุขที่เคยผ่านมานั่นแหละ
มันก็มีเหตุอันควรให้สุขในตอนนั้น
แต่มันก็สุขชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็ผ่านไป

นี่ก็คือการอยู่กับความจริง โดยไม่เสแสร้ง ไม่ปรุงแต่ง
สุขก็รู้ว่าสุข ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ เสียดายมือถือรู้ว่าเสียดาย
แต่ก็รู้ว่าทุกอย่างมันธรรมดา มันมาเอง มันก็ไปได้เอง
ใจมันก็สบายขึ้น เพราะรู้ว่าเราบังคับมันไม่ได้ ก็ให้มันว่าของมันไป

รูปประกอบวันนี้ คือหนึ่งในภาพที่ผมถ่ายจากบาหลี
มีโขดหินใหญ่อยู่อันนึง ยื่นไปในทะเล มีคลื่นคอยซัดมากระแทก

ถามว่าใครผิด ระหว่างโขดหินที่ไปขวางทะเล กับทะเลที่เกเรไปซัดโขดหิน
ไม่มีใครผิดหรอกครับ ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างก็มีธรรมชาติของตัวเอง

ถ้าโขดหิน เหมือนจิต ทะเลคืออารมณ์
ก็อย่าหมายว่าจิตจะปราศจากคลื่นอารมณ์ซัดสาด
เหมือนทะเล ไม่มีวันหยุดซัดโขดหิน ตราบที่ลมยังพัด

เว้นเสียแต่วันหนึ่ง มันจะไม่มีโขดหินอีก
เมื่อนั้น ลมจะพัดหรือหยุดนิ่ง ทะเลจะซัดสาดหรือไม่ ก็ไม่สำคัญแล้ว

บางคนอ่านถึงตรงนี้ จะร้องค้านในใจ
พูดยังไงวะ.. วันนึงไม่มีโขดหิน ก็ในเมื่อมันมีอยู่ทนโท่

อ่ะ.. งั้นพูดใหม่
ถ้าวันนึง ไม่มีคนรู้สึกว่าโขดหินมันเป็นของเรา หรือโขดหินคือตัวเรา
ทะเลจะซัด หรือไม่ซัด ก็ไม่ใช่ประเด็น

ถ้าเข้าใจความแตกต่างของ "การมีอยู่" กับ "การยึดแบกเอาไว้"
ก็จะหมดคำถามว่า.. ตกลงอยู่กับปัจจุบัน ยากหรือง่าย
อยู่กับความจริง มันโหดร้าย หรือสบาย

เพราะจะโหดร้าย หรือสบายจัง มันขึ้นกับเราเป็นกลางกับมันได้แค่ไหน

ไม่รู้จะตอบคำถามไหม..

แต่หวังว่าใจจะสบายขึ้นนะครับ





เพลงวันนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนเท่าไหร่ครับ
คุณแอสตันอยากฟังเฉยๆ
เพลงชื่อว่า "เพลงราตรี" โดยวงไหมไทย และ อ.ดนู ฮันตระกูล ครับ




 

Create Date : 11 กันยายน 2550    
Last Update : 18 กันยายน 2550 23:29:00 น.
Counter : 3080 Pageviews.  

1408 เรื่องของคนกับผี



ผมเป็นคนไม่เคยเห็นผีเป็นตัวเป็นตนเหมือนน้องบางคนที่ชอบมาเล่า
แต่กระนั้นผมก็เคยเป็นคนกลัวผีมาก่อน
กลัว ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นเหมือนหลายๆคนนั่นแหละ

หลังๆมา พอฝึกดูกาย ดูจิต รู้กาย รู้ใจตัวเองเข้า
ก็เริ่มเห็นว่า ไอ้ข้างในตัวเรา นี่มันก็มีผีตัวนึงอยู่
เข้าๆออกๆอยู่ทุกวัน เลยเข้าใจที่มาของสำนวนว่า ผีเข้า ผีออก 5555

เวลามีใครมาถามว่า ..พี่ๆ พี่ว่าผีมีจริงไหม
เลยตอบได้แบบไม่ลังเลว่า จริงสิครับท่าน

แต่ถามว่า ผีต่างกับเราไหม ผมอยากตอบว่า..
คุณว่าคนกับหมาต่างกันไหมล่ะ?

อธิบายให้อีกนิดก็ได้ จิตของมนุษย์ มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เพียงแต่มันเกิดมันดับ โดยยึดเอาร่างกายนี้เป็นที่อาศัยอยู่

เราจึงเข้าใจผิด คิดว่ามันเป็นจิตดวงเดิม ตั้งแต่เกิดจนตาย

พระพุทธเจ้าบอกว่า.. กายเป็นเหมือนคูหา หรือถ้ำ มีจิตคอยอาศัย
วันนึงจิตออกจากถ้ำนี้ไป ก็ไปเกิดดับในถ้ำอื่น หรือเราเรียกว่ามีการ "จุติ"

ในความเชื่อแบบพุทธ ต่างจากศาสนาอื่นตรงที่เราเชื่อว่า
จิดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่จิตดวงเดียวดวงเดิมตั้งแต่เกิดจนตาย
ยิ่งไปกว่านั้น มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่ไอ้ตัวที่เราเรียกว่า "จิตของเรา" มันยังเกิดดับอยู่ในถ้ำเดิม
เราเลยไม่เคยเฉลียวใจ ไม่ได้ตามรู้ ไม่ได้ศึกษามัน

เรื่องจิตเกิดดับ วันนี้ผมไม่เล่ามากนะ เพราะตั้งใจจะเล่าเรื่องผี 555

ประเด็นคือเวลาจิตมันดับไปพร้อมกับกาย หรือถ้ำที่เคยได้อาศัย
มันต้องไปจุติในที่ใหม่ตามแรงบุญกรรมที่ทำมา บวกกับสภาวะสุดท้ายของจิต

คนบางคนตอนมีชีวิตทำบุญไว้เยอะ แต่ไปพลาดตอนตายในวินาทีสุดท้าย
คือจิตมันหลงๆไหลๆ ก็ต้องไปเกิดในภพของเดรัจฉาน เช่นหมาแมว

แต่อย่างที่เคยบอกว่า การให้ผลของกรรมนี่ยุติธรรมเสมอนะ
ถึงจะเป็นหมาแต่เมื่อถึงคราวบุญที่เคยทำไว้จะให้ผล
ก็เลยได้เป็นหมาแบบคุณทองแดง หรือหมาของผู้ดีมีอันจะกิน

บางพวกจิตเกลือกกลั้วในความโลภห่วงทรัพย์สมบัติ ตายไปก็ไปจุติเป็นเปรต
แต่อีกพวกนี่ผมจำไม่ได้ว่าทฤษฎีเขาว่าอย่างไร

คือพวกที่จุติเป็นสัมภเวสี เป็นวิญญานสิงสู่อยู่ในที่ใดที่นึง
หรือบางทีก็ร่อนเร่ไปเรื่อยๆ รอเวลาเกิด
พวกนี้แหละ ที่ทำให้เรามีเรื่องผีๆ มากลัว ขนหัวลุก
และมาเขียนนิยาย ได้สร้างหนังกันสนุกสนาน

คนบางคนที่ผมรู้จัก เป็นคนประหลาดในสายตาผม
คือเป็นคนกลัวผีมาก แต่ชอบดูหนังผีจังเลย

ผมไม่ค่อยกลัวผีเท่าไหร่ ไม่ได้กลัวที่จะต้องเดินคนเดียวในวัด
ส่วนป่าช้ายังไม่เคยลอง แต่ที่แน่ๆ ไม่ค่อยชอบดูหนังผี

เหตุผลคือ ผมไม่ชอบเสียเงินเข้าไปทำให้ตัวเองตกใจ.. "ตึ๊งงงงง"

และที่แน่ๆ ผมไม่ใช่คนอยากท้าพิสูจน์เหมือนพระเอกในเรื่อง 1408

1408 เป็นเรื่องของนักเขียนที่มีบาดแผลในชีวิต คือลูกสาวตายตั้งแต่อายุยังน้อย
เลยผันตัวเองไปเป็นนักเดินทางพิสูจน์เรื่องผี ในที่ต่างๆที่ร่ำลือกันว่าผีดุ
แล้วเอามาเขียนหนังสือแนะนำ คล้ายคุณป๋อง กพล ทองพลับ

อยู่มาวันนึง เขาได้ไปรษณียบัตรลึกลับ เตือนว่า "อย่าเข้าไปในห้อง 1408"
แต่บางคนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มของเรื่องระทึกขวัญ

อย่างที่บอก.. ผมไม่ชอบดูหนังผี

แต่ตอนอ่านเรื่องย่อกับดูตัวอย่าง ผมว่ามันมีอะไรดีอยู่
บทวิจารณ์จากเมืองนอกก็ให้เครดิตหนังเรื่องนี้มาก ผมเลยฝืนกฏของตัวเองครั้งนึง

แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ
นี่ไม่ใช่หนังผีตลาดๆ ยิ่งไม่ใช่หนังแหวะ หวีดๆ แบบเลือดกระฉูด
หรือมีผีเน่าๆออกมาพันแข้งพันขา แหวกอกควักใส้ ชวนอ้วก

มันเป็นหนังที่สร้างจากนิยายของสตีเฟ่น คิง ในแบบที่ทำให้เราลุ้น
และเย็นวาบๆ แถวท้ายทอยได้ ใจเต้นตึ๊กตั๊ก เกร็งได้โดยไม่สยดสยอง

หนังจะเข้าเมื่อไหร่แน่ๆ ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆผมดูรอบพรีวิวมาแล้ว

ถ้ากายนี้เป็นเหมือนถ้ำ มีจิตเป็นผู้อาศัย
ห้อง 1408 ก็เป็นเหมือนถ้ำๆนึง ที่จิตวิญญานที่ชั่วร้ายแอบแฝงอยู่

มนุษย์เรามีด้านมืด มีโครงกระดูกในตู้ ที่ไม่อยากให้ใครรู้
จะมากจะน้อย จะหนักแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่า จะรู้จักวาง รู้จักปล่อยหรือเปล่า

ผมบอกใบ้ตอนจบไว้แค่นี้ ที่เหลือลองไปดูกันเอาเอง

ถ้าคิดว่าชีวิตมันต้องมีแต่เรื่องดีๆ ต้องมีแต่สุข แล้วคิดแต่จะวิ่งหนีเรื่องร้ายๆ
มันก็ทุกข์ของมันไปแบบนึง และที่สุดแล้วก็จะพบว่า
ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในภพของการเวียนว่ายตายเกิด
เราไม่เคยหนีทุกข์ได้อย่างแท้จริงและถาวรเลย

ภพนี้เป็นคน ภพหน้าโชคดีได้เป็นมนุษย์ หรือเทวดา เป็นพรหม
ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าต่อๆไปจะไม่พลัดหลงไปเป็นอย่างอื่น
หรือไม่ได้แปลว่าจะไม่ตกนรก

พูดแบบนี้ บางคนอาจจะแย้งว่า.. เฮ่ย.. คุณแอสตันรู้ได้ไงว่าตายแล้วเกิดอีก
งั้นผมพูดแค่เป็นวันๆก็ได้ สมมติว่าว่าหนึ่งวันคือหนึ่งชาติ

คุณนึกถึงวันที่คุณเคยมีความสุขที่สุดก็ได้ ในชีวิตคุณน่ะ
นับจากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตคุณเป็นสุขตลอดเวลาหรือเปล่า

ไม่หรอก ถ้าไม่หลอกตัวเองนะ เราจะเห็นว่า มันขึ้นๆลงๆ
วันนึงสุข อีกวันอาจจะสุขน้อยลง อีกสองวันทุกข์ละ

บางคนสังเกตเก่งๆ จะเห็นเลยว่า ในแต่ละวัน จิตมันเปลี่ยนไปมา
ไม่ต้องวันนึงหรอก เอาแค่ชั่วโมงเดียว สิบนาที หรือนาทีเดียว
ถ้าตามรู้ ตามดูจิตตัวเอง จะเห็นเลยว่า มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา

การเวียนว่ายตายเกิดของเรา มันเกี่ยวเนื่องกับภาวะจิตนี่แหละ

จะออกจากห้อง 1408 เอ๊ย.. ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
โดยไม่ต้องวนกลับมาจริงๆ ก็ต้องค่อยๆสกัดความโง่ทิ้งไปทีละนิด ตั้งแต่วันนี้

ขจัดความโง่ได้ ต้องอาศัยปัญญา
ปัญญาที่มาจากการภาวนา การเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของกายของจิต
การเห็นบ่อยๆว่าทุกๆอย่างมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
เห็นว่ากายนี้ จิตนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะบังคับให้เป็นอย่างที่"อยาก" ได้
เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา

ส่วนวิธีการทำอย่างไร คุณมองไปทางขวา
คลิกที่ลิงค์ "วิมุตติ" นะครับ ไปฟังคำแนะนำจากครูบาอาจารย์
ที่ผมพิสูจน์มาแล้ว ว่าท่านสอนดี สอนถูก สอนแต่สิ่งที่ง่ายและมีประโยชน์ได้ที่นั่น

งานนี้ ต้องช่วยตัวเองนะครับ

ส่วนเพลงวันนี้ เป็นเพลงของเดอะ คาร์เพนเตอร์ส
ที่มีบทบาทสำคัญมากๆในเรื่อง 1408 ชื่อเพลง We've Only Just Begun

ฟังดูไม่เข้ากันเลยนะ เพลงรักกับหนังผี อิอิอิ




 

Create Date : 08 กันยายน 2550    
Last Update : 11 กันยายน 2550 23:19:37 น.
Counter : 2069 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.