Group Blog
 
All blogs
 

ไม่ฉะบาย ตายแน่ แฮ่ๆ สตีวี่ วันเดอร์



(ภาพจาก fwd mail ไม่ทราบต้นตอที่มาครับ)

ผมไม่สบายครับ .. มีอาการเจ็บคอตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา
แล้วก็จามบ่อยๆ แต่ไม่ไอนะ เริ่มมาไอวันศุกร์ เมื่อวานนี้เอง

พอวันนี้ เสียงเริ่มหายแล้วครับ โชคดีที่วันนี้รายการผมเขางด เลยได้พักการใช้เสียงวันนึง แต่พรุ่งนี้ ไม่รู้จะเป็นไงเหมือนกัน

ชีวิตผมเคยป่วยหนักๆแค่ครั้งเดียว คือตอนเป็นไข้เลือดออกเมื่อปีก่อน
เวลาไม่สบายแล้วมีคนถามว่า.. เป็นอะไรมากไหม ผมมักจะตอบว่า..

ผมกำลังจะตายแน่ๆ .. ในอีกไม่เกิน 50 ปี

ผมเป็นคนพูดเรื่องการสิ้นอายุขัยบ่อยมากจนชิน และเป็นปกติ ผมไม่ถือเรื่องนี้นะครับ
ในทางพุทธ เรามีการเตือนสติตัวเองไม่ให้ประมาทในการทำชั่ว ในการใช้ชีวิต เรียกว่า มรณานุสสติ

ทำง่ายๆ ก็ลองพิจารณาลมหายใจว่า คนเรามีชีวิตสั้นนิดเดียว แค่ลมหายใจเข้าออก เท่านั้น

เราหายใจเข้าได้ยาวที่สุดแค่ไหนกันเชียว
เราหายใจออกได้ยาวที่สุดแค่ไหนกันเชียว

หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก เราก็ตายแล้ว
หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า เราก็ตายแล้ว

ผมจะไม่ตกใจ ถ้ามีเทวดา มากระซิบบอกผมว่า ผมจะอยู่ได้อีก 7 วัน หรือ 7 ปี

มีบ่อยๆ ที่ผมมักจะเตรียมใจ ก่อนเดินทางไปไหน ว่าผมอาจจะไม่ได้กลับมาอีก
อย่างเวลาจัดรายการ มีคนถามว่า ผมมีเคล็ดลับอะไรไหม
มีครับ.. คือผมจะคิดเสมอว่า ผมจะจัดเหมือนกับครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้จัด

อันนี้มันก็สะท้อนไปถึงวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิตหลายๆอย่างของผมด้วย

ผมไม่แน่ใจว่า Stevie Wonder เขาจะคิดแบบเดียวกันหรือเปล่านะครับ เชื่อแต่ว่า เขามีวิธีคิดที่น่าสนใจ และเป็นอิทธิพลจากแม่เขามากเป็นพิเศษ



สตีวี่ วันเดอร์ มีชื่อจริงๆตอนเกิดว่า เด็กชาย สตีฟแลนด์ จัดด์กินส์ ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น มอร์ริส เขาเกิดที่เมือง ซาจินอว์ ในมิชิแกน เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2493 (คศ.1950) ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 6 คน

เขาเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด (ฝรั่งเรียก premature birth) จึงต้องเข้าไปอยู่ใน "ตู้อบ" เพื่อรักษาอุณหภูมิและป้องกันการติดเชื้อ แต่กลับกลายเป็นปัญหาว่า เขาได้รับอ็อกซิเจนมากเกินไปและทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทการมองเห็น เขาจึงกลายเป็นเด็กตาบอดเหมือนกับเด็กหลายคนในอเมริกาที่คลอดก่อนกำหนดในช่วง ทศวรรษที่ 1950



แม่ของสตีวี่ พยายามเลี้ยงเขาให้เป็นเด็กปกติ ไม่เลี้ยงเขาแบบเด็กพิการ เธอกำชับพี่น้องให้ปฏิบัติต่อสตีวี่ เสมือนว่าเขาไม่ได้พิการ ไม่ล้อเลียนแต่ไม่ต้องโอ๋จนสตีวี่ขาดความมั่นใจ

แต่ด้วยความพิการทางสายตา สตีวี่ จึงออกไปวิ่งเล่นซุกซนเหมือนเด็กทั่วไปไม่ได้ แม่เขาจึงหาอะไรให้สตีวี่เล่นในบ้าน นั่นคือเหตุว่า สตีวี่ ได้หัดเล่นเปียนโน ฮาร์โมนิการ์ (หีบเพลงปาก) และอีกหลายเครื่องดนตรีในเวลาต่อมา

ลิทเทิล สตีวี่ วันเดอร์ เป็นชื่อที่ เบอร์รี่ กอร์ดี้ จูเนียร์ เจ้าของบริษัทแผ่นเสียงที่โด่งดังเป็นตำนาน คือ โมทาวน์เรคคอดร์ส ตั้งให้ หลังจากเห็นความสามารถระดับอัจฉริยะของสตีวี่น้อย

สตีฟแลนด์ มอร์ริส พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า สมญานั้น ไม่ใช่เรื่องเกินเลย ด้วยสถิติ รางวัลแกรมมี่ 21 รางวัล มากที่สุดในบรรดาศิลปินเดี่ยวด้วยกัน สถิติ 30 เพลงฮิตใน Top 10 และ 9 เพลง อันดับ 1 พร้อมยอดขายอัลบั้ม เกิน 100 ล้านชุดรวมกัน

ผมเคยนึกเล่นๆ และพูดในรายการว่า ถ้าสตีวี่ วันเดอร์ มองเห็น ออกไปวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กทั่วๆไป เขาอาจจะไม่สนใจเปียนโน ไม่ซึมซับความรักในเสียงเพลงอย่างที่เป็น และโลกนี้ก็จะไม่มีสตีวี่ วันเดอร์ อาจจะมีนายสตีฟแลนด์ มอร์ริส ที่เป็นนายธนาคาร หรือเจ้าของร้านอะไรสักอย่าง

แต่ที่แน่ๆ ทั่วโลก จะไม่มีใครรู้จักเขา ไม่มีคนชื่นชมงานของเขา มากมายอย่างที่เห็น เขาจะไม่ได้มีชื่อใน Hall of Fame อย่างที่เป็น


(อัลบั้มยอดเยี่ยมชุด Songs In The Key Of Life)

ผมไม่รู้ว่า สตีวี่ วันเดอร์ กลัวตายไหม แต่ผมมั่นใจว่า ในวันที่เขาใกล้จะหมดลม ถ้าเขามองย้อนไปถึงวันที่เขายังแบเบาะอยู่ในตู้อบนั้น

เขาอาจจะนึกขอบคุณเหตุร้ายที่เกิดกับเขาในตู้อบนั้น ไม่ใช่เพราะมันทำให้เขาตาบอด

แต่เพราะมันนำโอกาสอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตเขาต่างหาก

วันนี้เตรียมมาสองเพลงให้คุณฟัง เพลงแรกชื่อ my cherrie amour เป็นเพลงรักสมัยยุคปลาย 60's แล้วอีกเพลงต้องคลิก play เองนะครับ ชื่อ superstition เป็นงานที่ถือว่าปฏิวัติเพลง R&B ของอเมริกา เพราะเป็นครั้งแรกที่เพลง soul R&B ใช้ Syntheziser เป็นเครื่องดนตรี ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครกล้าทำครับ

สุขสันต์วันเสาร์แรกของธันวาคม 2549 ครับ




ใครรู้วิธีเอามันไปใส่ให้เล่นต่อกันได้มั่ง มันใช้ code อะไรเหรอครับ ผมลองสองสามวิธี แล้วไม่สำเร็จ เอาแบบไม่ต้องไป edit เพลงเป็นไฟล์เดียวกันน่ะครับ มีไหม




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2549    
Last Update : 5 ธันวาคม 2549 14:03:23 น.
Counter : 2131 Pageviews.  

ของเล่น หนังสือ ความโชคดีในความขาดแคลน



เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง แต่ได้แรงบันดาลใจจากบล็อคของสตรีท่านนึงที่มีชื่อในกรอบขวามือของคุณ

ตอนผมเล็กๆ ผมมีพี่น้องเยอะมาก แต่ผมถูกส่งไปอยู่ต่างจังหวัดตั้งแต่แบเบาะกับพี่สาวสองคน พอปู่ผมเสีย แม่ก็มารับพี่สาวไปอยู่เมืองนอก

ผมเลยโตมาคนเดียวตั้งแต่เรียน ป. 2 โดยไม่มีพี่ชายให้ผมรับของเหลือ :)

ไม่ต้องหวังไกลถึงจักรยานหรอกครับ เพราะของเล่นอย่างเดียวสมัยผมเด็กๆ คือตุ๊กตาพลาสติกรูปทหารตัวเล็กๆ สิบกว่าตัว บวกกับตุ๊กตาพวกไดโนเสาร์ อีกสิบสองตัวได้มั้ง แล้วก็ลูกแก้วสี่ห้าลูก

ผมจะเอาตุ๊กตาตั้งไว้สองฝั่ง แล้วก็ใช้ลูกแก้วกลิ้งไปชนสลับกันฝั่งละครั้ง ใครล้มหมดก่อนแพ้ .. แต่ก็เล่นคนเดียวน่ะ สนุกแบบเหงาๆ

นั่นคือของเล่นอย่างเดียวในวัยเด็กของผม

ผมไม่มีลูกบอล ไม่มีไม้แบด ไม่มีจักรยาน ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีหุ่นยนต์ ไม่มีเกม ไม่ได้หมายถึงนินเทนโด้ หรือ Play Station อะไรหรอก ผมหมายถึงเกมเศรษฐีธรรมดาๆนี่แหละ ผมก็ไม่มี

ถ้าจะเล่นของพวกนั้น ต้องไปบ้านข้างๆ ไปขอเล่นกับเขา จักรยานผมก็ยืมเพื่อนแถวบ้านมาขี่ บอลก็ไปเตะกับเขา แบดก็ไปตีกับเด็กละแวกนั้น โทรทัศน์ก็ไปขอดูบ้านถัดๆไป

โตมา ผมค่อนข้างอ่อนไหวกับแผนกของเด็กเล่นพอควรนะครับ
จำได้ว่ามีครั้งนึง ผมแอบหนีไปเที่ยวงานฤดูหนาว (งานกาชาดของคนนอกกรุง)
แล้วผมไปยืนเฝ้าดูตรงม้าหมุนตั้งนานสองนาน ด้วยความอยากเล่น

อ้อนขอคนเฝ้า ขอเล่นหน่อยสักรอบก็ยังดี ขออยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จนะครับ

สมัยเด็กๆ แผนกของเล่นจะเป็นแผนกที่ผมเป็นลูกค้าที่มาเยี่ยมชม (เฉยๆ) อยู่เป็นประจำ

ผมเริ่มมีของเล่นพวกเครื่องบินต่ออะไรก็โน่นแหละครับ มัธยม ตอนย้ายมาอยู่บ้านที่กรุงเทพ

แต่ข้อดีก็มีนะ.. เพราะมันทำให้ผมชอบอ่านหนังสือ
เพราะผมไม่มีอะไรจะเล่นมากนัก ทีวีก็มีช่องเดียว บ้านนอกนี่นา ไม่มียูบีซี ไม่มีการ์ตูนเนทเวิร์ค ช่องเก้าการ์ตูนก็ยังไม่มา ตอนผมอยู่ประถมนี่ การอ่านหนังสือสนุกกว่าเป็นไหนๆ

หนังสือชุดแรกๆที่อ่านแล้วติดงอมแงม คือพลนิกรกิมหงวน
อันนี้สนุกชนิด เจเคโรวลิ่ง กลิ้งมาพร้อมแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ยังต้องสยบ

ผมไม่รู้หรอกว่า เด็กสมัยนี้อ่านแล้วจะฮาขี้แตกขี้แตนแบบผมไหม
แต่สมัยนั้น ผมอ่านไปก็หัวเราะเหมือนคนบ้า แล้วเลยชอบอ่านหนังสือตั้งแต่นั้นมา

แต่มีหนังสือประเภทเดียวที่ผมไม่อ่าน

จะทายว่าหนังสือโป๊ล่ะสิ.. ผิด!!! อันนั้นสำหรับเด็กประถมรุ่นผมมันหายาก พอๆกะหามะม่วงน้ำปลาหวานใส่กะปิทาน แถวๆเมซซาจูเส็ต หรือบอสตัน ผมเลยไม่นับ

คำตอบคือหนังสืองานศพครับ เพราะสมัยเด็กๆ ผมกลัวผีมาก
เวลาเจอหนังสืองานศพนี่เป็นไม่กล้าแตะ มันเสียวววว..

พูดถึงงานศพ .. ผมถือว่ามันเป็นกิจกรรมที่คนวัยสามสิบกว่าแบบผมต้องทำบ่อยๆ ในวัยนี้

โดยมากคือการไปงานศพบุพพาการี ของเพื่อนฝูงคนรู้จัก และรวมถึงครูบาอาจารย์

ต่างจากสมัยอายุยี่สิบปลายๆ กับสามสิบต้นๆนะครับ อันนั้นส่วนมากไปงานแต่งงานเสียมากกว่า

อย่างอาทิตย์นี้ ก็มีแจ้งมาวันนี้วันเดียว สองงานแล้ว
ใครกำลังจะขึ้นเลขสาม หาชุดดำติดบ้านไว้มั่งก็ดีนะครับ



ที่เล่าเรื่องของเล่นวัยเด็กที่ขาดๆของผม ตั้งใจจะบอกว่า
ในส่วนด้อย มันก็มีดีอยู่ ถ้าเราจะมอง

ยกตัวอย่าง.. เหมือนเรื่องของนักร้องคนนึง ชื่อสตีวี่ วันเดอร์
เขาเป็นคนที่อเมริกันชน ยกย่องว่าเป็นนักร้อง นักดนตรี อัจฉริยะ
เป็นคนปฏิวัติเพลงอาร์แอนด์บี ในยุค 60's ให้กลายเป็นสำเนียงแบบ 70's
เป็นคนที่ปีไหนออกอัลบั้ม คนอื่นๆจะถอนหายใจเฮือกๆๆ
เพราะเขาจะกลายเป็นตัวเต็ง ของรางวัลแกรมมี่เสมอ

เป็นคนที่ทำอัลบั้มบางชุดด้วยมันสมอง และฝีมือเขาเองทั้งหมด ทั้งแต่ง เรียบเรียง เล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้น และร้องเอง

ทั้งหมดที่พูดมา.. เป็นเรื่องของผู้ชายตาบอดคนนึงครับ
ใช่แล้ว .. สตีวี่ วันเดอร์ เขาตาบอด

ไว้บล็อคหน้าจะเล่าให้ฟังนะครับ บล็อคนี้ยาวแล้ว

ดูแลสุขภาพกันนะครับ ทุกท่าน




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 2 ธันวาคม 2549 12:52:47 น.
Counter : 1799 Pageviews.  

รับรู้ เข้าใจ ยอมรับ



เมื่อตอนบ่ายต้นๆ ได้ยินลูกน้องคุยกันในแผนกแว่วๆ
ว่ามีคนนึงวางแผนจะไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด เลยหูผึ่ง

ปรากฏว่าอีกคนพอได้ยินว่ามีคนจะไป เลยอยากไปบ้าง
แต่ก็ไม่วายถามเหมือนที่คนทั่วไปชอบถามผมบ่อยๆว่า

"ทำไมจู่ๆ ถึงสนใจเรื่องปฏิบัติธรรมขึ้นมา เป็นอะไรเหรอ"
คนทั่วไปจะรู้สึกว่า คนสนใจเรื่องนี้ ต้องเป็นพวกคนแก่หนึ่ง
คนอกหักรักคุดหนึ่ง มีปัญหาทางบ้านหนึ่ง แฟนทิ้งหนึ่ง
สรุปว่า ไม่มีทุกข์หนักอย่างใด ก็อย่างหนึ่ง

คนปกติธรรมดา ไม่ควรข้องแวะเรื่องนี้ ว่างั้น

ที่จริง มันก็ถูกของเขา ในทางนึงนะครับ
ถูกในทางไหน.. เดี๋ยวผมจะอธิบายต่อไป

ผมเลยตั้งคำถาม น้องคนที่ถามแบบนั้นว่า.. "รู้มั้ย ศาสนาพุทธสอนเน้นเรื่องอะไรที่สุด"

เธอคิดครู่นึง.. แล้วตอบแบบงงๆ ว่า .. สอนให้เป็นคนดีและปล่อยวางอะไรทำนองนี้ค่ะ
ผมเลยยิ้มทีนึง.. แล้วบอกว่า..

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ 4 ความจริงสำหรับผู้เป็นอริย 4 ประการ
สิ่งแรกที่ทรงสอนก่อนเลยคือ "ทุกข์"

คนเราเกิดมาทุกคนวิ่งหนีทุกข์ วิ่งหาสุขกันทั้งนั้นใช่ไหม
ตั้งแต่เกิดจนตาย.. เราพยายามเรียนหนังสือ อยากได้เกรดดีๆ อยากเรียนเก่ง
อยากเป็นคนเก่ง อยากมีงานดีๆทำ อยากได้เงินเยอะๆ
อยากทานของอร่อยๆ แพงๆ อยากช้อปปิ้ง อยากไปเที่ยว
อยากดูหนัง อยากมีโน่นมีนี่ อยากมีแฟน อยากมีคนรัก

ทุกอย่าง.. เพราะเราคิดว่า สิ่งเหล่านั้น มันจะนำความสุขมาให้
ถามว่า ทำไมต้องหาความสุข เพราะเราไม่อยากมีทุกข์ จากความไม่มี ไม่สมหวัง

ฉะนั้น.. อนุมานได้ว่า.. เราต่างยอมรับกันว่า ชีวิตโดยปกติมันเป็นทุกข์ตลอดเวลา
ไม่ต้องทำอะไร นอนๆ นั่งๆ ก็ทุกข์นะครับ ก็เพราะทุกข์ มันถึงต้องหาสุข
นอนมากๆ ก็เมื่อยต้องพลิกตัว นั่งมากๆก็เมื่อย ต้องเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ

ผมขมวดให้น้องผมฟังว่า.. พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้เราเข้าใจอะไร มากไปกว่า "ทุกข์" ครับ

คือถ้าคนเรามีแต่สุขอย่างเดียว โลกนี้ ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าหรอก
แต่เพราะในธรรมชาติของชีวิต ทุกข์มันอยู่กับเราตลอดเวลา
ไม่ทุกข์กาย ก็ทุกข์ใจ สลับกันไป สลับกันมา

ผมตั้งใจจะถามน้องเขาว่า.. รู้ไหม ทำไมคนเราถึงต้องไปปฏิบัติธรรม
คำตอบคือ.. เพราะเราจะได้เข้าใจในธรรมชาติของทุกข์

พระพุทธเจ้าบอกว่า.. ทุกข์ คือกาย กับจิต ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
การจะเข้าใจทุกข์ ก็คือการเข้าใจธรรมชาติของกาย กับธรรมชาติ ของจิต..

เครื่องมือในการทำความเข้าใจธรรมะ หรือธรรมชาติของกายและจิต เราเรียกว่า "สติ"

คนส่วนมาก คิดว่าตัวเอง "รู้ตัว" ตลอดเวลา ว่าทำอะไร คิดอะไร
แต่ส่วนมากเราจะ"รู้เรื่องที่เราคิด" แต่ "ไม่รู้ว่า กำลังคิดอยู่"

พูดแบบนี้ จะงงหน่อยนะครับ อันนี้ผมขออภัย..
แต่สังเกตไหมครับ ว่าคุณจะ "รู้เรื่องที่งง" แต่ไม่ค่อย "รู้สึกตัวว่ากำลัง งง อยู่"

หรือถ้าถึงบรรทัดนี้ คุณมีคำถาม .. คุณก็จะรู้ว่า อยากถามอะไร
แต่ไม่รู้ตัวว่า กำลังมีความอยากเกิดขึ้น

ถามว่า.. แล้วถ้ารู้แล้วจะได้อะไรเหรอ คุณแอสตัน
ตอบว่า.. ถ้ารู้บ่อยๆ คุณจะเริ่มตื่นขึ้นมา พร้อมกับสัมมาสติ คือสติที่ตั้งมั่น
สภาวะจิตคุณจะเริ่มเป็นกลาง ไม่ไหลไป ไม่หลงไป แต่ก็ไม่ฝืน ไม่บังคับกดข่ม

คุณจะเห็นและรับรู้ว่า.. จิตมีธรรมชาติที่ไม่ต่างกับกาย คือเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เที่ยงแท้ถาวร เป็นทุกข์ และบังคับไม่ได้

จะดี จะชั่ว จะคิดดี คิดร้าย หรือเฉยๆ มันก็เกิดแล้วต้องดับ เท่าๆกัน

เมื่อเห็นความจริงอย่างนั้น นานๆเข้า คุณจะเริ่มเข้าใจ ว่า.. เออ.. มันเป็นของมันอย่างนั้นเองแหละ

พอเข้าใจถึงขั้นนี้บ่อยๆ ทุกข์ที่คุณมี จะเริ่มระคายเคืองคุณน้อยลงๆ
จนจิตคุณยอมรับว่า.. จิตมันไม่ใช่สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" หรอก

"ตัวเรา" ไม่เคยมีตั้งแต่ไหน แต่ไร มีแต่ความหลงเข้าใจว่า
สิ่งนั้นคือตัวเรา สิ่งนี้มีตัวตน

ผมยังไม่ถึงขั้นยอมรับหรอกครับ ขั้นเข้าใจ ก็พึ่งจะเริ่มๆ
บางทีก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ตามกำลังสติที่มีมากบ้าง น้อยบ้าง

ผมมักจะบอกน้องๆเสมอว่า.. ปฏิบัติธรรมนี่
เราไปที่วัดเพื่อ "เรียน" นะครับ

แต่ถ้าจะ "ลงมือทำ" จริงๆ มันต้องทำทั้งในวัด นอกวัด
จะรอให้ไปถึงวัด นุ่งขาว ห่มขาว อาราธนาศีลแล้วค่อยเริ่ม
อันนั้นเห็นจะไม่ได้การ

เพราะทุกข์ มันไม่เคยเลือกว่า มันจะเล่นงานเรา ในวัด หรือนอกวัด เวลาปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติ
จะนุ่งขาว ห่มสี จะอยู่ทางโลก หรือทางธรรม

ประสบการณ์ผมเตือนว่า ถ้าจะปฏิบัติธรรมให้ได้ผลจริงๆ
มันต้องปฏิบัติให้ได้ในแบบธรรมชาติของเราจริงๆ
เคยใช้ชีวิตยังไง ก็ปฏิบัติมันในแบบนั้น อย่าไปแยกว่า อันนี้ เวลาทางโลก อันนั้นทางธรรม

เหมือนจะรักแฟน ก็ต้องรักทั้งต่อหน้าและลับหลัง ว่ากันอย่างนั้นเลย

แล้วแบบนั้น เราจะได้ประโยชน์จริงๆ จากการสละเวลาทางโลก ไปทรมานสังขารที่วัด

อย่าหาว่าผมมาเลคเชอร์เลยนะคร้าบบบ .. เล่าสู่กันฟังเจ๋ยๆ


ว่าแล้วก็ไปนอน.. ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ






 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2549 0:46:27 น.
Counter : 2679 Pageviews.  

ยิ่งมาก กลับน้อย



เรื่องมันเริ่มขึ้นสืบเนื่องเพราะคอมพิวเตอร์ที่ทำงานผมมันช้าครับ

ผมเลยได้อาศัยเวลาจะหาข้อมูลอะไรในเนทนี่แหละ
เป็นเวลาดูจิต ดูความเบื่อของตัวเอง ว่าความเบื่อมันก็ขึ้นๆลงๆอย่างนั้น

แล้ววันนี้ ดูๆอยู่ ก็เห็นความคิดมันผุดขึ้นมาอันนึง
คือจะว่าไป ถ้าย้อนไปสามปี คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ มันแจ๋วมากเลยนะจอร์จ

แต่ทุกวันนี้ มันช้าลง เพราะโปรแกรมเอย เว็บไซท์เอย มันใหญ่ขึ้น มันใช้ Resource ของเครื่องเยอะขึ้น ที่เคยเร็ว เลยกลายเป็นช้า

ผมพาลนึกไปถึงเรื่องเงินเดือน

สมัยผมยังเรียนอยู่ เคยนึกว่า โหย.. ถ้าเงินเดือนสัก เก้าพันหมื่นนึง ผมคงแฮปปี้แล้ว

ผมเริ่มทำงานด้วยเงินเดือน 7,120 บาท จำแม่นเลย..
จริงๆเงินเดือนน่ะ 6 พันนิดๆ บวกค่าครองชีพอะไรอีกหน่อย

ทำไปได้ไม่ถึงปี แจ๊คพ็อตแตก เขาปรับฐานเงินเดือนใหม่
กลายเป็น 12,000 บาท
สมัยเกือบ 20 ปีก่อน โอ๊ววว.. เยี่ยมมั้ยล่ะ ซาร่าพาราเซตามอล

แล้วไงล่ะ.. วันนี้เงินเดือนไปถึงไหน กลับรู้สึกว่ามันไม่เยอะเหมือนเดิม

นานมาแล้ว ผมเคยได้ FWD Mail พูดเรื่องทุกข์ของคนเมือง
เขาบอกว่า เรามีตึกสูงระฟ้า.. แต่จิตใจคนกลับเตี้ยลง
เราหาเงินได้มากขึ้น แต่เรามีความสุขจากการใช้มันน้อยลง

ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า เราหาเงินได้เท่าไหร่
ถ้าเราหาเงินได้เท่าเดิม แต่ใช้น้อยลง เราก็จะรู้สึกว่าเรามีเยอะขึ้น
หรือถ้าหาเงินได้เท่าเดิม แต่ใช้มากขึ้น มันก็จะรู้สึกเหมือนเรามีน้อยลง

เป็นผู้ใหญ่นี่ มันติดอยู่คำเดียว ว่า.. ภาระ น่ะครับ

ฉะนั้น ถ้าเข้าใจได้ว่า ซอฟแวร์บางตัวมันจำเป็นสำหรับเครื่องคอมของเรา
ก็พอทำใจได้ว่า เครื่องมันก็คงช้าลง ไม่ปรู้ดปร้าดเหมือนเดิม
แต่ก็อาจจะต้องไปดูว่า เครื่องเรามีอะไรไม่จำเป็นเก็บไว้หรือเปล่า

วันนี้ เหมือนมาบ่นให้ฟัง.. แต่ผมให้กำลังใจตัวเอง และทุกท่านนะครับ

วันศุกร์อีกแล้ว.. เร็วจังเลย



วันนี้พาคุณไปฟังเพลงจากอัลบั้ม "พี่น้องในอ้อมแขน" ของคณะ ไดร์ สเตรท (Dire Strait) ครับ เพลงชื่อว่า จะกังวลไปทำมั้ย.. why worry




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 0:46:15 น.
Counter : 1172 Pageviews.  

งานรัดตัว

เขียนอยู่ตั้งนาน จนเสร็จแล้ว ดันคลิกผิด หายหมดเลย งือ



มีคนบอกว่าเวลาคนเรา Unlucky In Love เรามักจะ Lucky In Game

สำหรับผม มาเห็นจริงก็ตอนนี้แหละ
งานประจำก็เยอะ งานพิเศษ ก็วิ่งเข้าหา มีแต่คนอยากให้ไปทำโน่น ทำนี่

อย่างพรุ่งนี้ วันพุธ ที่ 22 ช่อง 7 ก็ขอให้ไปบรรยายรายการ American Music Awards คู่กะพี่นิมิตร บ๊อบบี้

ผมบรรยายสดตั้งแต่เช้า แต่เขาจะเอาเทปมาออน ตอนกลางคืนนะครับ

พฤหัส ศุกร์ เสาร์ จะต้องวุ่นกับผู้บริหารต่างชาติ ที่บินมาตรวจตลาด
ไหนจะเรื่องธุระส่วนตัว ต้องไปดูลูกสาวตัวน้อยเต้นในงานโรงเรียน และเป็นพิธีกร คู่กะพี่ชายของเธอ

ไหนจะรายการตอนบ่าย ไหนจะมีงานจ๊อบ ที่ทำมานานแล้วทุกหัวค่ำวันอาทิตย์

กลับมาเป็นคนทำงานยุ่ง 7 วัน นี่ก็ดีสำหรับคนโสดนะครับ
แต่ถ้ามีแฟน คงจะดูไม่จืดเหมือนกัน อาจจะต้องมีรายการสละงานเพื่อแฟนกันบ้าง

เคยมีคนถามว่า ขยันแบบนี้ เอาเงินไปเก็บทีไหน
ตอบไว้ตรงนี้ได้เลย ว่าผมยังเป็นหนี้อยู่ครับ มีค่ารถ ค่างวดต้องผ่อน
ตราบใดที่ยังมีหนี้ ก็อย่าเพิ่งบอกให้ผมหยุดเลย
ผมคงมีแรงทำงานแบบนี้ได้อีกไม่นานหรอก

หนี้อันสุดท้าย ที่อยากจะสร้าง ก็คือที่อยู่อาศัย
ไม่งั้นอีกที ก็ต้องหาแฟนที่เขามีบ้านเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
ไม่ก็ต้องรวยๆ ชนิดขอลูกสาว พ่อตา แถมบ้านให้
ซึ่งมันก็จะดูเป็นเงื่อนไขแปลกๆและทุเรศเกินไป ในการเลือกแฟน

อย่ากระนั้นเลย.. หาเงินซื้อเองดีกว่า สบายใจ

ผมจัดรายการมาครบ สองอาทิตย์ สี่ครั้ง
เพิ่งจะรู้สึกว่า พอใจ ก็เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง

ที่ว่าพอใจ คือรู้สึกดี เมื่อครบเวลา ก็หวังว่าจะทำได้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
แต่ยังไม่ถึงขั้นเพอร์เฟกท์ ร้อยเปอร์เซนต์
ซึ่งก็อาจจะไม่มีวันนั้น เพราะถ้าเพอร์เฟกท์ ร้อยเปอร์เซนต์ ก็อาจจะฟังดูไม่เหมือนผมจัด 555

ผมมีพูดถึงนักร้อง ชื่อ นีล ยัง ผมบอกว่า หมอนี่เขียนเพลงเก่ง แต่ผมไม่ชอบแกร้องเพลง
แกร้องเพลงแปลกๆ เสียงดูเมาๆ ขึ้นจมูก ฟังดูไม่เพราะ ว่างั้น

แล้วผมก็บอกว่า แต่จะไปบอกให้เขาเปลี่ยนวิธีร้อง ให้ร้องเหมือน ไลโอเนล ริชชี่
มันก็ไม่ใช่ นีล ยัง น่ะสิ

คนเรา ไม่ต้องสมบูรณ์แบบก็ได้นะครับ
ขอให้มันดูโอเค ดีที่สุด เท่าที่เป็นได้ ก็พอแล้ว

แล้วอีกอย่าง โลกนี้มีเอลวิส คนเดียว ไมเคิล โบลตัน คนเดียว อันเดรีย โบเชลลี่ คนเดียว มีแนท คิง โคล คนเดียวก็พอแล้ว

ถ้านักร้องทุกคน เสียงเพราะแบบ อันเดรีย โบเชลลี่ กันหมด ก็น่าเบื่อตาย
ให้ลุงนีล ยัง แกเป็นของแกไปแบบนั้นแหละ

ช่วงนี้ ปลายปีแล้ว คุณๆ ก็คงยุ่งๆเหมือนกัน
ดูแลสุขภาพนะครับ





 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2549 23:50:27 น.
Counter : 1318 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.