Group Blog
 
All blogs
 

ฮ่องกง อึ่มเซ็กก๋อง โหวเส็ก

อย่างที่เคยเกริ่นไว้ในใบลา ว่าไปประชุมที่ฮ่องกงครับ

เอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนประชุมครึ่ง เที่ยวอีกครึ่ง

วันแรกไปถึงก็บ่ายสาม คุยงานย่อยๆรอบนึง ก็ค่ำพอดี
ได้เดินดมๆๆฮ่องกง นิดหน่อย

วันที่สองกับสาม หนักไปทางฟังบรรยายเรื่องโน้นเรื่องนี้
เรื่องสินค้าใหม่ เทคโนโลยีใหม่ เรื่องกรณีศึกษาของประเทศต่างๆ
เรื่องผลงานของแต่ละทวีป เรื่องกฏหมายที่ควรระวัง

วันแรกจบด้วยโต๊ะจีนมื้อใหญ่ที่โรงแรม ซึ่งเล่นเอาฝรั่งงง
เพราะปกติอาหารฝรั่งเขามีแค่ 3-4 อย่าง
คือออเดิร์ฟ หรือของเรียกน้ำย่อย แล้วก็เมนคอร์ส ตบด้วยของหวาน

มาเจอโต๊ะจีนที่เสริฟชุดใหญ่ แปดจานรวมหูฉลามนี่
เขาอึ้งนะครับ ว่าคนเอเชียทำไมทานเก่งอย่างนี้ 5555

วันที่สามนี่เขาบรรยายแค่ครึ่งวัน อีกครึ่งวันมีออกรอบตีกอล์ฟ
ซึ่งผมตีไม่เป็นครับ ผมเด็กบ้านนอก
ตอนเด็กๆเล่นแต่โดดหนังยาง ตี่จับ หมากเก็บ แล้วเขาเรียกอะไรนะ
ไอ้ที่ขีดๆตารางไปบนพื้นแล้วกระโดดเหยียบขาเดียว ไปๆมาๆน่ะ
ไฮโซสุดก็ตีแบด เตะบอล 555

เขามีจัดทัวร์ฮ่องกงให้ไปเรือมังกรจับโบ้
ไปอ่าวอเบอร์ดีน ตลาดแสตนลีย์ ไปนั่งรถกระเช้า
ปรากฏทีมผมต้องอยู่ประชุม

เสร็จแล้ว เลยต้องไปทานมื้อเที่ยงเอง ที่ร้านบะหมี่ใกล้ๆ
ต้องเรียกว่าเป็น typical noodle shop ของฮ่องกง
เส้นบะหมี่เขาเล็กแต่เหนียว อร่อยมากครับ ผมซัดไปสองชาม

ถ้าไปฮ่องกงไม่รู้จะสั่งอะไร สั่งพวก "วันตันหมี่"
คือหมี่เกี๊ยว (ไม่ใช่หมี่หนึ่งตันนะ) ไม่น่าผิดหวังนะครับ

แล้วทุกร้านจะมีผัดผักเรียกว่า "ฉ่อยซ๊าง" อร่อยอีกเหมือนกัน

กว่าจะได้ประชุมจริงๆคือวันที่ 4 ครับ ที่เขานัดคุยแยกของแต่ละประเทศ
ก็เจรจาๆๆๆ ต่อรองๆๆๆ จนหาจุดที่เป็น win win เจอ ก็ชั่วโมงกว่าๆ

หลังจากนั้น นายแอสตัน ก็เป็นอิสระจากงานทั้งปวง
ก็เดินสำรวจย่านโรงแรมที่พัก เขาเรียก คอสเวย์เบย์ Causeway Bay
พบว่าเป็นแหล่งเดินของวัยรุ่นเหมือนสยามสแควร์
แต่ไม่ไฮโซเหมือนสยามปลาร้าก้อน กลุ่มที่มาเดินค่อนข้างเป็นเด็ก หนุ่มสาว

ผมเดินแถวนั้นก็ประมาณไปเดินเซนเตอร์พอยด์ยังไงยังงั้น

ถ้าอยากไฮโซต้องไปฮาร์เบอร์ซิตี้ ไปเดินถนนแคนตัน
ที่มีร้านแบรนด์เนมเรียงกันตั้งแต่กุซชี่ เฟอร์รากาโม หลุยส์วิตตอง ฯลฯ

หรืออย่างวันสุดท้ายที่เดินที่ IFC Mall ก็คือสยามปลาร้าก้อนเราดีๆนี่เอง

ฮ่องกงมีสองร้านที่ผมอยากให้มาเปิดในกรุงเทพจริงๆ
คือ HMV และ IKEA

ผมไปเสียเงินเยอะที่ HMV เพราะราคาถึงจะไม่ถูกกว่ากรุงเทพ แต่ของเยอะกว่า

โดยเฉพาะ DVD บ้านเราโดยเฉลี่ยถือว่าถูกกว่า
เพียงแต่บางเรื่องบ้านเราไม่มีขาย
เช่นหนังของฮายาโอะ มิยาซากิ แห่งสตูดิโอกิ๊บลี
มีขายในราคา 490 บาท

หรือมีก็มีแต่แผ่นผี หรือไม่ก็คุณภาพไม่ค่อยดี เช่นหนังเกาหลีอย่าง A Moment To Remember หรือ Il Mare

ผมดันลืมซื้อหนังเรื่อง Cinema Paradiso มาด้วย
เพราะเมืองไทยก็ไม่มีของแท้เหมือนกัน

ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปย่าน เจียมซาจุ่ย ไปถนนนาธาน
ที่คนไทยชอบไปซื้อกล้องถ่ายรูป มือถือ ที่ร้าน "อากี"
อากี แกเพิ่งย้ายร้านไปอยู่ในซอยถนน Carnarvon นะครับ
ถ้านั่งรถใต้ดินลงที่สถานี เจียมซาจุ่ย ให้มองหาทางออก D2
โผล่ปุ๊บจะเห็นร้านใหม่ของ อากี มีภาษาไทยเขียนหน้าร้านว่า "อากีอยู่ที่นี่"

กล้องถ่ายรูปที่ร้านแกก็ไม่ได้ถูกที่สุดนะครับ เท่าที่สำรวจราคาแถวนั้น
แต่เข้าใจว่า แกพูดไทยคล่องปรื๋อ หนึ่ง
สอง แกไม่เคยมีประวัติต้มคนไทย ประเภทของ พันสอง หลอกขาย สองพัน
หรือเอาของเทียมมาขายแล้วบอกของแท้

ทีแรกผมอยากได้ canon IXY 800 แต่ผมไปนั่งคุยๆ แล้วก็ไม่ได้ซื้อครับ
ส่วนนึงเพราะมีกล้อง SLR อยู่แล้ว เลยซื้อ XD memory card 1 GB มาแทน

อีกส่วนเพราะซื้อไปเยอะแล้ว แฮ่....
จากร้านอากี เดินทัวร์ถนนนาธานไปจนถึงสถานีนาธาน
แล้วนั่งรถเมล์ไปย่าน หม่งกก ไปเดินตลาดนัดแบกะดิน

แล้วกลับมาทานข้าวหมูย่าง หมูแดง แถวที่พัก อร่อยอีกตามเคย
อาหารจานเดียวที่นั่นตกราคาเกือบ 150 บาทนะครับ

วันสุดท้าย ไปทานโจ๊กไข่เยี่ยวม้าหมูเส้น ที่หน้าโรงแรมมาร์โคโปโล
ชื่อร้าน Happy Garden Noodle อร่อยมากนะครับ
ใครได้ไปฮ่องกง อันนี้ผมแนะนำ เป็นอย่างยิ่ง

ปิดท้ายก็ไปเสียเงินให้ร้าน Lane Crawford ที่ IFC Mall
เพราะเขามีโซนขาย CD ที่เก๋มาก คือทำเป็นเคาน์เตอร์ยาวๆ
แล้วมีชั้นโชว์ซีดีด้านหลัง มีที่นั่งหน้าเคานเตอร์
มี iPod พร้อมหูฟังอย่างดีให้คุณนั่งเลือกฟังอะไรก็ได้
เขาโหลดลง iPod ให้หมดแล้ว

พอดี เขาไม่ให้ถ่ายรูป เลยไม่มีรูปปลากรอบ

มีคำแนะนำว่า ถ้าคุณไปฮ่องกง ตอนจะออกจากสนามบิน
ให้ซื้อตั๋ว Octopus เป็นเหมือน Smart Purse บ้านเราน่ะครับ

บัตร 300 เหรียญฮ่องกง คิดเป็นเงินไทย เกือบๆ 1500
แต่ขากลับคุณมารับค่ามัดจำบัตรคืนได้ 50 เหรียญ
ที่เหลือคุณใช้นั่ง Airport Express รถไฟด่วนเข้าเมืองไปกลับ ได้ 1 รอบ
แต่นั่ง MRT รถไฟใต้ดินได้ฟรีไม่จำกัดจำนวน เป็นเวลา 3 วัน
รถเมล์ รถราง ผมไม่แน่ใจว่าใช้ได้ฟรีด้วยไหม แต่มีเครื่องรับบัตรแน่ๆ

ใครที่ไปอยู่เกิน 3 วัน แบบผม มีเทคนิคบอกให้ครับ
คือพอเกิน 3 วัน บัตร Octopus คุณจะมีมูลค่าเป็นศูนย์
นั่งรถใต้ดินไม่ได้

ให้คุณไปเติมเงินที่เครื่องเติมเงินของบัตร ซึ่งจะมีอยู่ในสถานี MRT ใหญ่ๆ เติม 50 หรือ 100 เหรียญก็ได้

แล้วคุณจะใช้บัตรนั้นขึ้นรถใต้ดินฟรีตลอดสาย
ไม่จำกัดจำนวน โดยเงินในบัตรยังอยู่ครบ ไปขอ Redeem ได้ที่สนามบิน

การเติมเงินมันเป็นการ re-activate บัตรเท่านั้นเองครับ

เขียนยาวมากไปหน่อย ขออภัยนะครับ

แต่ยังไม่จบ ไว้ต่อตอนหน้านะครับ




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2549    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2549 23:25:39 น.
Counter : 2034 Pageviews.  

กลับมาพร้อม King Of Pain ตามสัญญา

ผมกลับมาแล้วครับ ใครมีเครื่องนวดเท้า ขอผมยืมหน่อย

เรื่องฮ่องกง มีเรื่องเล่าหลายเรื่อง แต่ขอแปะไว้ก่อน

บล็อคที่แล้ว มีสัญญาผูกพันไว้สองเรื่อง

เรื่องแรกคือ จะเอาเพลงที่ชื่อเดียวกันกับน้องท่านนึง
ที่ผมเป็นแฟนประจำบล็อคเขางอมแงม สูสีกะคุณ Q Nuh คุณดำรงเฮฮา มาให้ฟัง

ฟังกันอยู่นี่แหละ เพลงชื่อ King Of Pain
เพลงของเดอะ โพลิส อ่านแบบสะดวกปากหน่อย ก็โปลิส

เป็นงานในสตูดิโออัลบั้ม ชุดสุดท้ายของสติง ก่อนจะออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว
โปลิส ปกติจะมีแค่ 3 คน สติงทำร่วมกับเพื่อนอีกสองคน
คือแอนดี้ ซัมเมอร์ และสจ๊วต โคพแลนด์
ชื่ออัลบั้มว่า Synchronicity ซิงโครหนิคซิตี้
มีเพลงดังมากชื่อ Every Breath You Take อยู่ในนี้ด้วย

แต่คิงออฟเพน นี่ก็ไม่กระจอกนะ ขึ้น top 3 ทีเดียวเชียว

อีกเรื่องคือ... ใครที่อยากฟังเพลงที่ผมชอบเปิดๆให้จุใจกว่านี้ โอกาสมาถึงแล้วครับ

ทีแรกผมก็ลังเลนิดหน่อย ว่าจะบอกดีไหม
คือบางท่านที่รู้จักตัวจริงผม
ส่วนมากก็ทราบว่าผมมีงานอดิเรกอย่างนึง
คือการเป็นผู้จัดรายการวิทยุ

ทีนี้ ที่ไม่ได้บอก ก็เพราะเดิมที ผมอยากให้ aston27
มีความเป็นส่วนตัว ไม่ปะปนกะโลกที่ผมอยู่

อีกอย่างคือ ผมว่างเว้นจากการจัดรายการมาเกือบสองปีได้
ฉะนั้น ช่วงที่มาเริ่มเขียนบล็อค ก็ไม่มีประโยชน์จะบอก

ทีนี้ มีพี่ที่สนิทกัน เขาชวนให้กลับไปจัดอีก
จะไม่ไปก็กลัวไม่มีตังค์ซื้อบ้าน เอ๊ยยย.. ไม่ใช่
กลัวพี่เขาว่าเราเล่นตัว

จะเริ่มเดือนหน้านี้เป็นต้นไป เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ บ่ายโมง ถึง 4 โมงเย็น ที่คลื่นอะไร ไว้ค่อยบอกอีกทีนะครับ

ตอนนี้ขอไปนอนก่อนนะครับ เพิ่งเคลียร์ข้าวของจากกระเป๋า อาบน้ำอาบท่าเสร็จ

คร่อกกกก ผันดีครับ




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2549    
Last Update : 30 ตุลาคม 2549 0:02:16 น.
Counter : 1293 Pageviews.  

ลาไปฮ่องกง



เรียนท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน

เนื่องด้วยบริษัทที่ผมทำงาน มอบหมายให้ผมเดินทางไปร่วมประชุมที่ฮ่องกง เป็นเวลา 5 วัน นับจากวันที่ 24-28 ตุลาคม ศกนี้

จึงเรียนมาเพื่อขออนุญาตพักการเขียนบล็อคไว้ จนกว่าจะเดินทางกลับมา

อนึ่ง เพื่อความไม่ประมาท เพราะไม่มีใครทราบว่า ชีวิตคนเราจะมีเหตุอะไรให้เราจากไปก่อนเวลาอันควรหรือไม่

ผมจึงขอแสดงความปรารถนาดี และขอบคุณทุกท่าน ที่แวะเวียนมาอ่าน ไม่ว่า ท่านจะคอมเมนท์ หรือไม่คอมเมนท์ แสดงตัวหรือไม่แสดงตัว

ผมเองก็หวังว่า จะได้เดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพ แต่ก็นั่นแหละ ต้องสุดแท้แต่โชคชะตาแหละนะ

ถ้ายังไงได้กลับมา จะมีข่าวดีมาบอก แต่ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน

ถ้าอย่างไร ขอให้ทุกท่านโชคดี มีความสุข มีรอยยิ้มกันได้ทุกวันทิวาราตรีกาล

จนกว่าจะได้พบกันใหม่ครับ

aston27



เพลงวันนี้เป็นบันทึกการแสดงสดของ Glady Knights ที่เอาเพลงสองเพลงมาผนวกกัน

เพลงนึงชื่อ Try To Remember เพลงเก่าที่ผมเองยังไม่แน่ใจ ว่าใครร้องเป็นคนแรก ระหว่าง the Kingston Trio หรือ Henry Belafonte

แต่ใครเคยดูหนังจีนเรื่องนึง ที่หลี่หมิงเล่น แต่ผมจำชื่อไม่ได้ (ปลาทองอีกแล้ว ตู ) จะมีเพลงนี้เป็นเพลงเอกอยู่ ไม่แน่ใจว่าใช่ the City Glass หรือเปล่า

อีกเพลงคือ The Way We Were เพลงเก่าของ ป้าสตรัยแซนด์

ทีแรกจะเอา leavin' on a jet plane ของ ปีเตอร์ พอล แอนด์ เมรี่ มาฝาก แต่ผมเสียว
เพราะคนเขียนเพลงนี้ คือ จอห์น เดนเวอร์ เขาจากไปเพราะเครื่องบินเจ็ทจริงๆ แฮ่




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2549    
Last Update : 29 ตุลาคม 2549 1:55:21 น.
Counter : 1512 Pageviews.  

จน !! เครียด!! เขียนบล็อค !!



เคยเห็นโฆษณารณรงค์เลิกเหล้าตัวนั้นแล้วใช่ไหมครับ
ตลกดีนะครับ แล้วหลักแหลมมาก

คือคนกลุ่มที่รายได้น้อย ที่ชอบกินเหล้านี่..
ถ้าอยู่ๆไปบอกว่า เอ่อ.. เลิกเหล้าเถอะ ก็คงสะบัดหน้าพรืดไป
เห็นพยายามกันมาหลายปี เลิกเพื่อแม่ก็แล้ว
เลิกเพื่อในหลวงก็แล้ว แต่เหล้าก็ยังขายดิบขายดี

ทีนี้พอบอกว่า ถ้าจนแต่ยังกินเหล้าก็จะเครียดเพราะจน
แล้วก็ต้องไปเอาเหล้ามาละลายทุกข์ (ชั่วขณะ)
เลยกลายเป็นวงจรอุบาทว์อยู่อย่างนี้

ขาเหล้าเจ้าไหน ยังจนอยู่ ถ้าเห็นโฆษณาตัวนี้
ก็ต้องหยุดคิดนิดนึงล่ะ.. ผมว่า..

เชื่อไม่เชื่ออีกเรื่อง..
อันนั้นสุดแท้แต่บุญแต่กรรมของคน

อยู่ๆ ผมพูดถึงเรื่องนี้ ..ไม่มีอะไรหรอกครับ
คือผมจ้างแม่บ้านเชื้อสายคาเร็น (ภาษาอังกฤษเรียกชาวกระเหรี่ยง ว่าคาเร็นจริงๆนะ)
มาช่วยทำความสะอาด อาทิตย์ละหน ปัดกวาดเช็ดถู

ก็เลยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
เลยทราบว่าบ้านอยู่ท่าสองยาง จ. ตาก
มาอยู่กับแฟนหนุ่มในกรุง ที่เป็นอดีตรปภ.
แต่ผันตัวเองมาเป็นลูกจ้างขายหมูปิ้ง แถวบ้านผมนี่แหละ

เธอบ่นให้ฟังว่าสามีได้ค่าแรง วันละ 250-300
แต่เอาเงินไปลงขวดเบียร์ทุกวัน

อันนี้ก็เลยสะท้อนใจขึ้นมา ว่า.. ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า
ศีเลนะโภคะสัมปทา มีศีลก็เหมือนมีโภคทรัพย์ นี่ก็จริง
อุตสาห์ทำงานแทบตาย ตกค่ำ ดันเอาไปลงขวดเบียร์ซะงั้น

นึกๆแล้วก็เป็นโชคดี ที่ผมไม่นิยมดื่มสุรา
ผมไม่เชื่อโกวเล้ง ว่าคนดื่มสุรา ไม่ได้ชอบที่รสสุรา
แต่ชอบบรรยากาศของการร่ำสุรา

เพราะสำหรับผม อย่างเดียวที่ดีในการนั่งในวงเหล้า
คือ.. กับแกล้มครับ เอิก...

ถามว่าถ้าคนอื่นเครียดแล้วไปกินเหล้า
แล้วคนไม่กินเหล้าแบบผมจะทำไง ..

ตอบว่า.. กินกับแกล้มสิครับ เอ๊ย.. ไม่ใช่..
ก็เขียนบล็อคแบบนี้แหละ..

จน! เครียด! เขียนบล็อค

จน! เครียด! เขียนบล็อค

5555
ฟังเพลงดีกว่า เดี๋ยวคุณจะเพี้ยนตามผม

ไหนๆพูดเรื่องจน เครียด.. ให้ฟังเพลงชื่อ the Hungry Years ซะเลย

แต่ความหมายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พูดหรอกครับ
เพลงนี้ นีล เซดากา พูดถึงชีวิตคู่ ที่เคยผ่านช่วงเวลาลำบากมาด้วยกัน

จนบัดนี้ประสบความสำเร็จ มีวิมานสวยหรูอย่างที่ฝันกันไว้
แต่ชีวิตคู่กลับไปไม่รอด เขาเลยบอกว่า
เขาคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยอดอยากแต่มีความสุขกับเธอมากกว่า



เพลงนี้ดีทั้งเนื้อหา ทำนอง และดนตรี
ใครอยากได้เนื้อเพลง ไปตามลิงค์ได้เลยครับ //www.singulartists.com/artist_n/neil_sedaka_lyrics/the_hungry_years_lyrics.html ครับ




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2549    
Last Update : 23 ตุลาคม 2549 0:01:32 น.
Counter : 1662 Pageviews.  

ปอกเปลือกความคิด : SeaBiscuit

ฝรั่งเขามีคำพูดว่า.. Don't judge a book by its cover
อย่าด่วนตัดสินคุณค่าของหนังสือจากปก

สักสองปีก่อนผมดูหนังเรื่อง Seabiscuit ซีบิสกิต แล้วชอบมากขนาดยอมจ่ายเงินอีกหลายร้อยเพื่อซื้อหนังสือมาอ่าน

สาบานได้ว่าถ้าไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้จากหนัง ผมคงไม่นึกจะอ่าน



ซีบิสกิต เป็นเรื่องของม้าตัวนึง ที่ถูกคนประเมินศักยภาพของมันผิดเพี้ยน
เพราะ "ปก" หรือรูปลักษณ์ของมัน

มันเป็นม้าสายพันธุ์ดี แต่ดันตัวเตี้ย แล้วก็ขี้เกียจ กินจุ ดื้อ พยศ
มันเลยโดนขายทอดเป็นช่วงๆ ต่อๆมาหลายหน
แทบจะไม่มีใครอยากได้มันนอกจากจะเอาไว้เป็นม้ารอง
เพื่อฝึกให้มัน"แพ้" ให้ม้าตัวอื่นในคอกได้คุ้นชินกับชัยชนะ
จนมันมีปมในใจเสมอว่า มันเกิดมาเพื่อ "แพ้"

อยู่มาวันหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่ง ที่มีแผลในชีวิตเหมือนกัน
เนื่องจากตัวเองรวยขึ้นมาจากธุรกิจขายรถ
แต่ลูกชายตัวเองต้องตายเพราะขับรถตกเหว
ภรรยาก็ทิ้งไป เพราะโทษว่าเป็นความผิดที่เขาสอนให้ลูกขับรถ

เศรษฐีเกิดอยากทำคอกม้า เลยต้องหาคนฝึกม้าฝีมือดี
แล้วก็ไปสะดุดตาคนฝึกม้ารักสันโดษคนนึง
ที่ใครๆก็บอกว่าไอ้หมอนี่บ้า ความที่ไม่สุงสิงกับใคร นอกจากกับม้า

คนฝึกม้าที่ว่า ก็รับอาสามองหาม้ากับจ็อกกี้ คนขี่ม้า
แล้วก็ไปเลือกเอาเจ้า ซีบิสกิต ม้าตกยาก ที่ไม่มีใครเห็นค่า
และคว้าเอา เรด พอลลาร์ด จ๊อกกี้ปัญญาชนตกอับ
แถมยังตาบอดข้างนึงอีกต่างหาก มาเป็นจ็อกกี้
เพราะเห็นวิธีที่เรด สื่อสารกับม้า

ทั้งหมด มารวมกัน ฟังดูไม่มีอนาคตเท่าไหร่เลยนะครับ
แต่ซีบิสกิต กลายเป็นม้าตัวนึงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในประวัติศาสตร์การแข่งม้า ของอเมริกา

นิยายเรื่องนี้ เขียนจากเรื่องจริงครับ ไม่ใช่แต่งขึ้น
ทั้งหมดมีตัวตนจริงๆ ในประวัติศาสตร์

คนเราชอบห่อหุ้มตัวเองไว้ด้วยความคิด
ความคิดที่เราเชื่อและที่คนอื่นทำให้เราเชื่อว่าเราเป็น

บางที ก็ต้องอาศัยคนอื่นมาปอกเปลือกความคิดตัวเองออกมา
ถ้าโชคดี ก็มีโยนิโสมนสิการ คิดได้ พิจารณาเองได้ด้วยความแยบคายก็ดีไป

อย่างผมเอง ชอบห่อตัวเองด้วยความคิดว่า
ผมไม่ดีพอสำหรับคนดีๆที่ผมไปชอบเขาหรอก เป็นต้น
อันนี้พยายามปอกเท่าไหร่
เปลือกความคิดตัวเองก็ยังไม่ออกหมดเสียที

หรือบางคน อาจจะห่อตัวเอง ด้วยความคิดว่า
เราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ทำได้แค่นั้น ทำได้แค่นี้
แล้วก็ยอมรับสภาพว่าตัวเองเกิดมาเพื่อแพ้

วันก่อนผมคุยกับลูกน้อง ที่ผมเห็นว่าเธอเริ่มหมดไฟก่อนวัยอันควร

ผมบอกเธอว่า.. ผมไม่อยากให้เธอยอมจำนนกับอุปสรรค
เพราะในวัยของเธอ ที่เพิ่งเรียนจบมาสามสี่ปี
ควรจะเป็นวัยที่มีไฟแรงลุกโชติช่วง ไม่ใช่ดูสลดหดแบบนี้

ผมบอกว่า.. คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะเขาเกิดและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
อันนี้ไปลองหาชีวประวัติคนเก่งๆหลายคนบนโลกนี้ดูก็ได้

ส่วนมากก็ปากกัดเท้าถีบกันมาทั้งนั้น
อนุมานเหมาได้ว่า คนทุกคนเกิดมามีอุปสรรคเท่าๆกัน
เพียงแต่ คนที่ประสบความสำเร็จ
คือคนที่เจออุปสรรคแล้วบอกว่า
ถ้าฉันยอมแพ้ ฉันจะอดตาย ฉันเลยต้องสู้

ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
จะโทษอุปสรรค โทษคนรอบข้าง โทษโน่น โทษนี่
แล้วก็พูดว่า เออ.. ฉันทำได้แค่นี้แหละ

พูดปิดท้าย น้องเขาก็เลยบอกว่า.. หนูกำลังคิดจะลาออกไปเรียนต่อพอดีเลยพี่

ผมก็บอกว่า.. ถ้าจะออกเพราะอยากไปเรียน ก็ไปเถอะ
แต่อย่าออก เพราะวิ่งหนีความล้มเหลวของตัวเอง
เพราะคนเราไปอยู่ที่ไหน ก็มีความยากของมัน มีปัญหาของมัน

เราวิ่งหนีปัญหา หนีองค์กร หนีคนบางคนได้
แต่เราหนีตัวเราเองไม่ได้หรอก
ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้จะยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง
และกล้าที่จะแก้ไขมัน ตั้งแต่ตอนนี้

วันหน้า เราไปเจอปัญหาอื่น หรือปัญหาแบบเดิม
เราก็จะวิ่งหนีไปเรื่อยๆ

ขมวดท้าย ผมบอกเหมือนมอร์เฟียซ์ บอกนีโอว่า
ผมเพียงแต่บอกได้ว่า ทางเดินมันมีอยู่
แต่เขาจะเลือกเดินบนทางนั้นไหม ผมบังคับไม่ได้ และจะไม่บังคับ

ถ้าเจอหนังเรื่องนี้ ใน UBC ก็ดี หยุดดูนะครับ
ถ้าเจอในร้านขายก็ดี ซิวมาได้เลยครับ ยกเว้นที่แผงขายแผ่นผี

เพลงวันนี้ชื่อ send in the clown ไอ้ คลาวน์ คำนี้แปลว่าตัวตลกครับ
นักร้องชื่อ Lou Rawls อ่านว่า ลู รอวส์
เป็นคนร้องเพลงโปรดอีกเพลงของผม ชื่อ If I were a magician ไว้วันดีคืนดี จะเอามาฝาก

โชคดีมีสุข วันศุกร์กันทุกท่านนะครับ




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2549    
Last Update : 21 ตุลาคม 2549 14:58:38 น.
Counter : 6004 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.