Group Blog
 
All blogs
 

Autonomy Fantasia

เขากำลังจะเริ่ม AF ฟีเวอร์รอบใหม่อีกแล้วครับ

สารภาพว่า ผมไม่ค่อยได้ตามดู หรือสนใจพวก Reality โชว์เท่าไหร่

ผมไม่ค่อยรู้สึกว่า การไปนั่งดูคนอื่น ยืนเดินนั่งนอน มันสนุกเท่าไหร่

ผมแอบอนุมานเอาว่า อะคาเดมี แฟนเทเชีย มันดังขึ้นมาได้
เพราะว่ามนุษย์ชอบแอบดูคนอื่น หนึ่ง
สอง.. มนุษย์รู้สึกดี ที่ได้เล่นบทเป็นพระเจ้า กำหนดให้คนนี้อยู่ คนนั้นไปได้

อันนี้ ไม่ได้บอกว่า คนชอบดูผิดปกติ หรือไม่ดี อย่างไรเลยนะครับ
เป็นความชอบที่แตกต่าง ที่สามารถทำได้ตามอัธยาศัย

ว่าแต่...
จะเชื่อไหม ถ้าบอกว่า .. พระพุทธเจ้า เป็นต้นความคิดของ Reality Show ตั้งแต่ สองพันกว่าปีก่อน

เพียงแต่ ไอ้คนที่ท่านทรงแนะนำให้เราตามดู ไม่ใช่ บอย พัดชา อ๊อฟ ซีแนม หรือ AF เบอร์ไหน

ท่านสอนให้พวกเราตามรู้ ตามดู คอยระลึกรู้ ความเป็นไปของตัวเราเองนี่แหละ

ถามว่า.. มันจะมีอะไรให้ดู
ตอบว่า.. ลองเองสิครับ แล้วจะรู้ว่ามียิ่งกว่ามี

ใครที่เคยเห็น AF เบอร์ไหน นั่งร้องไห้ ด้วยความอึดอัด
ทุกข์เพราะเรื่องโน้นเรื่องนี้ อิจฉา ริษยา หรือปรารถนาดี
ท้อแท้ หรือฮึกเหิม สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นคนดีบ้าง เป็นคนเลวบ้าง ลังเลบ้าง หิว อิ่ม ง่วง บ้า ซ่าส์ ต๊อง ฯลฯ

มันก็มีอยู่ในตัวเราครบถ้วนหมดเลย มีให้ดูชนิด ไม่ซ้ำหน้าทุกห้านาที ทุกนาที ทุกวินาที ด้วยซ้ำ ถ้าจิตคุณละเอียดพอ

ที่น่าสนใจคือ.. เราเริ่มอธิบายได้ว่า
ไอ้กายนี้ ที่เราคิดว่า มันคือกายของเรา ทำไมเราอยากให้มันเต่ง มันตึง เหมือนอายุ 25 ตลอดเวลา
มันถึงทำไม่ได้

ใจนี้ ที่เราคิดว่ามันคือใจของเรา
เวลามันทุกข์ เราอยากให้มันสุข ทำไมถึงทำไม่ได้
เวลามันซึม เราอยากให้มันแช่มชื่น ทำไมทำไม่ได้
เวลามันมัวๆ หมองๆ เราอยากให้มันแจ่มใส ทำไมทำไม่ได้

ผมเคยได้ยินตั้งแต่เด็กๆ ว่า.. ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการเอาชนะใจตัวเอง

Academy Fantasia รุ่นที่สาม จะผ่านมา แล้วผ่านไป เหมือนสองรุ่นก่อน
จะมีผู้ชนะได้ ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจสละเงินโหวตของพี่ป้าน้าอา

แต่ Autonomy Fantasia แม้่ว่ามันจะพิสดารล้ำลึกกว่า academy fantasia มากมายนัก
ก็ไม่มีใครมาช่วยเราโหวตได้นะครับ

กฏของ Autonomy Fantasia คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ไม่มีคู่แข่ง เป็น AF เบอร์ไหน นอกจากความสงสัย ความคิด ความขี้เกียจ ความหลง ของตัวเอง

คนที่ชนะ AF ใน UBC รางวัลคือบ้าน เงิน ชื่อเสียง

คนที่ชนะ Autonomy Fantasia ในชีวิตจริง รางวัลคือสติ ปัญญา ความลดน้อยถอยลงของทุกข์
จนถึงที่สุดแห่งทุกข์จริงๆ

ไม่ต้องสมัคร ไม่ต้องคัดเลือก ไม่ต้องกระเสือกกระสน
เพียงคุณหลับตา หายใจเข้า รู้สึกตัว หายใจออก รู้สึกตัว
คุณก็เข้าสู่บ้าน AF โดยอัตโนมัติ

ดู Academy Fantasia มาสองปีแล้ว
อย่าลืมดู Autonomy Fantasia บ้างนะครับ




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 3 กรกฎาคม 2549 22:13:44 น.
Counter : 1336 Pageviews.  

SEX SEX SEX: SHOP SHOP SHOP

ก่อนจะเข้าเรื่อง .. ขอแถลงอะไรหน่อยนะครับ

สิ่งที่ผมเขียนไม่ว่าจะในกระทู้ หรือในบล็อคไหน
โปรดใช้วิจารณญาน บนพื้นฐานว่า คนเรามีสภาพแวดล้อมและปัจจัยเกื้อหนุนต่างกัน

อย่างเรื่องลาออกจากงานที่เขียนไปคราวก่อน
ถ้าจะลาออก ก็อย่าออก เพราะพยายามคิดแบบเดียวกับผม

เพราะบ่อยครั้ง มุมมองบางอย่าง มันเป็นกลไกในการคิดเพื่อเข้าข้างตัวเอง
เพื่อให้เราทุกข์น้อยลง ด้วยการเติมความเห็นดีๆ สวยๆ เข้าไปไว้ในหัว

ถ้าคุณทำตามผม แล้วเวลามีทุกข์ คุณรับมือไม่ได้อย่างผม ผมจะบาป

คราวนี้เข้าเรื่อง ..
ชื่อเรื่องคราวนี้ ดูหวาดเสียวหน่อยนะครับ

ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่อง Sex Shop ที่หมายถึงร้านจำหน่ายสินค้าว่าด้วยเรื่องเพศนะ

แต่ผมสังเกตเห็นกระทู้ในสวนลุมฯ หลังๆมีเรื่องแบบนี้บ่อย

คือมีเชื้อสายฝ่าย อีฟ หรือ อีวา หลายท่านไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้ชายหรือหน่อเนื้อของ อาดัมให้ความสำคัญกับ sex มาก

ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อนะครับ ว่าผู้หญิงจำนวนมาก สามารถแต่งงานมีชีวิตคู่ที่เป็นสุขกับคนรักได้ โดยไม่ต้องมี sex เลย

แต่ผมก็เชื่ออีกว่า มีผู้หญิงน้อยคน ที่จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขได้ โดยปราศจากการ Shopping

ผมอาจจะไม่สามารถอธิบายได้ว่า พระเจ้า หรือธรรมชาติเล่นกลอะไรกับมนุษย์
ทำไมกลไกอวัยวะของสองเพศ ถึงได้ผลิตฮอร์โมนที่ต่างกัน
ทำไมสมองผู้ชายถึงโดนสร้างพิมพ์เขียว ให้เป็นฝ่ายกระตือรือร้นในการเจริญพันธุ์ มากกว่าฝ่ายหญิง

เหมือนกับที่ผมบอกไม่ได้ว่า ทำไมช็อคโกแลต ดอกไม้ ความสวยงาม และการช้อปปิ้ง ถึงมีอิทธิพลกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ผมบอกได้แต่ว่า.. ถ้าจะพูดว่าผู้ชายไม่สนใจอะไรนอกจาก Sex Sex Sex
ก็คงพูดได้ว่า ผู้หญิงไม่สนใจอะไร นอกจาก Shop Shop Shop

มันเป็นความต่าง ที่ไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไม เท่ากับต้องการการยอมรับ และประนีประนอม

เรื่อง Shop ผมไม่มีคำแนะนำ เพราะผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องจิตใจสตรีมากนัก
แต่ลองไปอ่านหนังสือพวก คำสารภาพของสาวนักช้อปดูได้

ส่วนเรื่อง sex ผมไปตอบกระทู้ไว้อันนึง แบบนี้ครับ..
~ Sex จำเป็นสำหรับชีวิตคู่ ? ~
คิดว่าเรื่อง Sex มีความจำเป็นกับการใช้ชีวิตคู่หรือป่าวค่ะ
ที่ถามเพราะเห็นเพื่อนคนหนึ่ง บอกว่า เรื่องนี้ไม่ได้มี
ความสำคัญสำหรับเค้าซักเท่าไหร่ เค้าและแฟนอยู่
ด้วยกันเหมือนเพื่อน ไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องนี้เท่าไร
อยู่ด้วยกันที่ความเข้าใจม๊ากกว่า

แต่เมื่อคุยกับเพื่อนอีกคน เขาก็จะบอกว่า จำเป็น
สำหรับเค้าม๊ากๆ แล้วเพื่อนๆ หล่ะค่ะ มีความเห็น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง ( ถามเป็นความรู้นะค่ะ )
ไม่ได้ทะลึ่งนะค่ะ..

จากคุณ : หวังดีเสมอ


ความคิดเห็นที่ 22

ถามแบบนี้ เหมือนถามว่าคนเราจำเป็นต้องมีโทรทัศน์ไหม

ถ้าตอบแบบคนธรรมดากลุ่มใหญ่ทั่วไป ก็ต้องบอกว่าจำเป็น
แต่ผมเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่บ้านไม่มีโทรทัศน์ เขาก็อยู่ได้
เพียงแต่ชีวิตก็จะไม่มีอะไรให้เสพอย่างที่คนมีโทรทัศน์เขามี

ไม่ได้บอกว่า อะไรดีกว่าอะไร อะไรผิดอะไรถูกนะครับ
sex เป็นเรื่องความสมดุลย์ของความต้องการของคนสองคน

ยิ่งเป็นคู่สมรส ยิ่งไม่มีคำว่า ถูก หรือผิด จำเป็นหรือไม่จำเป็น
ถ้าสองฝ่ายต่างก็มีความต้องการ ก็ต้องบอกว่า จำเป็น
ถ้าทั้งคู่ ไม่มีใครต้องการเลย ก็ตอบได้ว่า ไม่จำเป็น

ในรายละเอียด ของกรณีที่มีความต้องการ ก็มีข้อปลีกย่อยออกไป
เช่นฝ่ายนึงชอบมาก อีกฝ่ายชอบน้อย ก็มีปัญหา
ฝ่ายนึงชอบแบบปกติ ฝ่ายนึงชอบพิสดาร ก็มีปัญหา

แต่ถึงจะอย่างไร .. จะจำเป็นแค่ไหน
โทรทัศน์ก็เป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนึงของบ้าน
ไม่ใช่ทั้งหมดของบ้าน

ถ้าทั้งบ้านมีองค์ประกอบที่น่าอยู่ ลงตัว สุขสบาย
ไม่มี โทรทัศน์ไปอย่างนึง ผมว่ามันก็หาอย่างอื่นชดเชยได้นะ

มันสำคัญ จำเป็น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ถ้ามีก็ดี ไม่มีก็ไม่ตาย แต่อาจจะหงุดหงิด :)

บางที ..ผมยังอยากไปอยู่บนดอย หรืออยู่ริมทะเลไกลๆเลย

จากคุณ : aston27


ชีวิตคู่ต้องการอะไรมากกว่า sex เหมือนที่บ้านก็จำเป็นต้องมีอย่างอื่นนอกจากโทรทัศน์น่ะครับ

จะว่าไป โทรทัศน์ อาจดูเป็นตัวเลือกอันดับแรกเวลาซื้อของเข้าบ้าน
แต่มันไม่ใช่ของสำคัญที่สุดอย่างเดียวหรอก

sex ก็เหมือนกัน

เที่ยวหน้า ถ้าจะไปเดทกับผู้ชายสักคน
ถ้าสงสัยว่า เขาให้ความสำคัญกับเรื่อง sex ไหม
ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่า เรื่องช็อปปิ้ง สำคัญกับเราไหม

อันนี้ผมจับคู่เอาเองนะครับ

บางคนอาจจะบอกว่า ของผู้หญิงเอาเรื่องความสวยความงามดีกว่าไหม
เพราะธรรมชาติสร้างผู้หญิงให้ทำตัวสวยๆ เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม โดยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ แกถึงบอกว่า กิจกรรมทั้งหมดของคนเรา นำไปสู่เรื่องๆเดียวกัน คือ sex

ไม่ต้องเห็นด้วยกับแกหรอกนะครับ แค่ลองคิดดูเล่นๆ
มันมีส่วนจริงบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด

พูดถึงเรื่อง sex บางท่านอาจจะสงสัยว่า
ดูผมธรรมะ ธรรมโม สนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ

อันนี้ก็เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของหลายท่าน
บางคนบอกผมว่า อยากจะเข้ามาศึกษา เข้ามาปฏิบัติ
แต่ก็เข้าใจว่า คนปฏิบัติธรรมนี่ ต้องใช้ชีวิตอีกอย่างนึง

ต้องไม่แต่งงาน ต้องไม่มี sex ต้องไม่เที่ยว ไม่ช้อปปิ้ง ต้องเป็นคนดีทุกวินาที ทำงานเพื่อการกุศลไปหมด หวังกำไรไม่ได้ เพราะต้องไม่มีความโลภ

ก็เลยไม่ยอมศึกษาธรรมะ เพราะคิดว่า ธรรมะเป็นเรื่องของคนอยู่วัดเท่านั้น
ไม่ใช่กิจของคนอยู่บ้าน

ที่จริง เขาเข้าใจถูกต้องแค่ข้อแรก ข้อเดียว ที่ว่า.. คนปฏิบัติธรรมนี่ ต้องใช้ชีวิตอีกอย่างนึง

ชีวิตอีกอย่างที่ว่า.. คือชีวิตที่มีสติครับ
ที่เหลือยังเป็นธรรมดา ได้ทุกอย่าง..

เน้นคำว่า ธรรมดา นะครับ ชีวิตคนธรรมดาจริงๆ
ไม่ใช่เป็นโจร ปล้นฆ่า ข่มขืน แล้วบอกว่านี่ธรรมดาของผม
ไม่ใช่ไปเป็นชู้กับสามีภรรยาคนอื่น แล้วบอกว่านี่ธรรมดา

แต่หมายถึงการดำรงชีวิตแบบปกติ ที่มนุษย์ทั่วๆไป ธรรมดา ควรจะเป็น
เรียนหนังสือ ทำงาน ดูแลตัวเอง ดูแลบุพพการี มีคนรัก แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก ทำได้หมด

ในศีล 5 ไม่ได้มีข้อไหน ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ห้ามมีความรัก ห้ามช้อปปิ้ง นะครับ

แต่ถ้าคุณปฏิบัติไปเรื่อยๆ.. แบบถูกแนวนะ
คุณจะเห็นความสำคัญของเรื่องพวกนี้น้อยลงๆเอง เมื่อถึงเวลา
คุณจะเห็นมันเป็นภาระ เห็นมันเป็นส่วนเกินอย่างนึง ไม่ใช่สิ่งที่ขาดไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน

สุขสันต์วันอาทิตย์นะครับ
ใครจะ sex จะ shop อะไร ก็ตามอัธยาศัย นะครับ




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2549 11:34:32 น.
Counter : 1727 Pageviews.  

ทุกอย่างในชีวิตมีราคา ทุกการตัดสินใจมีต้นทุน

ไหนๆก็หลุดปากไป ว่าจะเขียนเล่าถึงตัวเองบ้าง
ก็ค่อยๆแพลมไปทีละนิดละหน่อยก็แล้วกันนะครับ
อย่าเพิ่งปาหมอนก็แล้วกัน

ผมเชื่ออย่างนึงว่า .. ชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก

ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ ตั้งแต่เด็กจนโต ตั้งแต่เกิดจนตาย
เรามีสิทธิจะเลือกทำ ไม่ทำ อะไรสักอย่างได้เสมอ

แม้แต่การไม่เลือก ไม่ตัดสินใจ ก็นับว่าเป็นการเลือกอย่างนึงเหมือนกันนะครับ

ทุกครั้งที่เลือก ทุกอย่างที่เลือก มันมีราคาที่เราต้องจ่าย
ทุกการตัดสินใจมันมีต้นทุนของมันเสมอ

บ่อยครั้ง ที่ต้นทุนของการตัดสินใจในบางครั้ง ของบางคนอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงไปทั้งชีวิต

สมัยผมเรียนจบใหม่ๆ ผมได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ที่สุดในประเทศแห่งหนึ่ง
เป็นการได้งานที่มากับโชคโดยแท้ เพราะเขามารับสมัครถึงคณะ โดยวิธีคัดคนที่เกรดดีๆ ไปสอบ

ทั้งคณะที่สมัคร มีผมคนเดียวที่ได้งานจากรอบนั้น

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี บริษัทมั่นคงมาก รายได้ดี เพื่อนร่วมงานดี ระบบการทำงานดีเลิศ สวัสดิการเยี่ยม
และมี career path ที่สดใส

สี่ปีต่อมา เมื่อเพื่อนสนิทมาชวนให้ออกไปทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ด้อยกว่าทุกด้าน นอกจากเงินเดือน และตำแหน่ง
ผมก็รู้สึกว่า เป็นความท้าทายที่จะออกไปผจญภัย

เพียงเพราะว่า ผมกลัวว่าถ้าอยู่นานเกินไป
ผมจะติดอยู่กับความมั่นคงแล้วไม่กล้าเดินออกไปไหน

หลังจากนั้น ผมก็เรียนรู้ว่า การตัดสินใจครั้งนั้น มีต้นทุนสูงมาก และผมพูดได้ว่า เป็นความล้มเหลว

แต่ก็อีกนั่นแหละ.. การลงทุนแล้วเจ๊ง ไม่ได้แปลว่ามันจะแย่ตลอดไป

ผมได้งานใหม่ในบริษัทโฆษณา top 3 ของเมืองไทย
เป็นอีกครั้งที่ได้กลับเข้ามาอยู่ในระบบงานขององค์กรที่ดีที่สุดที่ผมเคยรู้จัก
เพียงแต่คราวนี้เป็นแบบฝรั่ง ไม่ใช่ของคนไทยอย่างที่แรก

ผมลงทุนอีกครั้ง หลังจากอยู่เกือบห้าปี ด้วยการลาออก
ไปทำงานที่นอกสารบบการเป็นลูกจ้างประจำ
ด้วยเหตุผลว่า ผมอยากมีเวลาให้ลูกชายคนแรกมากๆ

อีกสองปีผมกลับมาทำงานประจำอีกครั้ง เพราะอยากหาความท้าทายใหม่
แต่ผมยังไม่ทันหาจังหวะที่ดีของตัวเองเจอ ก็เกิดมรสุมใหญ่กับชีวิตแต่งงานของตัวเอง

ถ้าใครเคยใช้คำว่า.. โลกทั้งใบมันพังลงต่อหน้า คุณก็คงเข้าใจความรู้สึกผมตอนนั้นล่ะครับ

ผมหมดอาลัยตายอยากอยู่ช่วงนึง งานที่ทำก็ต้องลาออก
ถามว่า ผมรอดมาได้ยังไง..
.. ช่วงนั้นผมเริ่มรู้จักวิปัสสนาบ้างแล้ว
แม้จะยังไม่เก่ง ยังไม่แตกฉาน ยังทำผิดบ้าง ถูกบ้าง
แต่ก็รู้สึกว่า เป็นบุญ ที่ตัวเองมีสติคุ้มหัว มีสติเป็นที่พึ่ง
มีการรู้ลมหายใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว

รายละเอียดขอไม่เล่านะครับ มันเกี่ยวพันกับอดีตภรรยา และครอบครัวเธอ ซึ่งปัจจุบันเราก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน
เอาเป็นว่า มันแล้วไปแล้ว

ผมตุปัดตุเป๋ อยู่พักนึง กลับมาเริ่มงานใหม่ ในสายโฆษณา ย้ายมาการตลาด
ก็ยังไม่เจออะไรที่ลงตัวแบบเมื่อก่อน

ตอนนี้งานก็ยังไม่ลงตัวมากนัก เหมือนเดิม อาจจะเพราะผมไม่เก่งพอ ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับบริษัทที่ระบบมันไม่เสถียร
อาจจะเพราะผมไม่เก่งพอที่จะรื้อระบบแล้วเซทมันใหม่

ผมมีวันที่ท้อเหมือนกันครับ มีวันที่รู้สึกว่า.. โหย.. เราตัดสินใจพลาดขนาดนี้เลยเหรอ

แต่ทุกครั้ง ผมจะคิดได้ว่า.. ถ้าจะคิดว่าการลาออกจากที่ทำงานดีๆ อนาคตดีๆ เป็นการลงทุนราคาแพง
ผมก็ไม่ได้จ่ายราคาแพงโดยไม่ได้อะไรเลย

ถึงผมจะไม่ได้อะไรดีๆสมบูรณ์แบบกลับมา แต่ผมก็โชคดีที่ผมได้เจอ ได้เห็นโลกกว้างขึ้น

ผมได้รู้จักคนดีๆอีกหลายคน ทั้งคนดังคนไม่ดัง ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ
ได้รู้จักธุรกิจอีกหลายแบบ หลายด้าน หลากมุม
ได้เห็นข้อดี ข้อด้อยของหลายองค์กร เปรียบเทียบกัน
อย่างที่ผมคงไม่มีโอกาสได้รู้จัก ได้เจอ ถ้าผมยังพูนสุขอยู่กับที่ทำงานที่แรก

ถ้าจะลืมเรื่องความสำเร็จในแง่การทำงาน ความมั่นคง เรื่องตำแหน่งชื่อเสียงเงินทองไปบ้าง ผมก็พอใจนะ

ผมมักจะมองชีวิตเป็นการเรียน
เพียงแต่ผมไม่เรียนปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยไหน
ผมเรียนเอาจากมหาวิทยาลัยชีวิตของผมเอง และผมก็จ่ายค่าเรียนด้วยหลายๆอย่างที่ผมเสียไปนั่นแหละ

เติ้งเสี่ยวผิงเคยบอกว่า.. แมวน่ะ สีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูเป็นก็ใช้ได้

ผมเคยอ่านเรื่องที่อาจารย์คนนึงให้ข้อสังเกตกับนักศึกษากลุ่มนึงระหว่างพักดื่มกาแฟ
ถ้วยกาแฟที่เตรียมไว้ มันมีหลายแบบ มีทั้งแบบแก้ว ดินเผา กระเบื้องเคลือบ
ลวดลาย สีสัน รูปทรง ต่างๆกัน

นักศึกษาแต่ละคนก็จะสาละวนกับการเลือกถ้วยใบที่ตัวเองชอบ อยู่เป็นนานสองนาน

อาจารย์ก็บอกว่า.. จริงๆน่ะ จะไปคิดมากทำไม ว่าถ้วยสีอะไร ลายไหน
เพราะที่เราต้องการจริงๆ คือกาแฟ ไม่ใช่ถ้วยสักหน่อย

ถ้วยไม่ต้องสวยก็ได้ แต่ขอให้กาแฟหอมอร่อย กลมกล่อม พอแล้ว

อย่างที่บอก.. ของทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย
ของฟรีไม่มีในโลก

ถ้าจะซื้อของครั้งต่อไป คำนวณต้นทุนให้ดี
แต่ถ้าซื้อไปแล้ว ก็อย่าเสียดาย ใช้มันให้คุ้ม

ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2549    
Last Update : 30 มิถุนายน 2549 0:27:26 น.
Counter : 3345 Pageviews.  

ภาพตัดต่อเจ้าชายจิ๊กเม จากอินเตอเนตถึงมวลชน

ตั้งใจจะเขียนบล็อคใหม่ตั้งแต่วันจันทร์
แต่ไม่รู้ล็อคอินผมมีปัญหาอะไร ทำยังไงก็ไม่ยอมให้เปิดเข้าแก้ไขบล็อคตัวเอง

สงสัยอาจจะเป็นเพราะทางบล็อคแก๊งพันทิพ เขากลัวผมจะเขียนถึงตัวผมเองแล้วจะเสื่อมเสียถึงบล็อค ก็เลยบล็อคล็อคอินผมไปซะงั้น ฮ่าฮ่า

อันนี้พูดเล่นนะครับ

แต่ที่พูดจริงๆคือ ถ้าการเขียนบล็อคมันมีพิษร้ายเหมือนยาเสพติด ผมคงจะลงแดงไปแล้ว

พูดถึงเรื่องเสื่อมเสีย เมื่อวานไปทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารของตึกที่ทำงาน
เห็นไทยรัฐวางอยู่ มีรูปฟ้าชายจิ๊กเม กอดกับสาวหมวย
ข้อความประกอบข่าวประมาณว่า เป็นภาพที่เผยแพร่ในอินเตอเนท และเป็นที่กล่าวขวัญกันว่าเสื่อมเสีย
เพราะผู้เชี่ยวชาญว่า น่าจะเป็นการตัดต่อภาพมากกว่าของจริง

ผมอ่านแล้วก็อมยิ้ม เพราะความจริง ที่น่ากลัวกว่าอินเตอเนท ก็คือไทยรัฐ
คนที่ตัดต่อรูป ก็ไม่น่ากลัวเท่าบก.หน้าหนึ่ง

อินเตอเนทแพร่ไป อย่างมากก็ถึงคนแค่กลุ่มเดียว ไม่กี่เปอร์เซนต์ของประเทศ
แต่พอไทยรัฐลงปุ๊บ คราวนี้ได้เผยแพร่กันจากดอยแม่สลอง เชียงแสน ไปถึงนราธิวาส
เห็นกันหมดไม่ว่าจะมีคอมพิวเตอร์ หรือไม่มีคอม ติดอินเตอเนท หรือไม่ติด

อย่างผมเล่นเนทมานาน ผมก็ไม่เห็นจะได้ FWD mail ที่ว่า แถมยังไม่รู้เรื่องอะไร จนกระทั่งไทยรัฐเอามาลงนั่นแหละ

ผมเลยไม่รู้ว่าตกลงไทยรัฐ เอามาตรฐานอะไรมาตัดสินว่า คนที่เผยแพร่ในเนทนี่ทำให้เสื่อมเสีย ไม่สมควร
แต่ตัวเองเผยแพร่ได้เป็นรูปใหญ่ สมควรต้องลง เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา?

เรื่องรูปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก มีมาแล้วหลายกรณี
ถ้าใครจำได้กรณีที่เจ้าตัวเขาลุกมาสู้แล้วชนะด้วย คือคุณใหม่ เจริญปุระ

ผมเรียนสื่อสารมวลชนมา ผมเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ในการทำธุรกิจของสื่อ
แต่ผมก็จำได้ว่าผมถูกสอนว่า สื่อมวลชน ต้องมีจิตสำนึกและจรรยาบรรณ

ผมถึงเคยบอกในหลายที่ว่า.. ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่า รัฐบาลนี้ปิดหูปิดตาประชาชน
ในทางตรงข้าม ผมเห็นว่าสื่อมวลชนบ้านเราโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์มีอภิสิทธิ์คับฟ้า
เขียนด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ลงรูปอนาจาร รูปพระเสพเมถุนโจ๋งครึ่ม แม้แต่ลงรูปฟ้าชายจิ๊กเม่ ที่ตัวเองก็เขียนว่า เป็นเรื่องไม่สมควรจะเผยแพร่

หนังสือพิมพ์บางฉบับด่าในเล่มอย่างเดียวไม่พอ เปิดเว็บไซท์ด่าอีก จัดรายการทีวีพอโดนถอดเพราะพาดพิงสถาบัน ก็จัดเวทีสัญจร ไปด่าว่ารัฐบาลเผด็จการอีก

ที่น่าแปลกคือมีคนเชื่อ .. เยอะด้วยสิครับ
แม้ในเวลาต่อมาจะมีการชี้มูลลงมาว่า สิ่งที่นักหนังสือพิมพ์ท่านนั้นพูดจะเป็นการกล่าวหาที่คลาดเคลื่อน
คนที่เชื่อก็ไม่ได้ใส่ใจประเด็นเหล่านั้น ยังคงปักใจเชื่อสิ่งที่ลุงแกพูดต่อไป

จนผมตกใจว่า.. ตกลงมาตรฐานใหม่ของสื่อบ้านเรามันเปลี่ยนไป
จากที่เราเคยเชื่อว่า.. ต้องเสนอข่าวโดยปราศจากอคติ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มี ตราบใดที่นักข่าวยังเป็นมนุษย์
ต้องนำเสนอความเป็นจริง ทั้งสองด้าน

กลายเป็นถ้านำเสนอข่าวด้านลบของรัฐบาล แปลว่ามีจุดยืน
ถ้าลงข่าวด้านบวกของรัฐบาล แปลว่าโดนแทรกแซง หรือยอมสยบใต้อำนาจรัฐ

ถ้าเอาเรื่องเสื่อมๆของศาสนาก็ดี คนดังที่ไหนมาลงหน้าหนึ่งได้ แปลว่าเก่ง
ถ้าเอาเรื่องดีๆในสังคมมาลง มันขายไม่ได้ มันจรรโลงโลกเกินไป

ผมเห็นความเป็นไปของหนังสือพิมพ์บ้านเราแล้วก็หม่นๆในหัวใจยังไงบอกไม่ถูก

นี่ถ้าบ้านเราไม่มีในหลวงที่มีพระบารมีสูงอย่างรัชกาลปัจจุบัน
ผมไม่กล้านึกเหมือนกัน ว่าสนธิจะกลายเป็น Jean-Paul Marat คนที่สองขึ้นมาหรือเปล่า

ใครอยากรู้เรื่อง Jean-Paul Marat เชิญหาอ่านได้ที่นี่นะครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=littletiger&month=03-2006&date=19&group=1&blog=2

ขออนุญาตพี่เสือน้อยกลอยใจไว้ ณ ที่นี้เลย

ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าจะมาเขียนถึงตัวเองให้คุณรู้จัก
ผมว่าผมเป็นคนธรรมดาน่ะ เขียนไปก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น
เขียนแล้วคุณอ่านจบก็จะปาหมอนเสียเปล่าๆ

เอาเป็นว่า ในฐานะผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติด้วยการเจริญสติในกาย ในจิต
ผมเห็นอย่างนั้นจริงๆ ว่าผมเป็นมนุษย์ธรรมดา เหมือนคนอื่นๆ
มีดี มีเลว มีเจริญ มีเสื่อม มีบาป มีบุญ มีกรรมดี กรรมชั่ว

ถ้าจะมองในส่วนเลว
หลายๆอย่างของความเป็นผู้ชายที่ในห้องสวนลุมฯเขาด่าๆกัน
ผมก็เคยทำมาแล้ว ผมไม่ได้ดีหมดจดตั้งแต่เกิดหรอกครับ

ทุกวันนี้ ความอยากก็ยังมีเกาะเต็มไปหมด ยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง รอคิวจะมาจ๊ะเอ๋ ในทุกขณะจิตเหมือนเดิม

อาจารย์ผมเคยสอนว่า.. ถ้าจะหาคนหลายใจที่สุดในโลกนี้มาสักคน ไม่ต้องมองไปไกล มองเข้ามาข้างในตัวเอง แล้วจะเห็น ว่าจิตเรานี่แหละ หลายใจที่สุด

เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวชอบใจสิ่งนี้ เดี๋ยวไม่ชอบใจสิ่งนี้
อารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยเหตุและปัจจัย เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทุกขณะจิต

เริ่มต้น ด่าคนอื่น ลงท้ายด่าตัวเอง ยุติธรรมดีนะครับ




 

Create Date : 28 มิถุนายน 2549    
Last Update : 30 มิถุนายน 2549 0:20:10 น.
Counter : 1511 Pageviews.  

Knowing the Path & Walking the Path

ผมติดหนี้คุณดุสิตาไว้ ในสองบล็อคก่อนหน้านี้
สัญญาว่าจะมาอธิบายว่า ที่คุณดุสิตาบอกว่า..
"หรือการไม่รับรู้ข่าวสารอะไรเลย
จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ .." ยังไม่ใช่คำตอบน่ะครับ

เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ในบล็อคโน้น..ว่า
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนหูหนวก ตาบอด ก็บรรลุธรรมกันหมดแล้ว

แต่ถ้าคุณดุสิตาจะหมายถึงการพ้นทุกข์ ในแบบทางโลก
คือพ้นจากทุกข์ที่เจออยู่เป็นเรื่องๆ
การถอยห่าง ไม่รับข่าวอะไรบ้าง ก็ช่วยได้จริงๆนะครับ

อย่างผมอ่านข่าวการเมืองแล้วทุกข์ เพราะหงุดหงิด เบื่อ
ผมก็เอาสติตามรู้ความเบื่อตัวเอง แล้วก็เลือกจะงดรับข่าวการเมืองลงบ้าง

อันนั้นผมเรียกว่าช่วยบรรเทาทุกข์ ทางใจตามปกติ
แต่ถ้าจะเอาขนาดพ้นทุกข์ แบบ ทางธรรม คือนิพพานไปเลย
การปิดหู ปิดตา ปิดใจ ไม่รับรู้อะไรเลย ถือว่าผิดหลักครับ

เพราะคนเรานั้นจะพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญา
ปัญญาที่ทำให้เราพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย
ปัญญาตัวนี้ ไม่ใช่ปัญญาจากการเรียนด้วยการอ่าน การฟัง การถาม

เป็นปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา
เป็นปัญญาที่มาได้จากการเจริญสติ เข้าไปรู้ไปเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติของกายและจิต

ถามว่า.. แค่รู้ แค่เห็นธรรมชาติของกายและจิต จะช่วยอะไรได้
ตอบว่า.. ต้องลองทำเอง..

คือ.. พูดตามทฤษฎี คนเราถ้าเห็นอะไรบ่อยๆ ก็จะเข้าใจได้ โดยไม่ต้องอธิบาย
ความเข้าใจนั่นแหละคือปัญญา

ตามทฤษฎีนะครับ.. เราไม่พ้นจากทุกข์ เพราะเรายังมีความเห็นผิดอยู่
ว่ากายนี้ ใจนี้ เป็นตัวเรา เป็นของเรา ว่ามันเที่ยง มันบังคับได้

การที่เราเห็นความจริง ที่เกิดขึ้นในกาย ในจิตเราบ่อยๆ
มันจะค่อยๆบอกเราว่า ความจริงแล้ว กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ตัวเรา
ตัวเรา ไม่เคยมี มีแต่ธาตุที่มาประกอบกันเป็นกาย ที่เสื่อมถอยไปเรื่อยๆ
อันนี้หลายๆคนคงเห็น คงสังเกตได้

จิตเราไม่เคยมี มีแต่ความยึดมั่นในอุปาทาน ขันธ์ทั้ง 5 ว่าด้วย รูป เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำ) สังขาร (การคิดปรุงแต่ง) และวิญญาน (การรับรู้)

พูดแบบนี้ รับรองว่างงกันเป็นแถบๆ
แต่ก็อย่างที่บอก.. ว่ามันคือทฤษฎี ไม่ช่วยอะไรมากมาย
พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่า ไม่ต้องเชื่อหรอก ให้ลองพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเอง แล้วจะเห็นเอง

ในโลกนี้ มีคนที่รู้ทฤษฎีแบบละเอียด จำพระไตรปิฎกได้เป็นตู้ๆ แต่ไม่เคยเข้าถึงจริงๆ เพราะไม่เคยปฏิบัติ ก็เยอะนะครับ

สมัยพุทธกาลก็มีอยู่ ปัจจุบันก็ยังมี ในหนังเรื่อง the Matrix มอร์เฟียร์ซ ก็พูดว่า Knowing the path มันเป็นคนละเรื่องกับ walking the path

รู้ว่าทางนั้นมีอยู่ ก็ไม่สู้ เดินไปบนทางนั้น

ถามว่า.. คนเราเป็นคนดี มีศีล ไม่เบียดเบียนใคร ไม่พอเหรอ
ตอบว่า.. ก็แล้วแต่ว่าเราจะมองในระดับไหน
การเป็นคนดี มีศีล ไม่ทำผิดคิดชั่ว อันนี้ในระดับทางโลกก็ดีนักหนา ตายไปก็ได้เป็นเทวดา หมดบุญก็ว่ากันใหม่
เวียนลงมาเกิดใหม่ วัดดวงเอา

แต่ถามว่า ถ้าเราเกิดมา มีสติปัญญา มีโอกาสได้เกิดในแผ่นดินธรรมของพระเจ้าอยู่หัวฯ
ที่พระองค์เอง ก็ใฝ่ใจในการเจริญสติวิปัสสนาอยู่อย่างยิ่งยวด
ได้เจอ ได้อยู่ใกล้พุทธศาสนาแค่เอื้อม

เราจะทิ้งโอกาสที่จะได้สัมผัสของดี ที่ไม่รู้ว่าเกิดชาติหน้าจะมีโอกาสอีกไหม ไปทำไม

แต่ทั้งหลายทั้งปวง ก็แล้วแต่บุญ กุศล บารมีของแต่ละคนนะครับ

ผมบอกได้แค่ว่า ทางนั้นมีอยู่ แต่ท่านจะเดินไปหรือไม่
ก็สุดแท้แต่.. ผมไม่ทุกข์ ไม่บังคับ เพราะผมเข้าใจ ผมเคยอยู่ในสถานะคนนอกศาสนามาก่อน
และศาสนาพุทธ ไม่ได้เน้นการชวนใครมานับถือกราบไหว้พระพุทธเจ้า

เราเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่ใช่ศรัทธา
เราเจริญในศาสนาในโลก ด้วยการนำของสติ ไม่ใช่ศรัทธา

ผมบอกได้แต่ว่า.. ทางนี้ เป็นทางที่เดินแล้วเป็นสุข
เดินแล้วเราอยู่กับโลกได้ ด้วยความทุกข์ที่น้อยลงๆ
ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดข่มบังคับอะไร แต่ก็ไม่ไหลไปกับกระแสของกิเลส จนหาทิศทางไม่เจอ

ผมบอกได้เท่านี้.. และอวยพรให้ทุกท่านมีโอกาสได้เดินบนทางเส้นนี้ ไม่วันใดก็วันนึง

*****************************
ที่จริง.. ผมกะว่าวันนี้จะมาเขียนเล่าบางมุมของตัวเองให้คุณรู้จัก
เพราะผมรู้ว่า หลายคนสงสัย ว่า aston27 ตัวจริงเป็นใคร
เป็นคนยังไง

แต่พอลงมือเขียนจริงๆ ตัวหนังสือมันไหลไปทางโน้นเสียนี่
งั้นก็เก็บไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ วันนี้ยาวแล้ว

สุขสันต์วันเสาร์ครับ วันนี้อากาศดีจัง




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2549    
Last Update : 24 มิถุนายน 2549 11:14:10 น.
Counter : 1123 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.