Group Blog
 
All blogs
 

ข้าวหน้าแกงกะหรี่หมู ของผม

วันนี้ขอไร้สาระอีกสักวันนะครับ

หยุดหลายวันนี่.. กินๆ นอนๆ เปรมไปเลยนะครับ

เมื่อวานไปนั่งไล่อ่านบล็อคชาวบ้านเขาเลยไปเจอสูตรทำข้าวแกงกะหรี่หมูเข้า

อาหารญี่ปุ่นจานนี้ ใครชอบโดราเอม่อน คงทราบดีว่าเป็นเมนูฮิตของคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะเด็กๆ

สมัยก่อนผมไม่เคยลองสั่งมาทานซักที เพราะไม่คิดว่ามันจะอร่อย
จนมีวันนึง ไม่รู้จะสั่งอะไร เลยเอาวะ.. ลองดูสักตั้ง
โฮะๆๆๆ... ทำไมมันอร่อยอย่างนี้..

เมื่อวานพอได้สูตรมา ก็ไปซุปเปอร์เดินซื้อของมาใส่ตู้เย็นไว้ วันนี้เพิ่งจะได้ฤกษ์ลงมือทำ

ส่วนตัวเครื่องแกงสำเร็จรูปยี่ห้อ Vermont ได้รับอภินันทนาการจากแม่ครัวสาวท่านนึง มานานแล้ว
เพราะเธอเห็นผมบ่นว่า ชอบกิน เลยแนะนำยี่ห้อนี้ให้

เมื่อวานพอคิดว่าจะทำ เธอก็โทรมาพอดี (อายุยืนมาก)
แล้วแนะเพิ่มว่า นอกจากสูตรที่ผมไปอ่านเจอมา ควรจะใส่แอปเปิลเพิ่มด้วย

ผมเลยลองรื้อตู้เย็นดู มีแอปเปิลเขียวอยู่ลูกนึง พอดี
นางฟ้าที่ไหนมาเสกไว้ให้หว่า.. อิอิอิ

สูตรผมไปเอามาจากที่นี่ครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=balloon&group=11

ขอขอบคุณ จขบ. โน้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย ครับ

ระหว่างที่ล้าง ปอก หั่น หัวหอม แครอท แอปเปิล พริกหยวก (อันนี้ผมเพิ่มเอง) และหมูอย่างเมามัน
ป๊ะป๋า ก็โผล่มา .. เราทักทายกันสองสามคำ
ผมถามว่า พ่อทานข้าวหรือยัง .. กะว่าจะใช้พ่อเป็นเหยื่อทดลอง

"เรียบร้อย".. พ่อไม่ตกหลุมแฮะ .. แต่มายืนดูแว่บนึง
แล้วก็บอกว่า..
"อยู่คนเดียว .. ซื้อกินเอาง่ายกว่ามั้ง"
"ข้าวแกงหน้าบ้าน 25 บาท ได้ตั้งสองอย่าง"

ฮ่ะๆๆ พ่อผม.. ให้กำลังใจ สุดๆ

ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ปั้นออกมาจนได้
ใครโผล่มาใน MSN พอบอกว่า ทำกับข้าวอยู่ ก็แซวกันใหญ่
ว่าจะกินได้เหรอ

ปั๊ดธ่อ...

ออกมา หน้าตาเป็นแบบนี้ .. อร่อยมากๆ ขอบอก

ไม่ได้โม้ด้วย เพราะไม่ได้ชื่อสมรักษ์

ลองทำดูสิครับ ผมว่า ถ้าผมทำแล้วอร่อย
ใครก็ทำได้แหละ

อิ่มจังเลย ... อิอิอิ




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2549    
Last Update : 12 มิถุนายน 2549 17:23:01 น.
Counter : 1271 Pageviews.  

ดาวินชี่โค้ด : คุณค่าของผู้ที่ควรแก่การกราบไหว้ เคารพ

ในที่สุด ผมก็ไปดู ดาวินชี่โค้ดจนได้

หนังก็เดินเรื่องเหมือนๆกับในหนังสือ เพียงแต่ตัวละครไม่เหมือนที่ผมนึกไว้

ศจ. โรเบิร์ต แลงดอน ที่ผมนึกภาพไว้ จะเป็นแฮริสัน ฟอร์ด เมื่อสัก 15 ปีก่อน
ตอนที่เล่น อินเดียนน่า โจนส์ น่ะใช่เลยนะครับ

ไม่ใช่ว่าไม่ชอบทอม แฮงคส์ นะ เขาเป็นคนโปรดผมเลย
แต่เรื่องนี้ ผมว่าเขาไม่เหมาะ

ส่วนโซฟี เนิฟเวอร์ ถึงผมจะชอบ ออเดรย์ โททู เป็นการส่วนตัว
แต่ผมมองว่า น่าจะหาดาราที่เค้าหน้าสวยแบบโบราณหน่อย ให้มันคล้ายออเดรย์ เฮปเบิร์น หรือ ดอริส เดย์

เรื่องคำวิจารณ์งานสร้าง วิธีการตัดต่อเล่าเรื่อง ผมจะไม่พูดถึง
เพราะคงมีคนวิจารณ์ไปเยอะแล้ว

เรื่องสมาคมไพรเออรี่ ออฟ ไซออน หรือเรื่องลัทธิ เพเกิน
เรื่องนิกายโอปุสเดอี ผมไม่ขอแตะ เพราะไม่มีข้อมูล
ในหนังเขาก็บอกว่า มันเป็นเรื่องแต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน ไม่ให้เอาไปใช้อ้างอิง

แต่แนะนำว่า ใครอยากดู น่าจะอ่านหนังสือไปก่อน จะช่วยได้มาก
ไม่งั้นอาจจะตามฟังข้อมูลตอนเขาแปลรหัสลับไม่ทัน

เรื่องสถานะของพระเยซู เป็นบุตรของพระเจ้าหรือคนธรรมดา อันนี้ผมเห็นว่าไม่ใช่ประเด็น

ที่ว่าไม่ใช่ประเด็น ก็เพราะเราเกิดไม่ทัน หนึ่ง มันพิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว
สอง ไม่ว่าจะจริงไม่จริง ผมก็ยังนับว่าพระเยซู มีคุณงามความดีให้ผู้คนยกย่องได้เสมือนเทพอยู่ดี

มหาบุรุษ ย่อมเป็นมหาบุรุษ ด้วยความดี ด้วยเมตตา กรุณา ที่ได้มอบไว้แก่โลก

ไม่ใช่ยิ่งใหญ่เพราะที่มา ว่าถือกำเนิดโดยมีการร่วมรัก หรือไม่มี
มีภรรยา หรือไม่มี มีบุตร หรือไม่มี

เหมือนถ้ามีคนมาบอกผมว่า.. จริงๆแล้วพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเจ้าชายมาก่อนหรอก
เป็นคนธรรมดา เป็นลูกคนตัดฟืน ผมก็จะเฉยๆนะ

เพราะพระพุทธองค์ ท่านไม่เคยบอก หรือบังคับให้ใครกราบท่าน วันละสามเวลา
เพราะท่านมาจากวรรณะกษัตริย์ หรือเพราะท่านมีสถานะเป็นศาสดา

ท่านเคยสอนว่า.. ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
พระวรกายของท่านก็เป็นสังขารก้อนหนึ่ง ที่แตกดับได้ตามเวลา
แต่คำสอนที่ท่านฝากไว้บอกไว้แก่โลกต่างหาก ที่ท่านบอกว่า
ให้ท่านทั้งหลายจงมาพิสูจน์เอา (แล้วค่อยเชื่อ)
ความรู้นี้ เป็นของไม่มีรูปพรรณสัญฐาน เข้าใจไม่ได้ด้วยการอธิบาย ไม่ขึ้นกับกาลเวลา
เพียงน้อมเข้ามารู้กาย และจิตของตนเอง
ก็จะเห็นความจริงที่วิญญูชน คนที่เกิดปัญญาแล้วจะรู้ได้เฉพาะตัว

(อดีต)นักเรียนทั้งหลายคงเคยเรียนมาแล้วว่า
สมัยพุทธกาล นี่ไม่มีพระพุทธรูปนะครับ

พระพุทธรูปเพิ่งมาเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วเกือบพันปีได้มั้ง อันนี้ผมจำปีไม่ได้

แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า พระพุทธองค์ไม่เคยสนใจจะให้ใครมากราบไหว้ เท่ากับมารู้มาเห็น มาพิสูจน์ธรรม ที่พระองค์ค้นพบ

เพียงแต่คนที่ได้สัมผัสแก่นของธรรม เข้าถึงธรรมที่ท่านทรงแสดงไว้
ไม่มีใครเลยจะไม่รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธเจ้า จะไม่ศรัทธาในตัวท่านจนต้องอยากกราบท่านทุกวันๆ

คนที่มีศรัทธาในพุทธศาสนาที่มั่นคงคู่ไปกับปัญญานี่
มันต่างกับคนที่ศรัทธาอย่างเดียวนะครับ

เหมือนคนที่เคยแยกธาตุของน้ำได้ว่ามี ไฮโดรเจน 2 โมเลกุล มี อ็อกซิเจน 1 โมเลกุล
เขาก็จะมั่นคงในศรัทธานั้น เพราะเขาประจักษ์เห็นจริง
ไม่ใช่ "คิด" หรือ "เชื่อ" เอา

จะมีใครไปบอกว่า จริงๆแล้วไม่มีอ๊อกซิเจนหรอก
หรือจริงๆต้องเป็นไนโตรเจน บวกอ๊อกซิเจน

เราก็จะยิ้มๆ แล้วก็ปล่อยเขาไป
จะมีข่าวคนในผ้าเหลืองบางคนไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม
เราก็แยกแยะออกว่า มันเป็นเรื่องของคนนอกศาสนา
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำสอน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระพุทธเจ้า และยังมีพระที่ควรค่าแก่การกราบไหว้เสมอ

ผมพูดในมุมของศาสนาตัวเองก็แล้วกัน
ไปพูดถึงพระเยซูมาก เดี๋ยวเพื่อนชาวคริสต์ จะเข้าใจเจตนาผมผิด

ผมเชื่อนะครับ.. ผมเชื่อ.. ว่าผมเข้าใจคนที่ออกมาประท้วง
ผมโตมาในสภาพแวดล้อมของโรงเรียนคริสต์ถึง 8 ปี
เรียนพระคัมภีร์ ไบเบิ้ลมาตลอดเวลานั้น
และผมเชื่อว่า พระเยซู เป็นมหาบุรุษของโลก และถ้าพลังศักดิ์สิทธิที่เรียกกันว่า พระเจ้า มีจริง
ท่านก็คงไม่ลังเลใจจะรับพระเยซูไว้เป็นบุตรคนนึง

เหมือนที่ชาวพุทธอย่างผม กราบไหว้นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นพ่อได้อย่างสนิทใจ
ไม่ว่าจุดกำเนิด ชาติตระกูล ท่านจะเป็นใคร ตอนประสูติจะมีดอกบัวมารองรับจริงหรือไม่
หรือจะเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์แทนพันธกิจที่ท่านอธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิไว้

ผมก็เห็นว่า ท่านเป็นอัครมหาบุรษที่ควรแก่การกราบไหว้เสมอ

เริ่มที่ ดาวินชี่โค้ด จบที่ บุดดาเบลส
สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2549    
Last Update : 11 มิถุนายน 2549 18:59:04 น.
Counter : 1369 Pageviews.  

เรื่องเล่าเมื่อวานนี้

ออกจากบ้าน นึกว่าอยู่แถวทุ่งทานตะวัน มองทางไหนก็เหลืองกันไปหมด

เมื่อวานใครไม่ใส่เหลืองออกจากบ้านนี่ อาจรู้สึกเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยไปเลยนะครับ

เช้าผมมีประชุมที่ออฟฟิศ บริษัทต่างชาติแห่งนึง
พบว่าเขาแทบจะไม่ทำงานการกัน เปิดห้องประชุม นั่งดูถ่ายทอดพิธี

แถวบ้านผมว่าเยอะแล้ว เห็นในจอทีวี ขนลุกซู่เลย
คนไทยเรานี่รักพระองค์ท่านมากนะครับ

ขนาดไปแล้วต้องอยู่ห่างจากที่จะได้เห็นพระองค์ท่านมากมาย ก็ยังไปเบียดเสียดกัน เพื่อจะได้เป็นส่วนร่วมของพิธี
บางสำนักเขาว่าถึงล้านคนเลยนะครับ

ผมประชุมเสร็จเดินผ่านห้องประชุมที่เขามุงดูถ่ายทอดอีกที
เป็นตอนที่พระองค์ท่านยืนโบกมือให้พสกนิกรพอดี
แล้วก็มีเสียงตะโกน ทรงพระเจริญๆๆๆๆๆ อื้ออึง

โอ้โห..ขนาดผมเป็นมนุษย์ร้องไห้ยาก ยังน้ำตาคลอเบ้า
ไม่รู้คนที่ผมไปประชุมด้วย ที่เดินออกมาส่ง เขาจะเข้าใจผมผิดหรือเปล่า
อาจจะนึกว่าผมน้ำตาคลอปีติเพราะผลการประชุม 5555

ถ้าใครจะบอกผมว่า เมื่อวานคุณน้ำตาไหลที่เห็นภาพนั้นเหมือนผม ผมก็จะไม่แปลกใจเลย

แอบดีใจที่รู้สึกเอาว่า พระองค์ท่านคงปลื้มพระทัยที่เห็นภาพนั้น
แล้วก็แอบใจหายลึกๆ ว่าพระองค์ท่านก็พระชนมายุมากขึ้นทุกวันๆ

ท่านจะได้เห็นบ้านเมืองเราเจริญไปในทางที่ถูกที่ควร
เห็นคนจนหมดไปจากแผ่นดินในรัชสมัยของท่านไหมหนอ

ตอนบ่ายผมออกไปทานมื้อเที่ยงกับเพื่อนคนนึง
ข้อเสียของเพื่อนคนนี้ คือเธองามไปนิด สวยเกินไปหน่อย
เดินไปไหนด้วย นั่งกินข้าว แล้วคนจะมอง เหมือนดารามากับคนขับรถ

555

นานๆไปกันที เจอกันปีละสองหนก็พอนะ แม่คุณ.. อย่าไปกันบ่อยเลย
ผมไม่ชอบไปไหนแล้วมีคนมอง .. อุตส่าห์ไม่ยอมเล่นหนังเรื่อง ข้าวเหนียวหมูปิ้งแล้ว
เพราะกลัวคนจำได้ว่าผมเล่นเป็นหมูปิ้งนี่แหละ

ตั้งใจไปทานข้าวเฉยๆ.. ปรากฏว่าต้องเปิดคอร์สให้คำปรึกษาเป็นของแถม..

ไม่เป็นไร.. เพื่อนกันๆ ..
คนสวย รวยเก่ง ฉลาด เพอร์เฟกต์ ก็มีทุกข์เพราะรักได้นะครับ นี่

ตกพลบค่ำ.. ผมมุ่งหน้าไปศูนย์สิริกิตติ์ ปรากฏว่ารถที่ตั้งใจจะไปที่เดียวกับผม มันเยอะกว่าถนน

ย้ำว่า เยอะกว่าถนน ไม่ใช่เยอะกว่าที่จอดรถนะครับ

ผมเลยอ้อมกลับบ้าน เอารถทิ้งไว้บ้าน เดินมาลงรถไฟฟ้าใต้ดิน

เจออีกว่า คนเยอะขนาดเบียดเสียด แล้วก็ยังต้องมีเจ้าหน้าที่มากั้นให้ทะยอยลงไปทีละกลุ่ม
ไม่งั้นจะไปเบียดเสียดกันข้างล่าง

ได้เจอน้องชายท่านนึง ที่ไม่เจอกันนานแล้ว เจอกันครั้งหลังสุดที่สวนโพธิ์ฯ
เลยได้ร่วมทางกันโดยมิได้นัดหมาย

ผมพบว่าปัญหาคือการซื้อบัตร ซื้อเหรียญมันใช้เวลานานมาก
อันนี้คือส่วนที่รถใต้ดินไม่เคยสู้ BTS ได้เลย
ผมเลยตัดใจซื้อบัตรเติมเงินเลย เพื่อจะได้ประหยัดเวลาในขากลับ

ซึ่งผมพบว่าผมตัดสินใจถูกมาก

พอไปถึงสถานีศูนย์สิริกิตติ์ โผล่ออกจากสถานี.. โอ้โห..
คุณนึกถึงภาพหนังแบบ The Day After Tomorrow แบบนั้นนะ คือบนถนนมีแต่รถจอดเพราะไปไหนไม่ได้

ย้ำว่า จอดนะ.. ไม่ใช่รถติด.. คือดับเครื่องจอดกันตรงนั้นเลย บนสะพานลอยที่มาจากทาง 5 แยก ณ ระนอง
ก็จอดกัน คนออกมานั่งบ้าง ยืนบ้าง เต็มไปหมด

แล้วกองทัพเสื้อเหลือง ก็เดินเท้ากันผ่านรถไปหาชัยภูมิของตัวเอง ตามถนัด

พลุเมื่อคืน ค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับผม
เหตุเพราะคนต้องการไปชมนี่ หลายหมื่นนะครับ อาจจะถึงแสนๆคน
แต่เขาออกแบบมาให้คนชมจากรอบๆสระน้ำตรงนั้นเท่านั้น
เพราะเป็นพลุประกอบดนตรี หลายๆชุดมันค่อนข้างเตี้ย
คนดูจากรอบนอก ไม่มีทางมองเห็นครับ
เรื่องเสียงยิ่งไม่ต้องหวัง

น่าเสียดายๆ ผมเห็นคนรอบนอกที่ผมยืน บ่นกันพึม

อุตส่าห์ลำบากกว่าจะได้มาถึง กลับไม่ค่อยได้เห็น และไม่สวยมากเท่าที่หวังไว้
เป็นทุกข์เพราะความคาดหวังอย่างนึงครับ ฮาๆๆ

แต่ส่วนดีก็มีนะครับ ..
เกิดมาผมไม่เคยเห็นกรุงเทพฯมีคนมารวมกันเยอะๆ ขนาดนี้มาก่อน น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน

อ่อ.. มีเรื่องน่าหวาดเสียว เพราะมีคนปีนขึ้นนั่งไปบนหลังคาอุโมงค์ทางลงรถไฟใต้ดินน่ะครับ แล้วขึ้นไปเต็มเลย
อารมณ์อยากดูพลุ ขนาดหนัก

อันนี้น่าหวาดเสียวจริงๆ

ที่จริงวันนี้นัดน้องที่ทำงานเก่าคนนึงไว้ว่าจะไปเจอที่บ้าน
เพราะบ้านเธออยู่ตรงบ้านหม้อ ใกล้สนามหลวง
จะได้อาศัยจอดรถแล้วเดินไปดูพลุ

แต่พอเจอแบบเมื่อวานแล้ว บอกตามตรงว่าชักกลัวแฮะ..

ถ้าไม่คิดว่าอยากได้บรรยากาศอะไรมาก
เห็นทีอยู่บ้านเฉยๆ ดูจากทีวี จะเท่กว่า


แวะมาเล่าสู่กันฟัง แก้เหงาเล่นๆครับ
สุขสันต์วันเสาร์นะครับ




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2549    
Last Update : 10 มิถุนายน 2549 12:59:53 น.
Counter : 1267 Pageviews.  

ทุกข์เพราะจำได้ หรือทุกข์เพราะอยากลืม

เมื่อวานไปตอบกระทู้อันนึงมา ... เผื่อบางท่านจะสนใจอ่านดู

เรื่องมันมีอยู่ว่า...

ครึ่งปีกับการลืมใครซักคน เราเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว
เราเลิกกับเค้ามาได้ครึ่งปีแล้ว ทำไมเรายังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่เลย เราไม่เคยลืมเค้าได้ ทุกครั้งที่ต้องเจอกันความรู้สึกเดิมๆ จะกลับมาทำให้เราเจ็บปวด ทั้งๆที่เค้าคงไม่รักเราแล้ว แต่บางครั้งเค้าก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเค้ายังแคร์เราอยู่ เราเริ่มท้อ หมดความพยามที่จะลืมเค้าแล้ว ใจมันเจ็บจนชินแล้วมั๊ง ตอนแรกเราพยามห้ามใจตัวเองไม่ให้โทร ไม่ให้คิดถึงเค้า แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าใจเรามันจะคิดอยากทำอะไรก็ช่างมันเถอ เราเหนื่อยกับการต้องห้ามใจตัวเองแล้ว ใครก็ได้ช่วยบอกเราทีว่าเราควรทำยังงัย

จากคุณ : T_la - [ 7 มิ.ย. 49 18:20:06 ]


ผมแอบตัดชื่อ login น้องเขาไปหน่อยนะครับ เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของกระทู้

น้องเขาถามไว้อย่างนั้น ผมก็ตอบไปอย่างนี้ครับ

ความคิดเห็นที่ 15

ผมโดนแฟนคนแรกทิ้งตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง
นี่กี่ปีแล้วล่ะ.. นิ้วจะไม่พอนับแล้วมั้ง ผมก็ยังไม่เคยลืมเธอเลย
แต่นึกถึงขึ้นมา ก็ไม่เคยทุกข์อะไรเลยนะ

การจำได้ หรือลืมใครสักคน มันไม่เกี่ยวกับความทุกข์ หรือสุขนะครับ

พูดให้เจาะจงกว่านั้น ที่คุณทุกข์ ไม่ใช่เพราะยังไม่ลืมเขาหรอก

คุณทุกข์ เพราะคุณเกลียดตัวเอง ที่ยังจำเขาได้ และไม่ลืมเขาต่างหาก

คุณทุกข์ เพราะคุณอยากบังคับให้จิตมันลบความจำของเขาออกไป
พอบังคับไม่ได้ คุณก็โกรธมัน โกรธตัวเอง

ทุกข์มันเริ่มขึ้นตรงนั้นแหละครับ และยังอยู่มาหกเดือน
เพราะคุณไม่เคยวางมันลง

ลองเปลี่ยนความเกลียดชัง เป็นความปล่อยวางสิครับ

ที่คุณบอกว่า ...
"แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าใจเรามันจะคิดอยากทำอะไรก็ช่างมันเถอะ"
อันนี้เริ่มถูกทางแล้วครับ ไชโย... ไช ไช ไช โย โย โย

"เราเหนื่อยกับการต้องห้ามใจตัวเองแล้ว"

เหนื่อยแล้วก็หยุดเสียนะครับ

ลองทำใจให้เป็นกลาง ลองเชื่อความรู้ที่มีมาสองพันกว่าปีแล้ว ว่า..
จิตมันจะหมดทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไปพยายามบังคับมันตลอดเวลา

ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์.. จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทรงจำ อย่างสันติ มีสติ อย่าไปเกลียดมัน

เหมือนเรามีแผลอยู่อันนึง แห้งแล้วเป็นแผลเป็นยาว
ถ้าเราไปเกลียดมัน เราก็จะทุกข์ ทุกครั้งที่เห็นมัน
บางทีอยากเอากระดาษทรายมาขัดมันออก แล้วเราก็เจ็บเอง

อยากเอามีดมากรีดมันออก เราก็เจ็บเอง แผลก็ยิ่งเหวอะหวะยิ่งกว่าเดิม

จะดีกว่านะครับ ถ้ายอมรับว่า ครั้งนึงเราเคยมีเหตุที่ทำให้ได้แผลนี้มา
แล้วก็อยู่กับปัจจุบันต่อไปให้ดี ว่ามันก็เป็นแค่ส่วนนึงของร่างกายเรา

เคยอ่านเรื่องของนักร้องผิวดำชื่อ Seal คนที่ร้องเพลง Kiss from a rose

เขามีรอยแผลเป็นกลางหน้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเลย
เขาบอกว่า ตอนแรกๆที่เขามีแผลนี้มา เขาทุกข์มากเลย
เขาเกลียดมันมาก ที่ทำให้เขาดูอัปลักษณ์

แต่พอเวลาผ่านไป เขาเริ่มยอมรับ และทำความคุ้นเคยกับมัน เหมือนมันเป็นของปกติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

เขาสังเกตว่า .. ยิ่งเขาปล่อยวางได้มาก ยอมรับมันได้มากเท่าไหร่
เขาก็พบว่ามันสวยงามมากขึ้น และทุกข์น้อยลงเท่านั้น

ทุกวันนี้ เขาภูมิใจกับมันมาก เพราะเขารู้สึกว่า มันทำให้ทุกคนสะดุดตา ที่เห็น
และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

ครึ่งค่อนของความสุขในชีวิตเรา ขึ้นกับมุมมองของเราเองนะครับ

ปล่อยมันไปนะครับ

จากคุณ : aston27 - [ 7 มิ.ย. 49 20:31:00 ]


ที่จริง ถ้าสังเกต ผมจะพูดวนๆอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง
ถ้ารวบยอดเข้ามา ผมพูดเรื่องเดียวคือทุกข์

เพราะสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าท่านเอ่ยถึง ว่าเป็นความจริงอย่างสูงสุด คือ ทุกข์
แล้วท่านก็อธิบายถึงเหตุแห่งทุกข์ ว่าเป็นเพราะอะไร
จากนั้นจึงค่อยบอกว่า ความดับแห่งทุกข์เป็นอย่างไร
และทางไปสู่ความดับทุกข์

ผมไม่ได้บอกว่า คนที่สนใจเรื่องแบบนี้ ต้องเป็นพวกบ้าศาสนานะครับ
นักวิทยาศาสตร์อย่างไอน์สไตน์ ก็นับถือพุทธศาสนาในบั้นปลายชีวิต

เพราะเขาทึ่ง ที่พระพุทธเจ้าได้วิเคราะห์แจกแจงทฤษฎีว่าด้วยจิตที่ละเอียดยิบ
แต่สรุปไว้ได้ครบถ้วน ชัดเจน ลึกซึ้ง

พระพุทธองค์เอง ก็พูดเสมอนะครับว่า.. ท่านไม่ได้ประดิษฐ์คิดค้นอะไร
ความจริงเหล่านี้ มันมีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว

ท่านเพียงแต่ค้นคว้า ค้นหาสาเหตุแห่งทุกข์เจอ
และอุตส่าห์บอกไว้ด้วยว่าวิธีจัดการกับทุกข์ต้องทำอย่างไร
แล้วถ้าใครอยากพ้นจากทุกข์ ต้องทำอย่างไร

ลองดูเถิดครับ ในเว็บนี้ บอร์ดนี้
ที่ทุกข์ๆกันอยู่ ก็มีแค่ ทุกข์ กาย ไม่ก็ทุกข์ใจ

ทุกข์ใจน่ะ ถ้าดูให้ดีมันก็มาจากความอยากตัวเดียว
ท่านถึงบอกว่า .. ละความอยากได้ ทุกข์ก็ดับ

พรุ่งนี้ .. ใครอยากดูพลุ ก็อาจจะมีทุกข์เพราะอดดูบอล 5555

ตัวใครตัวมันนะครับ อันนี้..
ราตรีสวัสดิ์ครับ




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2549    
Last Update : 8 มิถุนายน 2549 23:53:42 น.
Counter : 1252 Pageviews.  

ความสุข ความทุกข์ ความคาดหวัง

เคยอ่านเรื่องของใครหลายคน ที่มีเงินเป็นพันล้าน
แต่ก็ไม่ค่อยมีความสุข

ขณะเดียวกัน ก็เคยสังเกตเห็นชีวิตหลายท่าน ที่มีเงินเก็บแค่หลักแสน
รายได้ต่อเดือนสองคนรวมกันแค่หลักต้นๆหมื่น
เขาก็มีความสุขกันดี

ผมเคยเห็นคนที่ดูชีวิตดี มีสุข สมบูรณ์พูนผล ครอบครัวดี การศึกษาดี การงาน การเงินดี เป็นคนดี แต่ก็ยังรู้สึกว่า ชีวิตตัวเองขาดอะไรไปเสมอ

ในขณะที่บางคน เหมือนจะมีชีวิตที่ขาดๆ ไปในหลายส่วน แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน

แล้วแบบนี้.. อะไรคือตัวกำหนดความสุข หรือความทุกข์ของคนเรา
ถ้าไม่ใช่ฐานะความมั่งคั่ง ไม่ใช่การศึกษา ไม่ใช่การงาน ไม่ใช่ การมีคู่ หรือไม่มี

คำตอบที่ผมค้นพบ.. คือความคาดหวังและความพอใจครับ

ต้องไม่ลืมว่า .. สุข หรือทุกข์ เป็นแค่อารมณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ใจ ดับลงที่ใจ

ประเด็นสำคัญจึงไม่ได้ขึ้นกับว่า เรามีอะไร เราได้อะไรมา
แต่อยู่ที่จิต ที่ใจเรา ว่าเราคาดหวังอะไร และสิ่งที่ได้มาในที่สุดแล้ว เราพอใจกับมันแค่ไหน

ถ้าคาดหวัง แล้วได้ตามที่หวัง ก็เสมอตัว
ถ้าคาดหวัง แล้วไม่ได้ตามที่หวัง ก็ผิดหวัง

หากแต่..ถ้าคาดหวังแล้วไม่ได้ตามที่หวัง
แต่วางใจตัวเองให้เกิดความพอใจได้ แม้จะผิดหวังไปบ้าง
อันนี้ทุกข์ที่เกิดก็จะน้อยลงอย่างทันตาเห็น

อันนี้ผมมองในมุมความสุขทางใจนะครับ
ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จทางโลก
เพราะเรื่องทางโลกก็ต้องว่ากันไปตามประสาคนทำงานอยู่ทางโลก

หลายคนมักจะเข้าใจว่า.. ศาสนาพุทธ สอนให้เรายอมจำนนกับโชคชะตา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมเก่า และสอนให้สันโดษ เลยไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย

ที่จริงแล้ว ..พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีทั้งความเพียร ความอดทน ความตั้งใจ ในการทำกิจการงานให้ลุล่วง

แต่ท่านก็สอนว่า.. ต้องวางใจให้ดี ทำดีที่สุดก็พอ ผลจะได้เท่าไหร่ ก็อย่าไปอยากได้มากกว่านั้น
ถึงเวลาก็ค่อยทำเอาใหม่ พยายามใหม่

ท่านสอนให้เราสันโดษในผลที่ได้นะครับ ไม่ใช่ในเหตุ
คือมีความพอใจ ไม่ว่าผลมันจะได้ตามที่คาดหวังหรือไม่

ไม่ใช่บอกว่ามันเป็นเรื่องของกรรมเก่า แล้วก็นั่งเฉยๆเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา

ศาสนาพุทธเราไม่ได้เชื่อเรื่องกรรมแบบงมงายขนาดนั้นนะครับ
คำว่าพรหมลิขิต ก็ไม่ใช่เรื่องของพุทธ แต่เป็นความเชื่อของพราหมณ์ หรือฮินดู

เราเชื่อเรื่องการทำกรรมดี ก็จะให้ผลดี ทำกรรมชั่ว ก็ให้ผลชั่ว คล้ายๆกัน
แต่ เราก็เชื่อว่ากรรมมีสองส่วนคือกรรมเก่า และกรรมปัจจุบัน

อันนี้ผมเพิ่งไปตอบกระทู้ในสวนลุมเมื่อวันก่อน

กรรมมีสองส่วนครับ .. ส่วนที่เป็นกรรมเก่า และกรรมปัจจุบัน

กรรมเก่านั้นอย่างมาก ก็ให้ผลโดยชักนำเราไปพบอะไรสักอย่าง หรือใครสักคน

แต่กรรมปัจจุบัน คือสิ่งที่คุณตัดสินใจ ณ ปัจจุบัน ว่าจะลงมือ รับมืออย่างไร กับสิ่งที่เจอ
จะทำในสิ่งที่ฉุดเราให้ต่ำลง หรือทำในสิ่งที่จะเสริมเราให้สูงขึ้น

เช่น ผมต้องขับรถผ่านยูโทเปียบ่อยๆ
แล้วก็มักได้ยินคนรอบข้างบรรยายสรรพคุณให้ฟัง
ทำให้อยากไปมากขึ้นๆ อันนี้ผมถือเป็นกรรมเก่า 555

แต่ที่สุดแล้วก็ขึ้นกับการตัดสินใจ ขั้นสุดท้ายว่า
จะไป ไม่ไป ไปแล้ว จะขึ้นไม่ขึ้น ขึ้นแล้ว จะนอนคุยเล่นๆ หรือทำอะไร

พระรูปนึง ท่านเคยเปรียบว่า เหมือนเรามีกรรมเก่าชักนำให้มาเจอหมาบ้าเดินน้ำลายย้อย หางห้อยผ่านมา

เราก็ต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ต้องหลบ ต้องเลี่ยง
ไม่ใช่ยืนขวางหมาบ้า แล้วบอกว่า มันเป็นกรรมเก่าทีต้องเจอ

อาจจะเป็นเพราะกรรมเก่า เราถึงต้องเจอหมาบ้าจริงๆ
แต่มันก็ขึ้นกับว่า เราจะมีสติ ทำกรรมใหม่ โดยการหลบหลีก หลบเลี่ยงมันได้ดีขนาดไหน

ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า..กรรมปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญกว่ากรรมในอดีต
เพราะพอผ่านไปอีกหนึ่งวินาที กรรมปัจจุบันมันก็จะกลายเป็นกรรมจากอดีตไปแล้วเช่นกัน

อนาคตเราส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ขึ้นกับกรรมเก่าอะไรมากมายหรอก
ขึ้นกับกรรมปัจจุบันนี่แหละ

ชีวิตไม่ได้ขึ้นกับฟ้าลิขิตไปเสียทุกก้าวนะครับ

และถ้าจะเปรียบว่า ชีวิตเราดำเนินไปในกระแสแห่งกรรม
ก็เห็นจะมีแต่ปลาที่ตายแล้ว ที่ไม่เคยว่ายทวนกระแสน้ำเลย

สุขสันต์วันพุธครับ




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2549    
Last Update : 7 มิถุนายน 2549 9:13:01 น.
Counter : 1455 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.