Group Blog
 
All blogs
 

รักแบบม้าหมุน



ภาพ: //www.photoready.co.uk/people-life/images/horse-girl-roundabout.jpg

หลายปีที่เคยวนเวียนตอบกระทู้อยู่ใน mThai และห้องสวนลุมฯ
ผมไม่มั่นใจว่าถ้านับจำนวนกระทู้จะเป็นจำนวนเท่าไหร่ เพราะผมไม่เคยนับ

แต่ถ้าจัดกลุ่มปัญหาอันเนื่องมาจากความรักที่มากมายเหล่านั้น
มันจะเหลืออยู่ไม่กี่ประเภท ไม่กี่กลุ่มหรอกครับ

มันก็มีแค่ เรารักเขา เขาไม่รักเรา
เขารักเรา เราไม่รักเขา
เรารักเขา เขารักเรา แต่เขาก็รักคนอื่นด้วย
เขารักเรา เรารักเขา แต่เราก็รักคนอื่นด้วย

เมื่อคืนก่อนผมเข้าไปอ่านบล็อคคนโน้นคนนี้ อ่านหัวข้อกระทู้ในสวนลุมไปเรื่อยๆ

ผมก็เห็นว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
ชื่อสมาชิกในสวนลุมฯจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
หรือจะย้ายจากกระทู้ มาอยู่ในบล็อค
แต่ปัญหาว่าด้วยความรัก ก็ไม่เคยเปลี่ยนหน้าตาไปเลย

นอกจากจะเป็นปัญหาเดิมๆ บางครั้งยังมีวงจรมหัศจรรย์ให้ดูอีกต่างหาก
ประเภท A รัก B แต่ B ไม่รัก A
ส่วน B ไปรัก C ซึ่ง C ไม่รัก B
แล้ว C ก็รัก D ที่ไม่รัก C แต่ดันไปรัก A อะไรทำนองนี้

ดูๆไปก็เหมือนม้าหมุน ที่คนนั่งได้แต่โยกไปโยกมา
วิ่งไล่กันไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยทันสักที
แรกๆ ก็อาจจะรู้สึกสนุกดีนะ แต่ถ้านั่งไปเรื่อยๆ มันก็น่าเบื่อ
เพราะมันไม่ได้ไปถึงไหน ไปๆมาๆก็วนๆอยู่กับที่เดิม

จะว่าไป ม้าหมุนก็ไม่น่าเบื่อเท่าความจริงของวงเวียนแห่งกรรม
ที่แสนจะวิจิตรพิสดาร ซับซ้อนแบบไม่น่าเชื่อ

ที่ต้องมานั่งวิ่งไล่กันไปมาแบบนี้ บางคนก็โทษเรื่องพรหมลิขิตบ้าง กรรมเก่าบ้าง

แต่ในความจริง เรื่องพรหมลิขิตในทางพุทธ ไม่มีหรอกนะครับ
คนที่ลิขิตคือกรรมของเราเองนั้นแหละ อย่าไปโทษพรหม
แม้แต่กรรมเก่า ก็เป็นแค่ครึ่งเดียวของสาเหตุ

จำบล็อคที่ผมพูดเรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ได้ไหมครับ
ไอ้ที่ชักนำให้เรามาเจอ มารู้จัก มานึกรักนึกชัง อันนั้นเป็นกรรมเก่า

แต่เจอแล้วจะยิ้มให้แล้วเดินผ่านไป จะหยุดคุย จะขอเบอร์
อันนั้นเป็นเรื่องของกรรมใหม่

ได้รู้จักแล้ว จะคุยกันต่อ จะสานความสัมพันธ์ให้มันไปทางไหน
อันนั้นเป็นเรื่องของกรรมใหม่

รู้ว่าเขาชอบคนอื่นอยู่เขารักคนอื่น มีเจ้าของแล้วหรืออย่างใดก็ดี
แล้วจะตัดสินใจเข้าไปยุ่งด้วย หรือดูอยู่ห่างๆ คอยเอาใจช่วย
อันนั้นเป็นเรื่องของกรรมใหม่

สมัยผมเรียน ผมเคยอยากเป็นคนป๊อบ มีสาวๆสนใจเยอะๆ ตามประสาวัยรุ่น
แต่ยิ่งโต ยิ่งแก่ตัว ก็ยิ่งเห็นทุกข์ เห็นโทษของการเป็นที่สนใจมากๆ

ยิ่งคนที่มาสนใจ เป็นคนสวย คนดี คนน่าสนใจ พร้อมๆกันหลายคน ยิ่งน่าปวดหัว ปวดใจ

สู้มีคนที่ลงตัว เข้าใจกันไปกันได้ น่ารักอยู่ด้วยแล้วสบายใจ แค่คนเดียวเด็ดๆก็ไม่ได้นะ

ถามว่า.. ถ้ารู้ตัวว่ากำลังอยู่บนม้าหมุน จะต้องทำไง
ตอบว่า.. ถ้าเป็นม้าหมุนของเล่น ก็รอแป๊บนึง เดี๋ยวมันก็หมดรอบ
แต่เวลาจะหยุดเล่นม้าหมุนชีวิตจริง อย่ารอให้หมดรอบ เพราะมันไม่เคยหยุด

ก็แค่รู้ตัว กระโดดออกมาซะ อย่ากลัว อย่าเสียดาย

แล้วจะรู้ว่า ดูอยู่ห่างๆ สบายกว่ากันเยอะเลย

สุขสันต์วันที่อ่านครับ






 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2550 9:33:37 น.
Counter : 3241 Pageviews.  

รักเป็นดั่งต้นไม้



ถ้าจะให้เปรียบความรัก กับอะไรในโลกนี้สักอย่าง
คุณว่าความรักเป็นเหมือนอะไรดีครับ

น้องคนนึงเคยเล่าว่า แฟนเก่าของเธอที่อุตส่าห์ดูใจมาห้าปี ตั้งแต่สมัยเรียนกว่าจะตกลงเป็นแฟน คบกันสองปี ผู้ชายก็ดันไปมีคนอื่น

อีกกรณีนึง ผมเคยได้ยินคนบ่นว่า ทำไมผู้หญิงชอบแต่คนไม่ดี คนดีๆอย่างเขากลับไม่มีใครเหลียวแล

สำหรับผม ผมว่า... รักเป็นเหมือนต้นไม้

แต่ละต้น แต่ละพันธุ์ ก็มีคุณลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะกับดินฟ้าอากาศไม่เหมือนกัน ชอบน้ำมากน้ำน้อยต่างกัน

ต้นไม้บางสายพันธุ์ เป็นต้นไม้ที่ดี มีคุณค่า กิ่งใบดอกผลสวยงาม แต่ไม่ได้แปลว่า จะเหมาะกับทุกดินฟ้าอากาศ

เมล็ดพันธุ์ ก็เหมือนจุดเริ่มของความสัมพันธ์ของคนคู่หนึ่ง
มันอาจจะงอกเงย งอกงาม ก็ต่อเมื่ออยู่ในดินที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่พอเหมาะ แสงแดด อุณหภูมิ ความชื้น ที่เหมาะแก่การงอกเงยของเมล็ดพันธุ์นั้น

แต่ถ้าดินก็ไม่ใช่ น้ำก็มากหรือน้อยเกินไป อุณหภูมิ ก็เย็น หรือร้อนเกินไป เมล็ดพันธุ์นั้น ก็อาจจะไม่มีโอกาสงอกเงย

ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี ไม่สมบูรณ์ หรือดินละเลยมันไป

จากความสัมพันธ์ในช่วงแรก ก็จะเริ่มพัฒนาไปเป็นความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกลงเรื่อยๆ ลำต้นขยายใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น กิ่งก้านสาขา แตกออกไปเรื่อยๆ

เหมือนคนที่คบหากันมานานวัน ขึ้น ก็ย่อมผูกพันและหยั่งรากลึกลงเรื่อยๆ

ฟังดูไม่น่าจะอธิบายได้ว่า ยิ่งคบกันนานมันจะหักโค่นลงได้ยังไง ถูกไหมครับ

ต้นไม้มันจะตายด้วยเหตุอะไรบ้างล่ะครับ

ฟ้าผ่า..
โดนปลวกแมลงเพลี้ยกัดดูดน้ำเลี้ยง
น้ำท่วม รากเน่า
ขาดน้ำ น้ำแล้ง แห้งตาย

สุดท้าย มีคนมาตัดฟันโค่นมันลง อาจจะเป็นคนอื่น หรือสองคนที่ช่วยกันปลูก หรือแค่ใครคนใดคนหนึ่ง

ผมไม่แจกแจงนะครับ ว่ามันเหมือนปรากฏการณ์อะไรในชีวิตจริงบ้าง

เอาเป็นว่า ไม่พึงมองว่า ต้นไม้โตแล้วโตเลย ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องใส่ใจ
เราอาจจะเอาชิงช้าไปผูกนั่งเล่นได้ ปีนเล่นได้ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะยืนยงคงกระพัน

มันอาจจะมีอายุ ห้าปี สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี แต่ถ้ามีใครเอาเลื่อยไฟฟ้ามาตัด ไม่กี่นาทีมันก็เป็นอดีตแล้ว

ถ้าคิดจะปลูก ขอให้ปลูกเพราะคนสองคนอยากช่วยกันปลูก ช่วยกันเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี เลือกทำเลที่ดี ดินที่ดี

อย่าปลูกเพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากปลูกเองข้างเดียวเลยนะครับ ผมเอาใจช่วยนะ

เพลงวันนี้ชื่อ First of may เพลงเก่าของ บีจีส์ แต่ เอมิ ฟูจิตะร้องครับ



สุขสันต์คืนวันที่อ่านนะครับ




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2550 0:32:43 น.
Counter : 1820 Pageviews.  

ของชำร่วยงานศพ น้ำหนึ่งแก้วจากมหาสมุทร



ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาผมมีเหตุที่จะได้ไปงานศพบ่อยมาก แทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์

สมัยก่อนผมมักไปงานศพ ด้วยความรู้สึกหดหู่ และรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องไป
เรื่องกลัวผี นั่นก็เรื่องนึงล่ะ มองดูรูปหน้าศพ มองดูโลงแล้วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว

แต่งานศพสี่ห้างานหลังที่ไปมา ผมเห็นภาวะจิตที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

อย่างแรก คือผมเห็นว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดา คู่กับมนุษย์ อันนี้ทำให้กลัวผีน้อยลงมาก

อย่างที่สอง ผมเริ่มเห็นข้อดีของการไปงานศพ ว่ามันเป็นการเตือนไม่ให้ตัวเองประมาท

อย่าคิดว่า อายุ 20 แล้วตายไม่ได้ 30 แล้วยังหนุ่ม หรือเอาไว้แก่ๆหมดไฟแล้วค่อยมาลุยปฏิบัติศึกษาธรรมะ

เพราะความไม่แน่นอนของชีวิต มันจูงมือความทุกข์มาแวะเวียนมาจูบปากเราอยู่ได้ทุกขณะจิต ไม่เลือกเพศ อายุ การศึกษาหรือฐานะ

ผมน่ะไปงานศพคนอายุไม่เกิน 40 มาหลายงานแล้วนะครับ ทำเป็นเล่นไป

งานศพหลังสุดที่ผมไปมา เป็นงานที่ไปแล้วเบิกบานมาก
เพราะมีอริยบุคคลหลายท่านไปร่วมงาน ชนิดที่นั่งใกล้ๆก็เห็นอาการลุกโพลงของสติ เหมือนดอกไม้ไฟคืนวันเฉลิมฯ

พระที่ท่านรับนิมนต์ไปในฐานะญาติที่คุ้นเคยกับเจ้าของงาน ท่านก็เทศน์ว่า มางานศพ ไม่ต้องเศร้าหมองหรอก ให้เบิกบานเข้าไว้ เพราะเจ้าของงาน อุตส่าห์แสดงอนิจจังของชีวิตให้เห็นประจักษ์

ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

คนเราจะเข้าใจ เข้าถึงธรรมข้อนี้ ชนิดสุดจิตสุดใจได้นี่ ยากมากนะครับ

ว่ากันตามจริง ถ้าจะโศกเศร้า ก็ไม่ต้องไปเศร้ากับเจ้าของงานหรอก ไอ้คนที่ตายไปน่ะ เขาไปดีไปร้ายเขาก็ไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวล

ที่น่าห่วงอยู่ คือคนข้างหลังที่ยังนั่งสลอนกันอยู่หน้าศพนี่ เพราะไม่รู้จะไปดีไปร้ายน่ะสิ กว่าจะตายจะได้ขึ้นสวรรค์ลงนรกกันอีกกี่รอบก็ไม่รู้

งานศพทุกงาน จะมีของชำร่วยใช่ไหมครับ แจกลูกอม แจกยาดม หนังสืออะไรกันไปตามเรื่อง ถ้าศพแบบจีนแท้ จะมีด้ายแดงๆติดมาด้วย

อันนั้นเขาให้เอาไปผูกที่ประตูหน้าบ้าน เอาไว้กันสิ่งชั่วร้ายเข้าบ้าน และเพื่อโชคลาภ อย่าเข้าใจผิดเอาไปผูกข้อมือแฟนที่นั่งข้างๆนะครับ :)

งานนี้ก็มีนะครับ แต่ของชำร่วยที่ผมชอบ ไม่ใช่ยาดม ยาอมที่เขาแจก แต่เป็นเพราะได้มีโอกาสเจอพี่ดังตฤณ ได้ไปร่วมฟังพี่เขาสอนวิปัสสนาให้เพื่อนๆ น้องๆ และเป็นครั้งแรก ที่พี่เขาแนะนำเรื่องการปฏิบัติให้ผมโดยตรง

เป็นคำแนะนำที่สำคัญมาก ที่วันนี้ลองทำดูแล้ว รู้สึกเหมือนได้ยาวิเศษมาขนานนึง ที่คงจะช่วยให้ปฏิบัติไปได้อีกก้าวใหญ่

การมีครูบาอาจารย์ที่ดีเป็นกัลยาณมิตร เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนปัญญาน้อยอย่างผม

อันนี้ไม่ได้ถ่อมตัว แต่เทียบกับความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้มากมายราวมหาสมุทร สิ่งที่ผมรู้ก็เป็นแค่น้ำหนึ่งแก้ว

ไม่ได้พูดให้หมดกำลังใจนะครับ เดี๋ยวจะคิดว่ากว่าจะศึกษาได้เท่าผมมิแก่ตายก่อนเหรอ

อย่างที่เคยเล่าว่า คนเรากว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ครบ 32 มีสติปัญญา มีโอกาสมาเจอพุทธศาสนา ได้มาศึกษาธรรมะนี่ไม่ใช่ขี้ๆนะครับ

บางทีคุณอาจจะสะสมของเก่า ของเดิมมาเยอะกว่าผม รอแค่เวลาแค่โอกาสจะได้มีใครจุดประกายให้มันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

ผมจะบอกว่า น้ำแก้วเดียว ที่ได้จากธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ มันเป็นน้ำวิเศษ ที่รสไม่เหมือนน้ำใดๆในโลก วิเศษกว่าน้ำแร่เปอริเอ้ที่สูงไม่ถึงคืบ แต่ขวดละเป็นร้อยๆ

ในเวลาที่มีทุกข์ แค่หยดเดียวของสติ มันก็เยียวยาจิตได้มากโขแล้ว

พระพุทธเจ้ายังทรงบอกว่า ธรรมะ ในโลกที่ท่านรู้มีมากเหมือนใบไม้ทั้งป่ารวมกัน แต่ที่ท่านจะสอนให้พวกเรา เอาแค่หนึ่งกำมือก็พอเหลือแหล่แล้ว

หนึ่งในใบไม้ในกำมือที่ท่านสอน คือความเข้าใจว่าด้วย "ทุกข์" นี่แหละ ท่านบอกว่า ทุกข์คือกายกับใจ
เพราะทุกข์ในโลก ไม่มีอะไรเกิดเกินจากกายใจเราเลย สังเกตสิครับ

ฉะนั้นเวลาเริ่มปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ ท่านถึงเริ่มให้หัด "รู้สึกตัว" ก่อน กายเป็นยังไง รู้ ใจเป็นยังไงรู้

เพราะเมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆ จิตจะจำสภาวะได้

เหมือนเราไปมหาวิทยาลัยวันแรกๆ เพื่อนคนที่เราจำได้คนแรก ก็คือคนที่เราเจอบ่อยที่สุด หรือสวยน่ารักที่สุด หรือไม่ก็หน้าตากวนทีนที่สุด

ฉะนั้น คนเราจะเริ่มหัดรู้สึกตัว ก็เริ่มจากสภาวะที่เกิดบ่อยสุด เด่นที่สุด เห็นชัดที่สุดก่อน เจอหน้าครั้งแรก อาจจะยังจำไม่ได้ถนัด แต่สองสามครั้ง ก็จำได้แม่นขึ้น พอเดือนนึงผ่านไป เห็นหลังมันแว๊บ ก็จำได้แล้ว ไอ้นี่นี่เอง

ดังนั้น เมื่อจิตจำสภาวะอันไหนได้ เมื่อสภาวะอันนั้นเกิดขึ้น สติจะเกิดขึ้นเอง โดยที่ไม่ต้องนึกเอาคิดเอา คือมัน "รู้" เอง ว่าไอ้นี่คืออันนี้นะ

เวลาสติเกิด เกิดที่ไหน ก็ที่กาย ที่ใจไงครับ ก็ไอ้บ่อเกิดของทุกข์นั่นแหละ

เวลารู้กาย รู้ใจ ถึงมีศัพท์เทคนิคในการปฏิบัติว่า มันเกิดการ "รู้ทุกข์"

รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์บ่อยๆ ก็จะเข้าใจชีวิต เข้าใจอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดเอา เห็นปุ๊บ มันแว๊บบบ เห็นปุ๊บ มันแว๊บบบบ

โลกใบเดิมที่เราเคยอยู่ เคยหนัก จะเบาลงเบาลง ในความรู้สึกเรา สุขก็ไม่ใช่ของที่ต้องแย่งชิง น่าแหนหวงไว้เท่าเดิม ทุกข์ก็ไม่ใช่ของที่ต้องคอยสลัดหนี ด้วยความชิงชัง เท่าที่เคยเป็น

เราจะมองอะไรอย่างเข้าใจ เข้าใจ และเข้าใจ โดยไม่ต้องเปลืองแรงคิดให้หนักเท่าเดิม

นี่เราพูดเรื่องน้ำแค่แก้วเดียวนะครับ ได้ประโยชน์ขนาดนี้แหละ

แค่นี้ก็ยาวแล้ว เดี่ยวคุณจะเบื่อ.. วันนี้แค่นี้พอแล้วเนาะ

ฟังเพลงอะไรดีหว่า.. เอิก.. ไม่รู้จะเข้ากันขนาดไหนนะครับ





 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2550 23:41:41 น.
Counter : 2770 Pageviews.  

Monsters In Law วงจรความผิดพลาดของมนุษย์



ในบรรดาปัญหาครอบครัวที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นบนแผ่นฟิลม์บ่อยๆ
พล็อตเรื่องศึกแม่ผัว ลูกสะใภ้ ก็ติดอันดับกับเขาด้วยเหมือนกัน

ไม่ใช่แต่หนังไทย ละครหลังข่าวหรอกนะครับ
ขนาดหนังฮอลลีวูด อย่าง Monster In Law และอีกหลายๆเรื่อง ก็มีเอ่ยถึงเยอะแยะ

ความน่าสนใจ ไม่ได้อยู่ที่สาเหตุหรอกครับ
ว่าทำไมแม่ผัวกะลูกสะใภ้ถึงมีโอกาสกระทบกระทั่งกันได้ง่าย

เพราะมีคนวิเคราะห์กันมานานแล้วว่า
มันคือเรื่องผู้หญิงสองคนเกิดรักผู้ชายคนเดียวกัน

แต่ผมมองเห็นรายละเอียดที่น่าสนใจมากกว่านั้นบางอย่าง
นั่นคือความจริงที่ว่า แม่ผัวทุกคนเคยเป็นลูกสะใภ้มาก่อน

หนังบางเรื่องอย่าง Monster In Law ถึงกับพูดอย่างโจ่งแจ้งว่า
มันก็แค่การกดขี่ที่สืบทอดกันไปเป็นรุ่นๆ เท่านั้นแหละ

สมัยเป็นลูกสะใภ้เคยถูกกระทำยังไง
พอเป็นแม่ผัว แทนที่จะระวัง กลับไปทำแบบนั้นเสียเอง

หนังอย่าง จันดารา ก็มีข้อความคล้ายๆกันนี้
แต่เปลี่ยนมาเป็นวงจรความผิดของพ่อถึงลูกชายแทน

ตลกไหมครับ มนุษย์เรา มักจะเดินตกหลุมที่เราเห็นมานานแล้วว่ามีอยู่ตรงนั้น
หลุมที่เราเคยเห็นคนตกลงไปนับคนไม่ถ้วน ด้วยความน่าเวทนา
แล้วถึงเวลา เราก็ยังเดินไปตกหลุมเดียวกันนี่แหละ

คล้ายๆผู้มีอำนาจใหม่บางประเทศ ที่โค่นล้มคนเก่าด้วยเหตุผลดีๆอะไรบางอย่าง
แล้วก็เริ่มสนุกกับการมีอำนาจและผลประโยชน์

ถึงจุดนึง ก็จะเดินตามรอยความผิดของผู้มีอำนาจคนก่อนๆ เช่นเคยว่าเขาปิดกั้นสื่อก็ทำเอง เป็นต้น

สมัยเด็กๆ มีสำนวนนึงที่ผมได้ยินคนใช้กันบ่อยคือ "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง" หมายถึงการที่คนๆนึง เคยกล่าวโทษคนอื่นไว้ แต่สุดท้ายก็ทำเสียเอง

แต่โชคดี ที่ในท้ายเรื่อง Monster In Law ตัวคุณแม่ผัว กลับตัวกลับใจทันเวลา
ผมเลยแอบหวังในแง่ดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มคิดใหม่ทำใหม่ได้เสมอ ถ้าเข้าใจ

คนเราเกิดมาอยู่ได้ไม่กี่สิบปี กว่าจะได้เจอกันบางทีก็ยี่สิบสามสิบปีผ่านไปแล้ว
ที่มีเวลาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันก็ไม่แน่ว่าจะนานเท่าไหร่

อย่ามัวแต่ลองผิดลองถูกมากนักเลยครับ
เรียนรู้จากคนที่เขาทำผิดมาเยอะแยะก่อนหน้านี้แล้วดีกว่า

อย่าทำผิดซ้ำรอยคนอื่นเลย นะครับ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2550 0:55:30 น.
Counter : 1806 Pageviews.  

ขับรถ ขยะอวกาศ กับจักรวาล



ดูเหมือนจะเคยเล่าไปครั้งนึงว่า ผมชอบสังเกตตัวเองเวลาขับรถ
มีหลายอย่างที่ผมเรียนรู้จักธรรมชาติของจิตได้ชัด เวลาอยู่หลังพวงมาลัย

อย่างนึงที่เห็นคือ วันไหน ถ้าผมรีบไปที่ไหนสักที่
วันนั้นผมจะขับรถด้วยความทุกข์มากเป็นพิเศษ รีบมากทุกข์มาก รีบน้อยทุกข์น้อย

วันไหนผมไม่รีบ ทุกข์ก็จะน้อยหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
ตราบใดที่ถนนยังไม่ขาดรถเมล์ แท็กซี่ บางจำพวก

แต่ถ้าผมรีบมาก ผมจะรู้สึกว่า รถข้างหน้าทุกคัน ขับช้ากว่าปกติ
ที่จริงน่ะ เขาขับกันปกติ แต่จิตผมนี่แหละ มันทุกข์เพราะทำตัวเอง

ก็..ที่ทุกข์ ..ไม่ใช่เพราะเขาขับช้าหรอก ......
แต่เพราะเราอยากให้เขาขับเร็วเท่าที่ใจเราอยากรีบไปต่างหาก

บนถนนมีผู้ขับขี่ด้วยคนหลายจำพวกฉันใด
ในศาสนาหนึ่งๆ ก็ประกอบด้วยคนหลายจำพวกฉันนั้น

บนถนนย่อมมีขยะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ฉันใด
ในศาสนา ย่อมมีสิ่งไม่ชูใจเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ฉันนั้น

มีคุณป้าท่านนึง ส่งลิงค์กระทู้เรื่องที่มีคนเห็นพระไปรักษาสิวมาให้ดู //www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5387949/L5387949.html

แล้วก็ถามว่าจะมีวิธีคุมจิตใจอย่างไร ถ้าเห็นแล้วไม่สบายใจ

ผมตอบในกระทู้ไปในความเห็น ที่ 83

ส่วนเรื่องที่คุณป้าถามเรื่องการคุมจิต ผมตอบว่า
ขึ้นกับว่าคุณป้าจะต้องการทำอะไร สมถะ หรือวิปัสสนา

ถ้าสมถะ จิตไม่ดี ทำให้ดี จิตหยาบ ทำให้ละเอียด จิตฟุ้งซ่าน ทำให้สงบ อันนั้นก็คุมจิตได้

แต่ถ้าวิปัสสนา ไม่ได้สนใจว่าจิตจะดี หรือไม่ดี สนใจแค่ว่า มีสติรู้เห็นความจริง ณ ปัจจุบัน อย่างที่เป็นหรือเปล่า

เช่นถ้าอ่านข่าวแล้วไม่สบายใจ ไม่ชอบ รู้ว่าไม่สบายใจ ไม่ชอบ
เห็นว่ามีความไม่สบายใจ เกิดขึ้น แล้วดับไป
เห็นว่ามีการไม่ชอบ เกิดขึ้นแล้วดับไป อันนี้เป็นวิปัสสนา

แต่ถ้าอ่านแล้วใช้วิธีคิดเอาว่า เออนะ.. ศาสนาพุทธเหมือนจักรวาลอันไพศาล
เรื่องไม่ดีในวัดบางแห่ง พระบางรูป ก็เหมือนขยะอวกาศในจักรวาล

ถามว่ามีจริงไหม ...มีสิ..
ถามว่าทำให้ศาสนาดูแย่ลงไหม อือ.. คงดูแย่ลง ในสายตาคนทั่วไป
แต่คุณค่าของศาสนาลดลงไหม ไม่หรอก

ขยะเป็นแค่ส่วนเล็กๆของจักรวาลอันยิ่งใหญ่
แค่ทำให้จักวาลดูสกปรกบ้าง แต่คุณค่าของจักวาล ก็ยังมีมหาศาล
ความยิ่งใหญ่สวยงามของจักรวาล ก็ยังมีมากมายเช่นเดิม

เอาความคิดแบบนี้ไปจับ ก็เป็นเรื่องของสมถะนะครับ
จะเห็นว่า.. มีประโยชน์ทั้งสองแบบ แต่คนละวัตถุประสงค์

อ่านกระทู้ที่ลิงค์ไว้ให้ แล้วก็นึกเสียดายอยู่ลึกๆ กับความเห็นของหลายท่าน

ถ้าเห็นเรื่องไม่ดีของพระบางรูป แล้วบอกว่าฉันไม่สนใจศาสนาแล้ว
ก็เหมือนเราเดินไปบนถนนสายนึง ซึ่งเป็นถนนไปสู่จุดหมายที่ดีงามของชีวิต
เกิดเห็นขยะกองนึง แล้วบอกว่า ฉันไม่ชอบถนนสายนี้แล้ว จะไม่เดินบนถนนสายนี้อีกต่อไป

ก็น่าเสียดายอยู่นะครับ
อ่านข่าวแบบนี้แล้ว ตั้งหลักให้ดีนะครับ พุทธบริษัททั้งหลาย








 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2550 0:49:24 น.
Counter : 2475 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.