Group Blog
 
All blogs
 

จาก ฟาน โก๊ะห์ ถึง ATTITUDE


วินเซนต์ ฟาน โก๊ะห์ (1853-1890)



วันนี้เอาเพลงมาไว้ข้างบนๆ เผื่อใครรู้สึกว่าอยากอ่านโดยไม่มีเพลงกวน จะได้ปิดได้สะดวก

เพลงนี้ หลายท่านคงรู้จักดีนะครับ เพลงเก่าของ ดอน แม็คลีน ในฉบับของ Rick Astley ที่พูดถึงจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก วินเซนต์ ฟาน โก๊ะห์ (Vincent Willem Van Gogh)

เนื้อเพลงที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า Starry starry night นั้น ได้แรงบันดาลใจจากภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดภาพนึงของ ฟาน โก๊ะห์ ชื่อ Starry Night ซึ่งก็คือภาพนี้นี่เองครับ



ถ้า วินเซนต์ ฟาน โก๊ะห์ ยังมีชีวิตอยู่... 30 มีนาคมนี้ เขาจะมีอายุ 154 ปี

เขาคือศิลปินเจ้าของผลงาน ที่เคยมีการบันทึกว่า เป็นภาพวาดที่มีราคาสูงที่สุดในโลก เท่าที่เคยมีการซื้อขายกันมา คือภาพชื่อ Irises

ไม่น่าเชื่อว่า ในช่วงชีวิตของ ฟาน โก๊ะห์ เขาแทบไม่ได้รับรู้เรื่องน่าชื่นใจอะไรแบบนั้นเลย

ถ้าวาดชีวิตจริงของเขาออกมาเป็นภาพได้ มันจะเป็นภาพที่อธิบายคำว่า "ศิลปินไส้แห้ง" ได้อย่างดีที่สุด

เพราะในยุคนั้น อย่าว่าแต่จะขายภาพได้เลย เอาแค่จะหาคนชื่นชม เข้าใจผลงานของเขา ก็ยังยากนัก

เขาใช้เวลา 10 ปี อยู่กับคำติฉิน เหยียดหยันของผู้คน สร้างผลงานภาพวาด ภาพเขียน กว่า 2 พันชิ้น วาดรูปด้วยเงินประทังชีวิต จากพี่ชาย จนเขาเครียด สติแตก และจบชีวิตตัวเองอย่างน่าเสียดาย ในวัยเพียง 37 ปี

ถ้าไม่เรียกว่านี่คือความรักในงานที่เขาทำ ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
ไม่ได้อยากให้ใครสุดโต่งกับงานขนาด ฟาน โก๊ะห์ หรอกนะครับ สักครึ่งหนึ่ง ก็ดีถมถืดแล้ว

**********************************
ผมเริ่มทำงานมาพอๆกับอายุของน้องบางคนที่กำลังอ่านบล็อคนี้

ผมเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า .. คนเก่ง คนฉลาดมีมาก แต่คนเก่ง ฉลาด ที่ทำงานเก่งมีน้อย

เคยเห็นคนที่สมัยเรียน เรียนเก่งมาก แต่เวลาทำงานมักจะไม่ค่อยเอาไหนไหมครับ
หรือบางคน สมัยเรียนก็งั้นๆ ตกๆผ่านๆ แต่พอทำงาน กลายเป็นพระสังข์ถอดเงาะมาเลย

สมัยหนึ่ง ผมเคยได้ยินคนพูดว่า แอสตันเอ๋ย.. สิ่งที่สำคัญในการทำงานให้ลุล่วง คือทัศนคติว่ะ

บางคนถึงกับออกปากว่า.. ทัศนคติที่ดี สำคัญยิ่งกว่าความสามารถเสียอีก
เพราะคนมีความสามารถ ที่มีทัศนคติลบ มักทำให้ผลงานต่ำกว่ามาตรฐานความสามารถจริง

ทัศนคติลบ คืออะไร? คือความคิด ความเชื่อผิดๆ ที่มีต่องานที่ทำ ต่อตัวเอง และคนรอบข้าง

มีทั้งพวกที่ลบต่อตัวเอง คิดตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านว่า ฉันโง่ไม่เก่ง ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่รู้อะไรเลย กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวนั่น ไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง

อีกพวกคือลบต่อสิ่งแวดล้อม โทษระบบ โทษเพื่อนร่วมงาน โทษลูกค้า โทษซัพพลายเออร์ โทษคอมพิวเตอร์ โทษดินฟ้าอากาศ โทษอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเอง

มีคนบอกผมว่า.. ถ้าเอาตัวอักษร A-Z มาวางเรียงกัน แล้วแทนด้วยค่า 1-26
คุณเอาคำดีๆ อย่างคำว่า SMART หรือ INTELLIGENCE มาแทนค่าด้วยตัวเลข แล้วบวกกัน จะไม่มีคำไหนได้ 100 พอดี

นอกจากคำว่า ATTITUDE

ทัศนคติ เป็นเรื่องของจิตใจ ในทางพุทธ ถือว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ทุกอย่างเริ่มด้วยจิต สำเร็จด้วยจิต

วันก่อน ไปศาลาลุงชิน เจอน้องท่านนึงกำลังกลุ้มใจด้วยเรื่องงาน

ฟังแล้ว ปัญหาเราคล้ายๆกัน โดยมิได้นัดหมาย คือทุกข์เพราะเป็นหัวหน้าคน ทั้งๆที่ไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าใครเลย

น้องเธอบอกว่า.. หนูอยากลาออกจากการเป็นหัวหน้า ขอเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดาดีกว่า
เพราะการเป็นหัวหน้า มันให้คุณให้โทษคนได้ แล้วคนแต่ละคนก็ความต้องการต่างกัน
ตัดสินใจอย่างนี้ คนโน้นไม่ชอบ ตัดสินใจอย่างนี้ คนนั้นก็ไม่ชอบ

ลูกน้องทำงานหละหลวม ต้องคอยตักเตือน ก็เหมือนไปทำให้เขาเกลียด
ทั้งที่หวังดีและทำตามหน้าที่นั่นแหละ ใครไม่รู้ก็อาจจะนึกว่าชอบนะนั่น ที่จริงไม่เลย

ลูกน้องทัศนคติลบ ก็ต้องพยายามช่วยกอบกู้สถานการณ์ หาทางประคับประคอง

ท้ายที่สุด ผมก็บอกน้องเขาไปว่า.. มันอยู่ที่เจตนานะ วันนี้ลูกน้องอาจจะไม่เข้าใจ แต่วันนึงเขาจะรู้

เหมือนพ่อแม่ สั่งสอนอบรม ตักเตือนลูก จู้จี้ ไม่ใช่เพราะพ่อแม่เกลียด แต่เพราะหน้าที่ และความหวังดีนั่นแหละ

ขอให้แน่ใจว่าเจตนาเราบริสุทธิ์ เกินกว่านั้น ถือเป็นสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้แล้ว

สมมติเราลาออกจากตำแหน่ง แล้วมีคนขึ้นมาทำแทนเรา เป็นคนมีคุณธรรม มีพรหมวิหารสี่ ก็ดีไป แต่ถ้าเขาแย่กว่าเรา คนที่เดือดร้อน ใครล่ะ ก็คือพวกลูกน้องและบริษัทนี่แหละ

ฉะนั้น.. ถ้าเขายังไว้วางใจ มอบหมายให้ทำ ก็ทำให้ดีที่สุด พอแล้ว

วันนึงเขาจะถอดเราออก ด้วยเหตุอะไรก็ตาม ก็ค่อยทำใจจากตรงนั้น ว่า มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข ก็มีทุกข์ มีสรรเสริญ ก็มีนินทา

ไม่ว่าจะยังไง รักษาจิตใจ รักษาทัศนคติ มองโลกในแง่ดีไว้ เป็นพอ

ส่งท้าย.. ตอนเย็นคุยกับน้องสาวอีกคน เธอบ่นว่า อายุ 25 แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าตัวเอง อยากจะเป็นอะไร

ผมแนะนำเธอไปว่า.. ไม่ต้องเอาเวลาไปงมหาคำตอบอะไรหรอก จงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องอยากเป็นอะไรมากกว่านั้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วมีความสุขกับมัน

โชคดี ราตรีสวัสดิ์นะครับ




 

Create Date : 19 มีนาคม 2550    
Last Update : 22 มีนาคม 2550 23:22:21 น.
Counter : 2246 Pageviews.  

โลกเป็น เท่าที่เราเห็น อย่างที่เราทำ



เคยได้ยินนิทานเรื่องคนตาบอดคลำช้างไหมครับ

ที่เขาบอกว่า.. มีคนตาบอด 3 คน คลำช้างกันคนละส่วน
คนนึงคลำงวงช้างและส่วนหัว อีกคนได้คลำลำตัว อีกคนคลำตรงหาง

แต่ละคนก็บรรยายประสบการณ์ความรู้สึก ความเข้าใจ ที่มีต่อช้างต่างกัน

วันหนึ่งในอาทิตย์ที่แล้ว ผมขับรถไปธุระ ออกจากซอยที่ผมอยู่
สังเกตดูถนนแต่ละสายๆ ที่ผ่านไป แล้วก็อมยิ้ม

ผมขับผ่านถนนวิทยุ แล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า ถ้ามีฝรั่งมาเมืองไทย แล้วพักที่โรงแรม คอนราด โดยที่ไม่ได้ไปไหนเกินกว่านั้น

เขาคงนึกว่ากรุงเทพฯ นี่สวยมากเลย ต้นไม้เยอะ บ้านช่องสะอาดเรียบร้อย

ตรงกันข้าม ฝรั่งที่เคยไปแต่พัทยา อย่างทหารเรืออเมริกัน
ก็คงนึกว่าประเทศเราไม่มีอะไร นอกจากบาร์เบียร์ และผู้หญิงส่วนมากมีอาชีพขายของเก่า

คนที่อยู่แต่ในสภาพแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะคิดไปได้ว่าโลกทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้หมด

ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าจะได้ยินใครพูดว่า
พวกผู้ชายไม่เคยรักใครจริง หรือผู้หญิงเลือกผู้ชายเพราะเงิน

เพราะคนส่วนมากที่แวดล้อมเขาอยู่ เขาเจอ มันชวนให้เขาคิดไปอย่างนั้น

มนุษย์มีกรรมเป็นเครื่องชี้ชาติกำเนิด
มีกรรมเป็นเรือนเกิด มีกรรมเป็นเรือนอาศัย มีกรรมเป็นเรือนตาย
เราสร้างกรรมไว้ยังไง ก็เท่ากับเราสร้างเรือนรออนาคตไว้อย่างนั้น

น่าเสียดายที่คนเราทั่วๆไปไม่มีตาทิพย์ มองย้อนไปในอดีตไม่ได้
หลายคนจึงไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
ไม่เชื่อเรื่องกรรม คิดว่าตายแล้วก็จบกัน

ในขณะที่ อีกหลายคนก็เชื่อจนงมงาย ว่า..
คนเราเกิดมาแล้วต้องอยู่ใต้อำนาจของกรรมเก่าสถานเดียว

เพราะไม่เคยรู้จักพุทธศาสนาจริงๆ เลยไม่มีโอกาสรู้ว่า
พระพุทธเจ้า สอนให้ใส่ใจทำกรรมใหม่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด

เมื่อไม่รู้จัก ก็ไม่เชื่อ ไม่เข้าใจเรื่องการกระทำกรรมใหม่ ที่สำคัญยิ่งกว่ากรรมเก่า
เพราะกรรมที่ทำ ก็จะชักนำชีวิตเขาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะควรแก่กรรมที่ทำ

เวลาพูดว่า กรรม นี่บางท่านจะนึกถึงอะไรพิสดาร เป็นเรื่องลึกลับ แบบหนังผีๆหน่อย
แต่กรรม แปลง่ายๆว่า การกระทำ ที่อาจจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว ก็ได้

แปลว่า เราทำอะไรกับชีวิตเรา ก็ขึ้นชื่อว่าทำกรรมทั้งนั้นนะครับ
เช่นสนใจเรื่องกีฬา ชอบไปดูกีฬา เล่นกีฬา ก็คือการทำกรรมอย่างนึง
ผลก็คือ ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี

สนใจเรื่องหนัง ชอบไปดูหนัง ก็คือการทำกรรมอีกอย่าง
ผลก็คือ เพลิดเพลิน แต่เงินในกระเป๋าลดลง เวลาว่างน้อยลง นอนดึก ฯลฯ

ไปเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เป็นประจำ ก็คือการทำกรรมอย่างนึง
ผลก็คือสุขภาพโทรมง่าย ถ้าเมาแล้วขับ ก็มีโอกาสเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุมากหน่อย
หรืออาจจะมีเรื่องมีราวได้ง่ายกว่าชีวิตปกติ เพราะไปอยู่ใกล้คนเมา ก็อย่างที่รู้ๆอยู่

มาอ่านบล็อคนี้เป็นประจำ ก็เป็นการทำกรรมอย่างนึงนะครับ ดีไม่ดี ก็ไม่รู้แหละ 555

ในทางพุทธ เราเชื่อเรื่องกรรม บนหลักที่ว่า
โลกนี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีคำว่าฟลุ๊ก

ทุกอย่างมีเหตุให้เกิด มีปัจจัยอันเนื่องมาจากกรรมอย่างใด อย่างหนึ่งเสมอ
ขึ้นกับว่า เราจะมองเห็น หรือจำได้แค่ไหน ว่าเราเคยไปทำอะไรไว้

ฉะนั้น ถ้าคุยกับใคร แล้วรู้สึกว่า เขามองโลกไม่เหมือนเรา ก็อย่าแปลกใจ
เพราะโลกสำหรับเขา ก็เป็นเท่าที่เขาเห็น และอย่างที่เขาทำนั่นแหละ

การศึกษาในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ในรูปของพระธรรม เป็นเรื่องที่เปิดโลกใหม่ของผม โดยสิ้นเชิง

เพราะความรู้ของอาจารย์ทั้งหลายในโลก ส่วนมากจะสอนให้ "คิด" หรือ "ทำ"
แต่พระพุทธเจ้า สอนให้เรา "รู้ทัน" ความคิด ให้ "เลิกคิดเอา" และ "หยุดทำ"

เพราะความรู้ ความเข้าใจเรื่องธรรมะ หรือเรียกว่า ปัญญาขั้นที่ดีที่สุด
เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการคิดเอา แต่ใช้การสังเกต

ท่านสอนให้เราเป็นนักวิจัย ไม่ใช่นักคิด

555 ผมทำให้บางท่านเริ่มงงอีกแล้ว .. หรือเปล่านี่

ถามว่า..วิจัยอะไร คุณแอสตัน?? ตอบว่า.. วิจัยเรื่องความจริงของกายและจิตครับ

วิจัย คือการติดตามสังเกต ติดตามดู ก็ทำแบบนั้นแหละ กับกาย และจิต
กายมันยืนเดินนั่งนอนก็รู้ สัมผัสความเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็รู้
จิตมันไปทำงานอะไรก็รู้ เช่นสัมผัสความเย็นแล้วชอบไม่ชอบ ก็รู้ทัน

แล้วคุณจะเห็นว่า กายก็ดี จิตก็ดี มันมีธรรมะ หรือธรรมชาติเหมือนกันคือ

1. มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
2. มันมีทุกข์มารบกวนเรื่อยๆ และ
3. เราบังคับมันไม่ได้จริงๆหรอก

ข้อ 3 นี่ บางคนอย่างพวกโยคี ที่นั่งบนตะปูได้ อาจจะเถียงว่าไม่จริง
แต่ต่อให้คนที่ทำสมถะ ทำสมาธิเก่งๆ อาจจะข่มมัน
หลบมันได้ชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้นแหละครับ

ออกจากสมาธิเมื่อไหร่ ทุกข์ ก็รอคิวอยู่เมื่อนั้น

ปฏิบัติธรรม จริงๆ พระพุทธเจ้าให้ทำแค่นี้แหละครับ มากกว่านี้ก็ไม่เอา
ที่ได้ยินว่า เจริญสติ ภาวนา วิปัสสนาอะไรน่ะ ใจความมีแค่นี้เอง

ที่ต่างกัน จะเป็นเรื่อง "เทคนิควิธี" การวิจัยเสียมากกว่า
จะเน้นการนั่งสมาธิ จะเน้นการเดิน หรือขยับมือ หรือดูลม หรือเจริญสติในชีวิตประจำวัน

ธรรมะ จึงไม่ใช่เรื่องอะไรยากๆ แปลกๆ งมงาย ต้องทำอะไรที่ผิดธรรมชาติ

จะอดข้าว ไม่อดข้าวก็ได้ จะนุ่งผ้าสีขาว สีดำ ก็ทำได้
จะอยู่ในวัด ในบาร์ ในโรงหนัง ร้านอาหาร หรือที่ทำงาน ก็ทำได้

เพราะธรรมะ มันอยู่กับกาย กับจิต ตลอดเวลา ดูเมื่อไหร่ ก็เห็นเมื่อนั้น

ไอ้ที่ไปเข้าวัดเข้าวา ไหว้พระ ทำสังฆทาน ไปถือศ๊ล
อันนั้น เรียกว่าไปทำบุญสร้างกุศล
ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติธรรม

ทำทาน ส่วนทำทาน ถือศีล ส่วนถือศีล ภาวนา ส่วนภาวนา นะครับ
คนละเรื่องกัน แต่เกื้อหนุนกัน ยิ่งมีครบยิ่งดี

เหมือนขบวนการเรนเจอร์ มีห้าคน แต่ละคนเก่งไม่เหมือนกัน
แต่รวมพลังกันแล้วตู้ม ตู้ม..

ส่งท้าย.. ผมมีข่าวมาบอกนะครับ สำหรับใครที่อยากรู้จักอาจารย์ผม
อยากทำบุญ อยากกราบพระดีๆสักรูป

วันอาทิตย์นี้ ตอนเช้า ท่านจะไปเทศน์ที่ ศาลาลุงชิน หมู่บ้านเมืองทอง แจ้งวัฒนะ

เข้าซอย Big C แจ้งวัฒนะ ตรงเข้าหมู่บ้านไป เจอป้อมยามให้เลี้ยวขวา
ตรงเข้าไปสุดทางตรงจะเป็นทางบังคับเลี้ยวซ้าย
ศาลาลุงชิน อยู่ตรงทางเลี้ยวนั้นพอดีครับ

ท่านจะเริ่มเทศน์ตอน 8.30 น. แต่แนะนำให้ไปตั้งแต่ 7.30 ไม่งั้นจะต้องจอดรถไกล

ไม่ต้องเอาอะไรไปเลยก็ได้ครับ ท่านไม่ได้ฉันเพล ไปเห็นไปฟังท่านสอนเรื่องการปฏิบัตินี่แหละ

อยากลองฟังก่อน ก็โหลดไฟล์เสียงท่านมาฟังได้ที่นี่ครับ
//www.wimutti.net

ไม่สนใจ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ตามอัธยาศัย ไม่ว่ากัน

สุขสันต์วันหยุดครับ




 

Create Date : 17 มีนาคม 2550    
Last Update : 19 มีนาคม 2550 21:41:19 น.
Counter : 1335 Pageviews.  

Pursuit Of The HappYness ฉบับชาวพุทธ


(รูปจากนาซ่า อีกเช่นกันครับ ขอบคุณมานะที่นี้ด้วย :P)

บล็อคก่อนโน้น เพิ่งแนะนำหนังเรื่อง ตามล่าหาความสุข ฉบับอเมริกันไป

ตั้งใจว่าจะต้องเขียนถึงเรื่องนี้ในอีกมุมนึงด้วย .. มุมมองแบบพุทธน่ะครับ

อาจารย์ผมเคยพูดว่า.. มนุษย์เราส่วนมากก็วิ่งหาความสุข หนีความทุกข์ ตั้งแต่เกิดจนตายอยู่แล้ว

ที่น่าสังเกตคือ ความสุขทางโลก มักจะเป็นความสุขที่มาพร้อมกับเงื่อนไขว่า "ถ้า" เสมอ

ตั้งแต่เล็กนะ.. ถ้ามีคนมาอุ้มฉัน ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าแม่ให้ฉันกินนม ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้กินเอง เดินเอง ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้ไปโรงเรียน ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้เล่นของเล่นก่อนใครๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าคุณครูให้ดาวฉัน ฉันคงจะมีความสุข

ถ้าฉันได้ขึ้น ป. 1 ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้จักรยาน ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันสอบๆได้ที่ 1 ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าวันไหนเป็นวันหยุด ไม่ต้องไปโรงเรียน ฉันคงจะมีความสุข

ถ้าฉันได้เรียนโรงเรียนนั้น โรงเรียนนี้ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้เกรดดีๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันเอนทรานซ์ ได้คณะดีๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าเขารักฉัน เหมือนที่ฉันรักเขา ฉันคงจะมีความสุข

ถ้าฉันได้เกียรตินิยม ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้งานในบริษัทดีๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้โบนัสเยอะๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันคงจะมีความสุข

ถ้าฉันได้ซื้อรถใหม่ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันมีแฟนหล่อๆ สวยๆ ดีๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน มีบ้านสวยๆ ฉันคงจะมีความสุข
ถ้าฉันมีลูก ฉันคงจะมีความสุข

ไล่ไปแบบนี้ จนตายล่ะครับ นี่ก็ข้ามไปเยอะแยะแล้ว

จะเห็นว่า ความสุขทางโลกของพวกเรา มันเริ่มต้นด้วยเงื่อนไข "ถ้า" เสมอ
และเมื่อเราได้ เราสมหวังอย่างนั้น เราก็ไม่เคยพอสักที
มีแต่ความต้องการที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเงื่อนไขที่ยากขึ้นๆ

จากนั่งรถเมล์ ก็ได้นั่งแท็กซี่ แล้วก็ซื้อรถ
ซื้อรถแล้วก็อยากได้คันใหญ่ขึ้น ใหม่กว่าเดิม สวยกว่าเดิม

หรือจากที่เคยคิดว่า เฮ้ย.. ฉันขอแค่มีงานที่ฉันชอบทำก็พอ
แต่พอได้ทำจริง ก็จะเริ่มคิดว่า งานที่ชอบไม่พอแล้ว ขอมีเงินเยอะๆด้วยสิ
แล้วก็จะขอมีที่ทำงานสวยๆ ขอมีสวัสดิการดีๆ ขอมีโน่นนั่นนี่

จนแม้กระทั่งวันที่จะหมดลม ก็ยังทุรนทุราย อยากได้ความสุข หนีความทุกข์อยู่วันยังค่ำ

น่าสงสารจริงๆนะครับ มนุษย์เนี่ย

เอาสั้นๆเท่านี้ก่อนนะครับ คืนนี้ ขอไปตามล่าหาความสุข ด้วยการนอนก่อนล่ะครับ

"ถ้า" นอนหลับสนิทฝันดี ผมคงจะมีความสุขนะ

เพลงนี่เดิมเป็นเพลงแถมมาจากบล็อคก่อนหน้านี้เอง
แต่ผมกลัวหลายท่านไม่ได้เจอไม่ได้คลิก เลยเอาใส่ไว้ให้อีกรอบ

ราตรีสวัสดิ์นะครับ :)




 

Create Date : 15 มีนาคม 2550    
Last Update : 17 มีนาคม 2550 1:59:51 น.
Counter : 1467 Pageviews.  

ลงแดง.. จิตตก สวนลุมฯ



รูปจากนาซ่าน่ะครับ ผมเห็นว่าสวยดี อย่าไปฟ้องเค้าล่ะ ผมไม่ได้ขออนุญาตเขา

ช่วงที่ทางบล็อคแกงค์ปิดปรับปรุง ผมพบความจริงบางอย่างว่า.. ผมเสพติดการเขียนอยู่พอควร เข้าขั้นเกือบๆลงแดง

สองวัน สามวัน ยังพอไหว แต่พอห้าวัน หกวัน ผมถึงกับต้องถ่อสังขารกลับบ้านเก่าไปหาสวนลุมพินี

ไม่ได้หมายถึงสวนลุมฯ ตรงข้ามตึกอื้อจือเหลียง กะอับดุลราฮิมนะครับ หมายถึงห้องสวนลุมฯ ที่สิงเดิมของผมก่อนจะแยกวงมาเขียนบล็อคนี่แหละ

ไปป้วนเปี้ยนในนั้นพักนึง ก็พบว่าบางท่านก็อยู่ยั้งยืนยง บางท่านก็หายไป พร้อมกับการมาของ คมช. (กรุณาอย่าเข้าใจผิดผมหมายถึง คณะหมวยแห่งชาติ) มีหน้าใหม่ๆ ชื่อแปลกๆ หลายชื่อ

แต่ที่ไม่เคยแปลกไปเลย คือปัญหาที่เอามาตั้งกระทู้ ยังวนเวียนในโหมดเดิม
อันได้แก่ แอบรัก รักนะแต่ไม่แสดงออก จะบอกเธอยังไง ทำไมถึงทำกับฉันได้ ชู้ทางใจใครช่วยที หม่ามี๊รังแกหนู ฯลฯ

แต่มีกระทู้นึงมาแปลก.. เขาถามว่า.. จิตตกจะทำไงดี
อันนี้ปัญหาคลาสสิคเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยเจอคนใช้คำนี้ ส่วนมากจะใช้คำว่า "เบื่อ" "เหงา" "เซ็ง"

ตอนไปตอบกระทู้เขา ผมไม่อยากอ้างอิงเรื่องศาสนาตรงๆ
เพราะสำหรับคนไม่คุ้นเคย เวลาเอ่ยเรื่องพระธรรม พระพุทธเจ้า เรื่องวิปัสสนา
ก็อาจเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ขนลุกขนพองกันขึ้นมาง่ายๆ

อันนี้เป็นเรื่องแปลก.. แต่ตรงกันข้าม ช่วงนี้ถ้าพูดคำว่า น้องเป เปมิกา หูจะผึ่งขึ้นมาทันที

ที่จริง.. จิตตกเป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ มันก็เป็นภาวะอย่างนึง เหมือนฝนตก ฟ้าร้องนี่แหละ

จิต.. ถ้ามันไม่ดี มันก็แย่ หรือไม่ก็เฉยๆ ก็มีอยู่แค่สามโหมดนี้
ไม่มีอะไรพิสดาร ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรต้องให้ความสำคัญมากมาย

แอบบอกให้ก็ได้ ว่าวันนี้ช่วงบ่าย ผมก็จิตตก ด้วยเรื่องงาน เรื่องโน้น เรื่องนี้
พอเห็นว่าจิตตก ก็เห็นว่ามันมีความไม่ชอบใจที่จิตตก แล้วก็พยายามจะแก้

ในช่วงที่จิตมันอลหม่านมาก ผมก็หลบไปทำสมาธิด้วยการดูลมหายใจสักพัก
ทำสมาธิที่โต๊ะทำงานนั่นแหละ ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิแต่อย่างใด

พอมีกำลังจิตขึ้นมาบ้าง แล้วก็ออกมาดูความวุ่นวายฟุ้งซ่าน ดูความอยากสงบ

แล้วก็เห็นตามที่เคยได้ยิน ได้รู้มาหลายหนว่า.. คนเราไม่ได้ทุกข์เพราะไม่สมหวัง เพราะจิตตก เพราะปัญหาร้อยแปดหรอก

แต่ทุกข์เพราะไม่สมหวังแล้วไม่ชอบใจ จิตตกแล้วไปดิ้นอยากให้จิตดี มีปัญหาแล้วเกลียดปัญหา ฯลฯ

ผมยกตัวอย่างในกระทู้นั้นไว้ บอกว่า สมมติมีคน 5 คน รอรถที่ป้ายรถเมล์ แล้วจู่ๆ ฝนตกลงมา

คุณว่า.. คนทั้ง 5 คน จะทุกข์เท่าเทียมกันไหม

คนที่ 1 อาจจะทุกข์มากสุด เพราะเป็นผู้หญิงเกลียดฝน และใส่เสื้อสีขาวบางจ๋อย
คนที่ 2 อาจจะแอบมีความสุข เพราะกำลังตามจีบคนที่ 1 แหม.. ฝนตกรถติด โรแมนติคจังว้อย..

คนอื่นๆ ก็ทุกข์มาก ทุกข์น้อยกันไปตามเหตุและปัจจัยนะครับ ทั้งๆที่เจอปัญหาเหมือนกันนี่แหละ

ตกค่ำ ผมก็หลุดจากอาการจิตตก เพราะจิตมันไม่ได้อยากหาย มันคลายความพยายามจะแก้อาการ

ผมก็แค่บอกกับตัวเองว่า.. ถ้ามันจะตก ก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของผม
มีอาการอะไร ผมก็รู้ไปอย่างนั้น .. ก็จิตมันไม่ใช่เรานี่นา

ในกระทู้ ก็แนะนำเขาไปทำนองนี้แหละครับ แต่ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่า

ถ้าวันนี้ใครเจอโหมดจิตตก อย่าลืมเคล็ดง่ายๆนะครับ มีสติรู้ทันความเกลียดอาการจิตตก
รู้ทันความอยากหายตก ยิ่งถ้าทันการดิ้นรนของจิต คุณจะเห็นเลยว่า
จิตตกไม่ได้ทำให้ทุกข์ ไอ้ที่พยายามทำหลังจากจิตตกต่างหาก ที่ทำให้ทุกข์

Always look on the bright side of life นะครับ




อีกเพลงแถมให้ ฟังแล้วอารมณ์ดีเสมอ เพลงของ กิลเบิร์ต โอ ซัลลิแวน ชื่อ อูว์ วักกาดู วักกาเดย์ (แค่ชื่อก็น่ารักแล้ว)




 

Create Date : 12 มีนาคม 2550    
Last Update : 15 มีนาคม 2550 0:22:20 น.
Counter : 1329 Pageviews.  

จาก Babel ถึง The Lives Of Others: ชีวิตเขา ชีวิตเรา



นอกเหนือจาก Little Miss Sunshine แล้ว ยังมีหนังอีกสองเรื่อง ที่ค่อนข้างเด่นในเวทีออสการ์และผมอยากพูดถึง คือ Babel กับ The Lives Of Others

สองเรื่องนี้ สำหรับผม ผมเห็นว่าต่างก็พูดเรื่องเดียวกัน คือเรื่องที่ว่าด้วย "ชีวิตเรา ชีวิตเขา"

ผมออกจะมีความเห็นต่างจากชาวบ้านเขาในส่วนที่เกี่ยวกับ Babel
แม้จะเห็นว่ามันเป็นหนังในหมวด "หนังดี" แต่บอกตามตรง ผมไม่รู้สึกว่า โลกนี้ต้องการหนังแบบ Babel เลย

อ่ะ..พูดใหม่.. โลกของผมคนเดียวก็ได้ เดี๋ยวแฟนๆของ อิงนาริตู จะเคืองผม

ผมสงสัยว่า ทำไมเราจะต้องดูหนังที่พูดเรื่องชีวิตเรา ชีวิตเขา ด้วยความบีบคั้น บีบเค้น
เหมือนผมจะตีแผ่เรื่องของทะเล ทำไมผมต้องไปพิสูจน์ให้ใครๆรู้ว่า
น้ำทะเลมันเค็มนะครับ เค็มมาก เค็มปี๋ รู้ไว้เสียด้วยนะคุณผู้ชม ในเมื่อใครๆก็รู้กันอยู่

และในเมื่อทะเลมันมีอะไรอีกตั้งเยอะล้านแปดให้คุณพูดถึง

ในขณะที่ผมดู Babel ด้วยอาการอยากอาเจียนตอน 17.45
ผมกลับดู Lives Of Others 20.45 ด้วยอาการบันเทิงยิ่ง แม้จะรู้สึกเพลียและง่วงบ้าง

การดูหนังสองเรื่องต่อกัน โดยมีเวลาพัก 25 นาทีนี่ใช้ได้เลย คือมันไม่หนักเกินไป และไม่ห่างกันจนเปรียบเทียบความรู้สึกไม่ได้

ผมอาจจะเป็นคนเผ่าสุขนิยมกระมัง ที่รู้สึกว่า ชีวิตจริงมันมีทุกข์เยอะแยะพอแล้ว
ไม่ต้องเสียเงินร้อยนึงไปหาทุกข์เพิ่มถึงในโรงหนังหรอก

ขนาดผมจะพิจารณาทุกข์ เวลาวิปัสสนา ผมยังชอบวิธีสบายๆไม่ลำบากเลย

ในขณะที่ อิงนาร์ริทู ผู้กำกับ Babel ล้มเหลวในสายตาผม (คนเดียว) และทำให้ผมดีใจที่เขาไม่ได้ออสการ์
ชื่อของ Florian Henckel von Donnersmarck ผู้กำกับ The Lives Of Others กลับเป็นชื่อที่ผมต้องจดจำในฐานะคนเยอรมัน ที่พูดเรื่อง "ชีวิตเขา ชีวิตเรา" ได้อย่างสนุก น่าสนใจ น่าประทับใจกว่า

เคยมีคนเยอรมันถามผมว่า หนังที่ผมชอบที่สุดคือเรื่องอะไร ผมบอกว่า Forest Gump

ผมเห็นว่า การทำหนังสักเรื่อง มันเป็นเหมือนการเลือกแว่นให้คนดูเห็นโลกผ่านเลนส์ของผู้กำกับ

หนังแม้จะเป็นพาณิชย์ศิลป์ แต่มันก็คือศิลปะ
ศิลปะมีไว้จรรโลงโลก ถ้าไปดูงานศิลป์แล้วหดหู่ ดูแคลนชีวิต อึดอัด อยากอ้วก

ผมก็ไม่นับว่างานชิ้นนั้นบรรลุวัตถุประสงค์

อันนี้ ไม่เห็นด้วยก็ไม่แปลกนะครับ เพราะมันเป็นมุมมองของแอสตัน27 คนเดียว

ใครคิดว่าอยากจะดู Babel ผมจะแนะนำว่า ดูได้แต่อย่าคิดว่ามันจะบันเทิง
ไปดู The Lives Of Others ดีกว่า เจ๋งกว่าเยอะเลย

ฟันธงกันโต้งๆแบบนี้แหละ

เพลงวันนี้ตามคำขอของน้องแหนม แต่ในอัลบั้มชุดนี้ไม่มีเพลงชื่อ Se นะเธอ เลือกเพลงนี้ให้ชื่อ First Youth



เพลงสอง อันนี้ต้องคลิก play เอง เพลงธีมของหนัง cinema paradiso


เพลงสามเป็นเพลงจากหนังเรื่อง the mission หนังที่ดีมากในยุค 80's ฝีมือการแต่งของ เอนนิโอ มอร์ริคอร์นี เช่นกัน
เพลงชื่อ "เสียงโอโบ ของเทพเกเบรียล"



สุขสันต์วันพฤหัสครับ




 

Create Date : 01 มีนาคม 2550    
Last Update : 1 มีนาคม 2550 8:17:02 น.
Counter : 1496 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.