เพิ่งจะผ่านวันแรงงานแห่งชาติไป เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับคนทำงานผู้ใช้แรงงานอย่างเราๆ ทั้งหลาย สิ่งที่พนักงานผู้ใช้แรงงานต้องการแลกเปลี่ยนกับแรงงานที่ตนลงแรงไปนั้น ก็คือ ค่าตอบแทนในการทำงาน ซึ่งพอพูดถึงเรื่องของค่าตอบแทนในการทำงาน ก็จะเริ่มมีเสียงบ่นจากเหล่าบรรดาพนักงานว่า ค่าตอบแทนน้อยเกินไป อยากได้มากกว่าที่ได้อยู่ในปัจจุบัน
จากผลการทำแบบสอบถามเรื่องความพึงพอใจในการทำงานที่ทางผมได้ทดลองสอบถามจากผู้เข้าสัมมนา และจากลูกค้าผมเกี่ยวกับเรื่องของค่าตอบแทนในการทำงานในเรื่องที่ว่าค่าตอบแทนที่ได้นั้นน้อยเกินไปหรือไม่ เชื่อหรือไม่ครับ 98% ของคนที่ตอบ ตอบว่า น้อยเกินไป แม้กระทั่งในบางบริษัทที่ได้ชื่อว่าจ่ายค่าตอบแทนในระดับที่สูงกว่าตลาดทั่วไปด้วยซ้ำ เหล่าพนักงานส่วนใหญ่ยังตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า น้อยเกินไป อยากได้มากกว่านี้ ซึ่งผมคิดว่า คำถามแบบนี้เป็นคำถามที่ไม่ค่อยน่าถามเท่าไร เนื่องจากผมเชื่อว่าไม่มีใครบอกหรอกครับว่า ค่าตอบแทนที่ตนได้อยู่นั้นมากเกินไป หรือกำลังพอดี จริงมั้ยครับ ถ้าผมได้รับคำถามแบบนี้ ผมก็จะตอบเหมือนกันว่า น้อยเกินไป และอยากได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ
หลายบริษัทที่ใช้ผลการทำสำรวจความพึงพอใจของพนักงานในเรื่องค่าจ้างเงินเดือนมาใช้ในการเป็นแนวทางในการปรับเงินเดือนค่าจ้างให้กับพนักงาน บริษัทเหล่านี้ปรับให้เท่าไร พนักงานก็ไม่มีวันพอแน่นอนครับ เพราะความต้องการของคนเรานั้นไม่มีที่สิ้นสุดครับผม
บางบริษัทปรับเงินเดือนให้พนักงานจนเรียกได้ว่าสูงกว่างานแบบเดียวกันในบริษัทอื่นก็แล้ว แต่พนักงานก็ยังคงรู้สึกว่าบริษัทไม่เป็นธรรมอยู่ดี และพอพนักงานรู้สึกไม่เป็นธรรม แรงจูงใจในการสร้างผลงานก็จะเริ่มหมดไป ผมเคยสอบถามพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทที่จ่ายค่าจ้างสูงพอสมควรเลย เมื่อเทียบกับตลาดทั่วไปในกรุงเทพมหานคร พนักงานส่วนใหญ่ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาได้รับเงินเดือนน้อยเกินไป ผมก็ถามต่อไปว่า น้อยไปเมื่อเทียบกับอะไร
คำตอบที่ผมได้ก็คือ น้อยไปเมื่อเทียบกับเพื่อนที่ทำงานในตำแหน่งเดียวกันนี่แหละ หมอนั่นไม่เห็นทำอะไรเลย แต่สิ่งที่ได้ก็คือ ขึ้นเงินเดือนไม่ต่างกับคนที่พยายามสร้างผลงานเลย สิ่งที่พนักงานส่วนใหญ่รู้สึกก็คือ พนักงานที่มีผลงานไม่ดี บางคนแทบจะไม่ได้สร้างผลงานอะไรใหม่ๆ ให้กับหน่วยงานเลย ทำงานแบบเดิมๆ แถมยังโดนนายด่าตลอดเพราะผลงานไม่ได้เรื่อง แต่สุดท้ายก็ได้รับการขึ้นเงินเดือน แถมยังขึ้นให้ที่ระดับอัตราค่าครองชีพอีกด้วย เช่นปีที่ผ่านมาค่าครองชีพในตลาดขึ้นมา 3.5% พนักงานที่ไม่ได้มีผลงานอะไรดีเด่น แถมยังแย่ด้วยซ้ำ ก็ยังได้ขึ้นเงินเดือน 3.5% เมื่อเปรียบเทียบกับพนักงานที่มีผลงานอยู่ในระดับมาตรฐาน ซึ่งขึ้นเงินเดือนที่ 5%
ก็เลยทำให้พนักงานที่พยายามสร้างผลงานให้ได้มาตรฐานนั้นมองว่า เขาได้รับเงินเดือนขึ้นที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้สร้างผลงานอะไรเลย ทั้งๆ ที่ระบบการให้ค่าตอบแทนที่องค์กรแห่งนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าตลาดแต่ก็ยังเกิดปัญหาในเรื่องของแรงจูงใจในการทำงานได้อยู่ดี
สาเหตุก็คือ เรื่องของความเป็นธรรมในการจ่ายมากกว่า ปริมาณในการจ่าย จ่ายมาก แต่ไม่เป็นธรรม แรงจูงใจก็หายอยู่ดี เนื่องจากคนเรามักจะเทียบความพยายามของตนเอง กับผลตอบแทนที่ได้ และก็เอาไปเทียบกับคนอื่นเช่นกันว่า คนอื่นที่พยายามมากกว่าเรา ก็ยอมรับได้ว่าควรจะได้มากกว่า และก็ไปเทียบกับคนที่ไม่พยายามเช่นกัน แต่สุดท้ายคนที่ไม่พยายาม กับคนที่พยายาม กลับได้รับค่าตอบแทนผลงานที่ไม่แตกต่างกันเลย พนักงานคนนั้นแม้ว่าจะได้รับเงินเดือนสูงมากเท่าไรก็ตาม ย่อมรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
ดังนั้นในเรื่องของการออกแบบระบบบริหารค่าตอบแทนนั้น ไม่ใช่การออกแบบให้จ่ายสูงๆ นะครับ บางบริษัทเข้าใจผิดมากเรื่องนี้ คิดว่าที่ปรึกษาจะมาออกแบบระบบค่าจ้างทำให้ค่าตอบแทนของบริษัทเขาสูงขึ้น จริงๆ แล้วสิ่งที่ที่ปรึกษาออกแบบระบบก็คือ ออกแบบให้ระบบเกิดความเป็นธรรมในการบริหารมากกว่า เพราะระดับการจ่ายว่าจะมากหรือน้อยนั้น อยู่ที่นโยบายของผู้บริหารและเป้าหมายที่เราต้องการแข่งขันด้วยมากกว่า
ประเด็นที่สำคัญของการบริหารค่าตอบแทนพนักงานอยู่ที่เรื่องของความเป็นธรรมมากกว่าเรื่องของปริมาณในการจ่ายครับ