ทำอย่างไรเมื่อพนักงานผลงานไม่ดี เมื่อพูดถึงเรื่องของผลงานของพนักงาน แล้ว ก็มักจะเกิดคำถามเสมอว่า ผลงานที่ดีนั้นเป็นอย่างไร ถ้าพูดกันตามหลักทั่วไป พนักงานที่มีผลงานที่ดี ก็คือ สามารถทำงานได้ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยใช้พฤติกรรมที่เหมาะสมในการทำงาน เพื่อให้งานนั้นไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ผลงานของพนักงานโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยสองส่วนก็คือ เป้าหมายการทำงาน และพฤติกรรมที่ส่งเสริมการทำงาน ดังนั้นพนักงานที่มีผลงานที่ดีก็จะต้องประกอบไปด้วย งานที่ทำออกมาได้ตามเป้าหมาย และพฤติกรรมที่แสดงออกก็ต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับค่านิยมขององค์กรด้วย เพื่อเป็นการพิจารณาผลงานของพนักงาน องค์กรก็มักจะให้มีการกำหนดตัวชี้วัดผลงาน เพื่อดูผลงาน และกำหนด competency ของตำแหน่งงาน เพื่อดูพฤติกรรม สองส่วนประกอบกันก็จะกลายเป็นผลงานของพนักงานในภาพรวม ดังนั้นถ้าผลงานของพนักงานไม่ดี ก็แปลว่า ตัวงานของพนักงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด หรือ พฤติกรรมของพนักงานไม่เป็นไปตาม competency ที่กำหนดไว้ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน แต่เท่าที่ผมสังเกตการทำงานจากทั้งบริษัทลูกค้า และบริษัทตัวเอง ก็พบว่า การที่พนักงานไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้น สาเหตุหลักมาจากการขาดพฤติกรรมในการทำงานบางอย่าง ที่ไม่สามารถส่งเสริมผลงานได้ เช่นพนักงานขาย ที่ไม่สามารถขายได้ตามเป้า สาเหตุของการขายไม่ได้เป้า (ถ้าไม่นับเรื่องของเศรษฐกิจ) ก็คือ พนักงานขาดความรู้เรื่องสินค้า ขาดทักษะในการขาย และการนำเสนอ ขาดความน่าเชื่อถือต่อลูกค้า ทำให้ลูกค้าลังเลและไม่สามารถตัดสินใจได้ หรือพนักงานบัญชีที่ทำบัญชีผิดพลาด สาเหตุก็มาจาก ขาดความรู้ที่แท้จริง ขาดความเข้าใจ ขาดความใส่ใจ ขาดความละเอียดรอบคอบ ฯลฯ งานอื่นๆ ก็น่าจะไปในแนวทางเดียวกัน ดังนั้นการที่เราจะพัฒนาผลงานของพนักงานให้ดีขึ้นนั้น แนวทางแรกที่จะต้องพัฒนาก็คือ การพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถ และพฤติกรรมที่ส่งผลต่อผลงานให้กับพนักงาน เพื่อให้เขามีความพร้อมที่จะสร้างผลงานให้กับองค์กร ตัวชี้วัดผลงานนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่แสดงถึงความคืบหน้า และความสำเร็จเมื่อเทียบกับเป้าหมาย เป็นเกณฑ์ที่ให้หัวหน้าพิจารณาผลงานพนักงานว่าถึงเป้าหรือไม่ ถ้าไม่ถึง ก็ต้องมาดูถึงสาเหตุที่ทำให้พนักงานทำงานไม่ได้เป้า ซึ่งสาเหตุเหล่านี้หัวหน้างานไม่ควรคิดเอาเองนะครับว่าที่ลูกน้องของตนไปไม่ ถึงเป้านั้นเป็นเพราะสาเหตุอะไรบ้าง สิ่งที่ควรทำก็คือ เรียกลูกน้องคนนั้นเข้ามาสอบถามถึงสาเหตุว่าทำไม เพราะเจ้าตัวเองน่าจะรู้ดีว่าทำไมเขาถึงไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อทั้งคู่เปิดใจคุยกัน หัวหน้างานก็จะสามารถวางแผนเพื่อพัฒนาสิ่งที่พนักงานยังขาดอยู่ เพื่อให้เขาไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่ผมประสบกับตัวเองก็คือ ในงานของผมซึ่งเป็นงานที่ปรึกษา และเป็นวิทยากรด้วยนั้น ผมจะต้องมีทักษะในการสื่อความ การนำเสนองาน ในปีแรกที่เริ่มออกสอนและเป็นวิทยากรนั้น ก็ประสบกับปัญหาว่า ผมไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดร่วมกับนาย สิ่งที่นายผมทำก็คือ เรียกผมเข้าไปคุย พร้อมกับให้วิเคราะห์ตัวเองว่า การที่เราไปไม่ถึงเป้านั้นเป็นเพราะอะไร ร่วมกันหาสาเหตุ ในครั้งนั้นสาเหตุก็คือ ผมพูดเร็ว และรัวมาก ทำให้ลูกค้าฟังไม่รู้เรื่อง และจับประเด็นไม่ได้ เมื่อเรารู้สาเหตุ วิธีแก้มันก็ออกมาครับ นายและผมก็ช่วยกันพัฒนาทักษะในการนำเสนองาน การสื่อความจนกระทั่งดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าบริษัทไหนมีการนำเอาระบบบริหารผลงานมาใช้อย่างจริงๆ จังๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าผลงานพนักงานไม่ดี จะส่งผลต่อผลงานของหัวหน้าด้วย ดังนั้นสิ่งที่หัวหน้าจะต้องทำก็คือ ช่วยพัฒนาข้อจำกัดของพนักงาน เพื่อให้เขาสามารถสร้างผลงานที่ดีขึ้นได้ พูดมันก็ง่ายนะครับ แต่เวลาทำจริงนี่สิครับ ยากมาก หัวหน้างานที่ใส่ใจผลงานลูกน้อง และต้องการพัฒนาลูกน้อง ก็จะทำอย่างจริงจัง แต่หัวหน้าที่ไม่เคยสนใจว่าลูกน้องตนเองจะต้องพัฒนาอะไรบ้าง ก็จะทำแค่เพียงตามจิกผลงานของลูกน้อง และเฝ้าถามว่าทำไมไม่ได้เป้า ทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้ แต่ไม่เคยที่จะช่วยกันหาสาเหตุว่าทำไมพนักงานจึงทำผลงานไม่ได้ แถมหัวหน้าบางคนยังแถมท้ายด้วยนะครับว่า “แค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้ว” พูดแบบนี้แล้วผลงานของพนักงานจะดีขึ้นหรือครับ เจ้านายยยยยยยย Create Date : 02 มิถุนายน 2553 Last Update : 2 มิถุนายน 2553 5:51:47 น. 0 comments Counter : 1256 Pageviews.   Share Tweet ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก Comment :   *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet