O กลางลมร่ำ .. O
Bella e Leon - If Came The Hour๑๔O ชลพินธุรินภวะละหลั่งนภะฝั่งก็พร่างไฟ-ด้วยดาริกาสมะสมัยรุจิไล้ประโลมหลัวO ลมรื่นนะฟื้นบทะระลอกขณะหมอกก็หม่นมัวพาดฟ้าวลาหกะสลัววตะยั่ว .. ก็เยียบเย็นO คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัยก็ประไพประภาพเพ็ญเหลือบชายชม้ายพิศะก็เห็น-รติเต้นกระจ่างตา๘O เกิดแต่เมื่อเดือนฉายที่ปลายช่วง-ดาวเลื่อนดวงหันเห .. พ้นเวหาแทนที่ด้วยคำมั่นคำสัญญา-ขึ้นค้ำฟ้าแทนช่วง .. ของดวงไฟO แต่เมื่อสองชาติภพบรรจบรูปกลางเปลวเทียนควันธูปลอยวูบไหวภาพแววตาสั่นรัว .. คล้ายหัวใจ-ต้องเลศนัยแรงชู้เข้าจู่โจมO เสียงธรรมพระ .. จะแจ้งสำแดงสอนเพื่อดับร้อนข่มทุกข์ที่ลุกโหมในอกผู้สั่นระทึกเสียงครึกโครมฤๅอาจโซรมให้ซบ .. เพียงสบธรรม ?O คำพระว่า .. ตามองสบต้องรูปแค่เพียงวูบอาจเผลอ .. ถึงเพ้อพร่ำด้วยรูปการณ์หวานหอม .. ช่วยน้อมนำ-พาเหยียบย่ำเวทนาแห่งอาวรณ์O คำพระว่า .. อารมณ์หากข่มไหวจงข่มไว้ด้วยธรรมท่านย้ำสอนตาสบรูป .. ภพชาตินั้นอาจทอน-ให้ขาดตอนขาดช่วง .. จนล่วงรอยO เสียงพระเทศน์ยังแว่วไม่แล้วล่วงเพื่อคอยหน่วงเหนี่ยวโลกพ้นโศกสร้อยหากแววตาใครหนอเหมือนรอคอย-เหลือบ .. ชม้อยชม้ายสู่ .. ให้รู้ความO เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหวเมื่ออกใจเสพทราบ .. รสวาบหวามรูปพักตร์เอย .. โลมรุกเข้าคุกคาม-จักข่มข้ามบ่ายเบี่ยงเอาเยี่ยงไร ?O จนสิ้นเสียงพระเทศน์, แววเนตรนั้น-จากลอบเหลือบสบกัน .. ค่อยสั่นไหวคล้ายเลือดซับแก้มก่ำ .. อยู่รำไรเมื่ออาลัยอาวรณ์ สุดผ่อนลงO เมื่อนันทิ .. ผลิเล่ห์ในเวทนาจนอุปาทานขับ .. ขึ้นรับส่งสร้าง-ภพชาติเป็นกรรมขึ้นดำรงแรงจำนงก็เผยแล้วผ่านแววตาO อธิษฐาน .. เยี่ยงไรหนอใจนั่นให้-ผูกพันเฝ้าคอยละห้อยหา ?หรือ-ชาติใดพานพบเพียงสบตา-ให้รองรับเสน่หาทุกคราครั้ง ?O ครั้งนั้น .. คงตั้งจิตอธิษฐาน-จึงสืบผ่านถ้อยคำด้วยน้ำหลั่ง-ลงให้พื้นปฐพินทร์ได้ยิน .. ฟัง-จนรับรู้กำลัง .. ความตั้งใจO จึงวันนี้ .. รูปน้อยเหมือนคอยอยู่คอย-รับรู้ .. รับรองความผ่องใสปรากฎขึ้นเทียบค่าความอาลัย-กับรูปในความฝันจากวันเพรงO เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวายก็คลับคล้ายรูปนิมิตเคยพิศเพ่งจันทร์เคยทอแสงปลั่งกลางวังเวงก็ยังเปล่งปลั่งงาม .. จนยามนี้O จันทร์ที่ลอยกลางสรวง .. ยังดวงเดิมทั้งรูปเติมแต่งลงยังคงที่เช่นรูปในแววตา .. กอปรท่าที-แห่งใยดีอาวรณ์ .. ออดอ้อนนั้นO จำหลักรูปผ่องแผ้วสู่แววตาทั้งรูปหน้า .. รูปนัยน์อันไหวสั่นที่เฝ้าคอยวาบสู่ .. ให้รู้ทัน-การมอบฉันทาชู้ให้ดูแลO มองดูเถิดแสงพร่างที่กลางสรวงดาวใดเล่าอาจช่วงกว่าดวงแขแม้นลอยห้วงเวหา .. สุดตาแล-กลับใกล้แค่เนตรพรับ .. ระยับล้อO จบสิ้นแล้ว .. ชอกช้ำความกำสรดแต่เมื่องามเผยบทให้จดจ่อจนอาวรณ์ส่งเสียงดังเพียงพอถ้วนสิ้นการร่ำ-รอ .. ย่อมทรมานO ยังเป็นยามเดือนฉาย .. ที่ปลายช่วง-อ้อมแขนหน่วงเหนี่ยวล้อมความหอมหวานหมายกักกุมถ้วนสิ้น .. จิตวิญญาณ-ไปจนชั่วกัปกาล .. เจ้าคราญเอย !
สดายุ..
"O คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัย
ก็ประไพประภาพเพ็ญ
เหลือบชายชม้ายพิศะก็เห็น-
รติเต้นกระจ่างตา"
ฉันท์น่ะ อ่านทีไร ก็ชอบไปซะทุกที