Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 ธันวาคม 2556
 
All Blogs
 
ส มุ น ไ พ ร ต้านพิษโลหะหนัก



การใช้ชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก กับการได้รับพิษโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู แคดเมียม โคบอลต์ เป็นต้น ซึ่งโลหะหนักจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ตัวการของการก่อมะเร็ง หากได้รับทีละน้อยจะสะสมอยู่ในร่างกาย และทำให้เกิดความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ความรุนแรงของพิษโลหะหนักในแต่ละอวัยวะ ขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะหนัก ปริมาณที่ได้รับ ช่องทางที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงปัจจัยทางร่างกายของผู้ได้รับสารพิษ



โลหะหนักที่ตรวจพบได้มากและมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตสูง ได้แก่ ปรอท (Mercury): มักพบพนเปื้อนอยู่ในอากาศ น้ำ ดิน ของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีปรอทเป็นวัตถุดิบ พบในเครื่องสำอาง เช่น ครีมหน้าขาว และอาหาร ซึ่งปรอทจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการหายใจ การรับประทาน การสัมผัส และยังสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และกระจายไปอวัยวะต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ในทางตรงกันข้าม ปรอทจะถูกขับออกจากร่างกายได้น้อยมาก และยังเป็นตัวการสำคัญที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อสมอง และส่วนควบคุมการมองเห็น ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดจากพิษของปรอท คือ การเกิดโรคมินามาตะ ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสาเหตุมาจากการกินปลาที่มีสารปรอทปนเปื้อนในปริมาณสูง การได้รับสารปรอททีละน้อย แต่ได้รับมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีอาการสั่น ชัก ปวดปลายมือปลายเท้า หงุดหงิด เหงือกบวมและมีเส้นทึบสีน้ำเงิน เลือดออกง่าย และเกิดภาวะเลือดจาง

ตะกั่ว (Lead): ผู้ที่มีความเสี่ยงจากการได้รับพิษตะกั่ว คือ คนงานเหมืองตะกั่ว โรงงานแบตเตอรี่ โรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งพิษของตะกั่วมีผลต่อระบบประสาท ตับ ไต หัวใจ และทางเดินอาหาร ทำให้สมองเสื่อมจากพิษตะกั่ว ปวดกล้ามเนื้อ อัมพาต สารตะกั่วจะไปสะสมที่สมองส่วนฮิปโพแคมปัส (hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ ซึ่งเด็กจะสามารถดูดซึมพิษของตะกั่วได้มากกว่าผู้ใหญ่ และหากได้รับพิษเป็นเวลานานจะมีผลทำให้พัฒนาการทางสมองช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน และทำให้สมองสูญเสียอย่างถาวร

แคดเมียม (Cadmium): มักพบในแหล่งทำเหมือง อุตสาหกรรมยาสูบ บุหรี่ พลาสติก ยาง และปนเปื้อนในอาหาร น้ำ และอากาศ เมื่อร่างกายได้รับจะดูดซึมเข้าสู่ทางเดินอาหารและแพร่กระจายไปที่ตับ ม้าม และลำไส้ เมื่อสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดมะเร็งได้ และหากได้รับเป็นเวลานานจะเกิดการอุดตันภายในปอด หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ซึ่งโรคที่เกิดจากพิษของแคดเมียม เรียกว่า โรคอิไต-อิไต

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ให้ข้อมูลว่า “ทางการแพทย์แผนไทยมีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถมาใช้ในการต้านพิษโลหะหนักได้ อาทิ รางจืด: หมอยาพื้นบ้านใช้ในการแก้พิษยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ เห็ดพิษ สุราและยาเสพติด รวมทั้ง พิษงู แมลงป่อง ตะขาบ โดยวิธีใช้ในผู้ที่ได้รับพิษรุนแรง ใช้กินใบเพสลาด (ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป) 10 – 12 ใบ ตำคั้นกับน้ำซาวข้าว หรือรากสดที่อายุ 2 ปีขึ้นไป เพียง 1 ราก โขลกหรือฝนกับน้ำซาวข้าวจนขุ่นข้นประมาณครึ่งแก้ว – 1 แก้ว ดื่มเฉพาะน้ำให้หมดทันทีที่มีอาการ หรืออาจใช้รางจืดแห้ง 300 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้ว โดยให้ดื่มขณะอุ่นจะได้ผลดี หรือนำใบหรือรากมาหั่นฝอย ผึ่งลมให้แห้ง บดเป็นผงทำเป็นเม็ดลูกกลอน กินครั้งละ 5 กรัม โดยให้กินทุกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หรือ 2 ชั่วโมง จนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ มีรายงานการวิจัยพบว่าสารสกัดใบรางจืดสามารถลดพิษที่เกิดจากสารตะกั่ว ซึ่งส่งผลต่อความจำและการเรียนรู้ของหนูทดลอง ลดการตายของเซลล์ประสาทโดยผ่านกลไกต้านออกซิเดชั่นและรักษาระดับเอนไซม์ caspase-3 ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว โดยไม่มีผลลดระดับสารตะกั่วในเลือดและที่สมอง



ขมิ้นชัน: ขมิ้นชันอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารเคอร์คูมิน(curcumin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และการเกิดพิษจากโลหะหนักหลายชนิดที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลไกต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว มีการศึกษาพบว่า ขมิ้น ดีกับระบบการป้องกันพิษของแคดเมียมต่อลำไส้ ป้องกันพิษตะกั่วและแคดเมี่ยมต่อสมอง พิษของแคดเมี่ยมต่อไต โดยสารเคอร์คูมินมีผลลดการทำลายโครงสร้างเนื้อเยื่อบริเวณผนังลำไส้ บริเวณเลือดออกลดลง รักษาสมดุลของการหลั่งเมือกในลำไส้ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ภายใต้สภาพมลภาะควรหาขมิ้นกินให้ได้ทุกวัน ครั้งละ 1 ช้อนชา วันละครั้ง

กระเทียม: มีรายงานการศึกษาพบว่า การทดลองกระเทียมมีฤทธิ์ป้องกันและรักษาแคดเมี่ยม และตะกั่วไม่ให้ไปมีผลต่อไต และอวัยวะต่าง ๆ ของหนูทดลอง และช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในหนูที่มีระดับภูมิคุ้มกันต่ำหลังจากที่ได้รับตะกั่วและแคดเมียม ดังนั้น เราจึงควรรับประทานกระเทียม อย่างน้อยวันละ 7 - 8 กลีบ

มะขามป้อม: มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีฤทิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีการใช้เป็นยาอายุวัฒนะและบำรุงร่างกายมาอย่างยาวนาน ทั้งยังช่วยแก้ไอได้ดี มีรายงานการวิจัยพบว่า การให้ผลมะขามป้อมบดในขนาด 50 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม พร้อมอาหาร มีผลลดการเกิดพิษของตะกั่วต่อตับและไตในหนูทดลองได้ นอกจากนี้ มะขามป้อมยังป้องกันการเกิดสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการได้รับปรอท ดังนั้น การรับประทานมะขามป้อมเป็นประจำวันทุกวันนั้นเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่อยู่กับมลพิษ”

สำหรับ สมุนไพรที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างของสมุนไพรที่เราคุ้นเคย หาง่าย รับประทานง่าย คงพอที่จะช่วยได้บ้างในสถานการณ์ปัจจุบันที่สภาวะแวดล้อมรอบๆ ตัวเราเต็มไปด้วยมลพิษจากโลหะหนัก






ที่มา : โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร


Create Date : 02 ธันวาคม 2556
Last Update : 2 ธันวาคม 2556 12:11:48 น. 0 comments
Counter : 1219 Pageviews.

โอพีย์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]




Occupation A Certified Nursing Assistant(CNA)@ USA
and Blogger at Bloggang Thailand.




BlogGang Popular Award #10

BlogGang Popular Award #11

Free counters!
Friends' blogs
[Add โอพีย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.