กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
มิถุนายน 2568
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
7 มิถุนายน 2568
space
space
space

มโนกรรมสำคัญยังไง ?

     กรรม นั้น เมื่อจำแนกตามคุณภาพ หรือ ตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ แบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ

        ๑. อกุศลกรรม   กรรมที่เป็นอกุศล  การกระทำที่ไม่ดี กรรมชั่ว หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ

        ๒. กุศลกรรม   กรรมที่เป็นกุศล  การกระทำที่ดี หรือกรรมดี  หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ

     แต่ถ้าจำแนกตามทวาร คือทางที่ทำกรรม หรือ ทางแสดงออกของกรรม จัดเป็น ๓ คือ

        ๑. กายกรรม   กรรมทำด้วยกาย หรือการกระทำทางกาย

        ๒. วจีกรรม    กรรมทำด้วยวาจา หรือการกระทำทางวาจา

        ๓. มโนกรรม   กรรมทำด้วยใจ หรือการกระทำทางใจ

     เมื่อจำแนกให้ครบตามหลักสองข้อที่กล่าวมาแล้ว ก็จะมีกรรมรวมทั้งหมด ๖ อย่าง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แต่ละอย่างที่เป็นอกุศล กับ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แต่ละอย่างที่เป็นกุศล

     อีกอย่างหนึ่ง  ท่านจำแนกกรรม  ตามสภาพที่สัมพันธ์ กับ วิบากหรือการให้ผล จัดเป็น ๔ อย่าง คือ

        ๑. กรรมดำ  มีวิบากดำ  ได้แก่  กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียน ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และติดสุราเมรัยตั้งอยู่ในความประมาท

        ๒. กรรมขาว  มีวิบากขาว  ได้แก่  กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่ไม่มีการเบียดเบียน ตัวอย่าง คือ การประพฤติตามกุศลกรรมบถ ๑๐

        ๓. กรรมทั้งดำทั้งขาว  มีวิบากทั้งดำทั้งขาว  ได้แก่  กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง เช่น การกระทำของมนุษย์ทั่วๆไป

        ๔. กรรมไม่ดำไม่ขาว  มีวิบากไม่ดำไม่ขาว  เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม  ได้แก่  เจตนาเพื่อละกรรมทั้งสามอย่างข้างต้น หรือว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ หรือ มรรคมีองค์ ๘

     ในชั้นอรรถกถา  มีการแบ่งประเภทของกรรมอีกแบบหนึ่ง ซึ่งนิยมถือตามกันมา และเป็นที่รู้จักกันดีในยุคหลังๆ คือ การจัดแบ่งเป็นกรรม ๑๒ หรือ กรรมสี่ ๓ หมวด เช่นที่แสดงไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ เป็นต้น 

     ในบรรดากรรม ๓ อย่าง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น มโนกรรมสำคัญที่สุด และมีผลกว้างขวางรุนแรงที่สุด ดังบาลีว่า

        “ดูกรตปัสสี บรรดากรรม ๓ อย่างเหล่านี้  ที่เราจำแนกไว้แล้วอย่างนี้ แสดงความแตกต่างกันแล้วอย่างนี้ เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า  ในการทำบาปกรรม  ในความเป็นไปแห่งบาปกรรม  หาบัญญัติกายกรรมอย่างนั้นไม่  หาบัญญัติวจีกรรมอย่างนั้นไม่”  (ม.ม.๑๓/๖๔/๕๖)


     เหตุที่มโนกรรมสำคัญที่สุด  ก็เพราะเป็นจุดเริ่มต้น  คนคิดก่อนแล้วจึงพูดจึงกระทำ คือ แสดงออกทางกายและวาจา ดังนั้น วจีกรรม และกายกรรม จึงขยายออกมาจากมโนกรรมนั่นเอง และที่ว่ามีผลกว้างรุนแรงที่สุด  ก็เพราะว่ามโนกรรม  รวมถึงความเชื่อถือ ความเห็น แนวคิด และค่านิยมต่างๆ ที่เรียกว่าทิฏฐิ


     ทิฏฐิ นี้ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมทั่วๆไปของบุคคล  ความเป็นไปในชีวิตของบุคคล และคติของสังคมทั้งหมด  เมื่อเชื่อ เมื่อเห็น หรือนิยมอย่างไร  ก็คิดการ พูดจา สั่งสอน ชักชวนกัน และทำการต่างๆไปตามที่เชื่อที่เห็นที่นิยมอย่างนั้น  ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ การดำริ การพูดจา และทำการ ก็ดำเนินไปในทางผิด  เป็นมิจฉาไปด้วย  ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ  การดำริ การพูดจา และทำการต่างๆ ก็ดำเนินไปในทางถูกต้อง  เป็นสัมมาไปด้วย  เช่น  คนและสังคม  ที่เห็นว่า ความพรั่งพร้อมทางวัตถุมีค่าสูงสุด เป็นจุดหมายที่พึงใฝ่ประสงค์ ก็จะเพียรพยายามแสวงหาวัตถุให้พรั่งพร้อม และถือเอาความพรั่งพร้อมด้วยวัตถุนั้น เป็นมาตรฐานวัดความเจริญรุ่งเรืองเกี่ยวกับเกียรติยศ และศักดิ์ศรี เป็นต้น วิถีชีวิตของคน และแนวทางของสังคมนั้น ก็จะเป็นไปในรูปแบบหนึ่ง ส่วนคน และสังคม ที่ถือความสงบสุขทางจิตใจเป็นที่หมาย ก็จะมีวิถีชีวิตและความเป็นไปอีกแบบหนึ่ง


     พุทธพจน์แสดงความสำคัญของมิจฉาทิฏฐิ และสัมมาทิฏฐินั้น  มีมากมาย เช่น

        “ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่พิจารณาเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลกรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น อกุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นไปเพื่อความเจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ เหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐินี้เลย...”  (องฺ.เอก.20/181-2/40-41)

        “ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่พิจารณาเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลกรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นไปเพื่อความเจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ เหมือนอย่างสัมมาทิฏฐินี้เลย...”


        “ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคลเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ  กายกรรมที่ยึดถือปฏิบัติพรั่งพร้อมตามทิฏฐิ ก็ดี วจีกรรมที่ยึดถือปฏิบัติพรั่งพร้อมตามทิฏฐิก็ดี  มโนกรรมที่ถือปฏิบัติพรั่งพร้อมตามทิฏฐิ ก็ดี เจตนาก็ดี ความปรารถนาก็ดี  ประณิธานก็ดี  การปรุงแต่งทั้งหลายก็ดี  ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร ?  ก็เพราะทิฏฐิชั่วร้าย  เปรียบเหมือนเมล็ดสะเดาก็ดี เมล็ดบวบขมก็ดี เมล็ดน้ำเต้าก็ดี ที่เขาเอาลงปลูกไว้ในดินที่ชุ่มชื้น รสดินและรสน้ำที่มันดูดซึมไว้ทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของขม เป็นของเผ็ด เป็นของไม่อร่อย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? ก็เพราะพืชไม่ดี...

        “ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคลเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ  กายกรรมที่ถือปฏิบัติพรั่งพร้อมตามทิฏฐิก็ดี วจีกรรมที่ถือปฏิบัติพรั่งพร้อมตามทิฏฐิก็ดี  มโนกรรมที่ถือปฏิบัติพรั่งพร้อมตามทิฏฐิก็ดี เจตนาก็ดี ความปรารถนาก็ดี  ประณิธานก็ดี  การปรุงแต่งทั้งหลายก็ดี ธรรมทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ  เพื่อประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อความสุข  ข้อนั้น เพราะเหตุไร ?  ก็เพราะทิฏฐิดีงาม  เปรียบเหมือนพันธ์อ้อยก็ดี พันธ์ข้าวสาลีก็ดี พันธ์ผลจันทร์ก็ดี ที่เขาเอาลงปลูกไว้ในดินที่ชุ่มชื้น รสดินและรสน้ำที่มันดูดซึมไว้ทั้งหมด ย่อมเป็นไปเพื่อความมีรสหวาน เพื่อความเป็นของอร่อย เพื่อความน่าชื่นใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร  ?  ก็เพราะพืชดีงาม ... (องฺ.เอก.20/189-190/42-43)

        "ภิกษุทั้งหลาย เอกบุคคล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อมิใช่ความสุขแก่พหูชน เพื่อเสื่อมประโยชน์ เพื่อไม่เกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อความทุกข์แก่เทวะและมนุษย์ทั้งหลาย เอกบุคคลนั้นคือใคร ? ได้แก่ ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ มีทัศนะอันวิปริต เอกบุคคลผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ย่อมยังพหูชนให้คลาดจากสัทธรรม ให้ตั้งมั่นในอสัทธรรม..."

        "ภิกษุทั้งหลาย เอกบุคคล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อความสุขแก่เทวะและมนุษย์ทั้งหลาย เอกบุคคลนั้นคือใคร ? ได้แก่  ผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีทัศนะอันไม่วิปริต เอกบุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมยังพหูชนให้ออกพ้นจากอสัทธรรม ให้ตั้งมั่นในสัทธรรม..."

        "ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่พิจารณาเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ซึ่งมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เป็นโทษทั้งหลาย มีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง"  (องฺ.เอก.20/191-3/44)

        "ธรรมทั้งหลาย  มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าบุคคลมีจิตใจเสียหายแล้ว จะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม ความทุกข์ย่อมติดตามเขาไป เหมือนล้อหมุนตามโคที่ลากเกวียนไปฉะนั้น...ถ้าบุคคลมีจิตใจผ่องใสแล้ว จะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม ความสุขย่อมติดตามมา เหมือนดังเงาที่ติดตามตัวฉะนั้น"   (ขุ.ธ.25/11/15)


135

- พุทธธรรมลึกเกินไป




 




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2568
0 comments
Last Update : 9 มิถุนายน 2568 16:35:36 น.
Counter : 280 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space