bloggang.com mainmenu search
ต่อจากตอนที่แล้วเราแวะไปถ่ายรูปกับหน้าประตู โบสถ์เซนต์แอนโทนี กันมาแล้ว จุดหมายต่อไปของวันนี้เราจะไปต่อกันที่จตุรัสคามอสล่ะ พอดีหมุนแผนที่ไปมาเจออันนี้ใกล้สุดก็แวะเข้ามาเลยอยู่ใกล้ๆ กับโบสถ์เซนต์แอนโทนีล่ะ



จตุรัสคามอส (Comoes Square) อยู่ภายในสวนคามอส ภานในสวนมีต้นไม้เขียวชะอุ่มและม้านั่งมากมายให้คนมาเก๊าได้มาพักผ่อนหย่อนใจ แต่เราว่าที่นี่ออกแนวเหมือนสวนสุขภาพมากกว่า ก็คล้ายๆ สวนสาธารณะบ้านเรานั่นล่ะ



แต่ที่น่าแปลกตาก็ตรงรูปปั้นที่อยู่กลางสวนนั่นล่ะ มองไปมองมามันหมายถึงอะไรนะ ไอ้เรามันก็ไม่ใช่เด็กศิลป์เสียด้วย มองยังไงก็นึกไม่ออกว่านี่มันรูปปั้นอะไรกันนะ แต่มันคงมีความหมายอะไรสักอย่างแหละ



นอกจากนี้รอบๆ รูปปั้นหากมองลงบนพื้นจะเห็นลวดลายบนกระเบื้องโมเสคที่มีด้วยกันทั้งหมด ๑๐ รูปโดยแต่ละรูปก็จะมีความหมายและชื่อแตกต่างกันไป ซึ่งก็จะมีป้ายบอกว่าแต่ละรูปชื่อว่าอะไรล่ะ



หากมองไปรอบๆ สวนสาธารณะแห่งนี้ก็จะเห็นผู้ออกกำลังกายกันล่ะ บรรยากาศที่นี่ก็แสนจะร่มรื่น ถ้าหน้าหนาวคงจะอากาศดีไม่น้อยเลยล่ะ แหมเสียดายฟ้าฝนดันแปรเปลี่ยนไม่งั้น ทริปนี้คงเป็นทริปที่ perfect เลยล่ะ เพราะอากาศปกติเดือนมีนาคมจะเป็นฤดูปลายหนาวแล้วอากาศเย็นกำลังดีเลยล่ะ



ตอนนี้ก็น่าจะสักใกล้หกโมงเย็นแล้วล่ะมั้ง ตามโปรแกรมเราจะไปเดินต่อกันที่สุสานโปรเตสแตนด์ (Protestant) หรือชื่อเดิมว่า "สุสานของบริษัทอีสต์อินเดีย" เป็นสุสานชาวโปรเตสแตนด์แห่งแรกในมาเก๊าเลยล่ะ แต่มองซ้ายมองขวาแล้วก็มองหน้ากัน เย็นป่านนี้ไม่ไหวมั้งเจ๊ ถ้าเดินไปแล้วมืดโดนผีหลอกทำไงวะ สุดท้ายเลยเปลี่ยนโปรแกรมเดินย้อนกลับมาที่เซนาโด้สแควร์ใหม่ล่ะ ก่อนออกมาก็เห็นรถจอดอยู่หน้าสวน เอ้ยที่มัน Masda2 นี่หว่า สวยวะ



บ้านเรายังไม่มีเลย บ้านเค้าใช้กันล่ะ รถส่วนใหญ่ของที่นี่จะเน้นรถคันเล็กๆ แบบมาสด้า 2 นี่แหละ แล้วก็จะเอาตุ๊กตาใส่ไว้เต็มหลังรถเลยเป็นแฟชั่นก็ว่าได้ล่ะ กลับมาเข้าเส้นทางเราดีกว่า หลังจากย้อนกลับมาที่เซนาโด้สแควร์ก็จะพบกับสีสันยามราตรีที่ต้องบอกว่าที่นี่สวยจัง









ตึกสีขาวที่เห็นนี่เป็นสำนักแห่งความเมตตา (Holy House of Mercy) เราก็มองหาอยู่ตั้งนานว่าหน้าตาตึกนี่มันคุ้นๆ ที่แท้มันเป็นหนึ่งในมรดกโลกมาเก๊าล่ะ ว่ากันว่าบาทหลวงคนแรกของมาเก๊าตั้งสถาบันแห่งนี้ในปี ๑๕๖๙ เพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลตามแบบตะวันตกแห่งแรกในประเทศจีน อาคารนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ ๑๘ ตึกออกแบบตามสไตล์นีโอคลาสสิค ปัจจุบันอาคารแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวจีนที่แสดงให้เห็นว่าศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเข้ามามาเก๊าได้อย่างไรล่ะ แต่วันนี้เรามากันเย็นแล้วคงไม่ได้เข้าไปข้างในล่ะ



เดินไปเดินมาจนแผนที่เน่าสุดๆ แล้วอ่ะเริ่มหิวแล้วอ่ะ จำได้ว่าแถวนี้มีอาหารให้ต้องมาลองที่ชื่อว่า "ตั่นหนา" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Steamed Milk" หนังสือเกี่ยวกับการกินในมาเก๊าบอกว่า หากมาเซนาโด้สแควร์ให้มาแวะร้านอี่เสิ่นลองชิมตั๋นหนาดู







ตั่นหนา มีลักษณะคล้ายๆ ไข่ตุ๋นบ้านเรานั่นล่ะ แต่รสชาติก็เหมือนกินเต้าฮวยน้ำขิงผสมไข่ตุ๋นอ่ะ เพราะเค้าทำจากนมสดตุ๋นกับน้ำขิงเนื้อเนียนเหมือนไข่ตุ๋น มีทั้งแบบร้อนและเย็น แบบร้อนเรียกว่า "หยิดตั่นหนาย" แบบเย็นเรียกว่า "ตงตั่นหน่าย" นอกจากนี้ยังมีขนมหน้าตาเหมือนๆ กันแต่เป็นสีขาวเรียกว่า "ตั่นต่าน" เราเลือกลองแต่ตั่นหนาแบบร้อนล่ะ เพราะตอนนี้อากาศข้างนอกเริ่มเย็นแล้ว ได้ทานอะไรร้อนๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเลยล่ะ

แต่มีเรื่องที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก เพราะเรามากันสองคนสั่งมา ๑ ถ้วย เพราะเจ๊เราไม่ค่อยชอบกินของแปลกๆ เท่าไหร่ ปรากฏว่าพอสั่งเอาแค่หนึ่ง พนักงานพูดว่า "เชอะ" ใส่หน้าเราเลยประมาณว่ามาสองคนสั่งถ้วยเดียวอ่ะนะอะไรทำนองนี้ แบบมารยาทแย่มาก ไม่ประทับใจเลยล่ะ



ราคาก็ไม่ใช่ถูกนะเนี่ยเห็นถ้วยแค่นี้คิดเป็นเงินไทย ๑๐๐ บาทเชียวนะ (๒๐ MOP$) พอเดินออกจากร้านเสร็จจุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือจตุรัสเอากุสติน ที่เดินหากันตั้งแต่กลางวันแล้วหาไม่เจอสักที ที่ไหนได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซนาโด้สแควร์นี่เองล่ะ ไว้จะมาเล่าต่อในตอนหน้านะคะ
Create Date :04 สิงหาคม 2552 Last Update :4 สิงหาคม 2552 0:06:18 น. Counter : Pageviews. Comments :3