bloggang.com mainmenu search

หลังจากติดตามกันมาหลายตอน วันนี้ก็ถึงเวลาบายๆ ฮานอยกันแล้ว เอาล่ะต่อกันเลยค่ะ ตอนที่แล้วพวกเราเข้าไปเที่ยวใน จตุรัสบาดิงห์และสุสานโฮจิมินห์ กันมาเรียบร้อยแล้ว พอเดินออกมาด้านหน้าสุสานลุงโฮ ก็จะพบกับร้านขายของที่ระลึกมากมายเลยล่ะ งานนี้ใครอยากได้ของฝากก็ต้องอาศัยฝีมือในการต่อรองดูนะคะ สำหรับพวกเราขอผ่านค่ะที่ซื้อมาจากเมืองอื่นก็เริ่มจะเป็นภาระไปเสียแล้ว เดินเลยร้านขายของที่ระลึกไปหน่อย เอ๊ะ.. ทำไมคนเค้ามุงดูอะไรกันหว่าเยอะแยะเชียว เข้าไปดูใกล้ๆ กันค่ะ

นักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูป "เจดีย์เสาเดียว" กันค่ะ ตามประวัติบอกว่าเจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยราชวงศ์หลี ( ปี 1049 เลขหลักพันเองอ่ะ นานเนอะ) ไม่น่าเชื่อว่าสภาพยังดีอยู่เลยอ่ะ โดยเจดีย์นี้มีลักษณะเด่นคือเป็นเจดีย์ไม้เสาต้นเดียวตั้งอยู่กลางสระบัวค่ะ เข้าท่าดีเนอะ จขบ.ว่าสมัยก่อนเค้าก็เข้าใจออกแบบดีแฮะ เข้าท่าดีอ่ะ ด้านบนเจดีย์ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนนิยมขึ้นไปขอพรกันค่ะ นักท่องเที่ยวต่อคิวกันยาวเลยล่ะ ช่วงที่คนเยอะๆ จขบ. เลยเดินไปดูในวัดที่อยู่ติดๆ กันค่ะ

ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวเดินเข้ามาในวัดแห่งนี้เพื่อมาดูรูปที่ติดตรงฝาผนังวัดนี่แหละ พวกเราเดินรอบๆ ไหว้พระขอพรเสร็จก็เดินออกมา .. แล้วก็เจอกับอาคารใหญ่ๆ นี่แหละ ตอนนี้ต้องเดาแล้วล่ะว่าเป็นอะไรหว่า แต่สังเกตุจากคนที่เดินเข้าไปกันเยอะ นั่นหมายถึงที่นี่ต้องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแน่ๆ ตามเค้าเข้าไปดูใกล้ๆ กันค่ะ

ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) เป็นอาคารขนาดใหญ่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับภาพถ่ายขาวดำ ความเป็นอยู่ของทหารและเรื่องราวในสมัยสงครามเวียตนามล่ะ ค่าเข้าชมที่นี่ 25,000 ด่อง ตอนนี้พวกเราเหลือเงินในกระเป๋าอยู่แค่ 108,000 ด่อง ถ้าเข้าไปในนี่เราก็จะเหลือเงินกันแค่ 58,000 ด่อง เอาไงดีล่ะถอยมานั่งตั้งหลักข้างๆ อาคาร เป็นไงเป็นกันลองไปถามเค้าดูแล้วกันว่ารับเงินไทยหรือเปล่า เวย์นี้ไม่มีอะไรจะเสียแระ

จขบ. ก็เลยเดินไปเจรจากับพี่ที่ขายตั๋ว "Can pay Thai baht? We don't have vietnam dorlar" พูดถูกเปล่าวะเนี่ย ครูคริสบอกว่าอย่าอายพูดไปก่อนเดี่ยวก็คุยกันรู้เรื่อง คนขายตั๋วเงยขึ้นมามองหน้า แล้วก็ถามว่า "เรามากี่คน" จขบ. ก็บอกว่า "Two" เค้าบอกว่า "Ok. for you free ticket" เอ้ย.. ตรูฟังผิดหรือเปล่าเนี่ยมันแปลว่าเข้าฟรีใช่ไหม ดีใจเหอะเวย์นี้ วิ่งไปหาเพื่อนแก้วที่รออยู่ข้างอาคาร "แกไปเร็วเค้าให้พวกเราเข้าฟรี" หน้าตา จขบ. เวย์นี้อยากจะบอกว่าดีใจมากอ่ะ ลุงโฮรู้ได้ไงวะว่าพวกเราไม่มีตังค์ ขอบคุณลุงโฮมากๆ ค่ะ

พวกเราก็เดินเข้าในพิพิธภัณฑ์คนเก็บตั๋วถามว่าไหนตั๋ว พี่คนขายตั๋วเค้าก็บอกคนเก็บตั๋วว่าให้เข้าฟรี โอ้ว.. อยากจะกระโดดหอมพี่เค้าจริงๆ ขอบคุณนะคะ เข้ามาก็เจอลุงโฮยืนยิ้ม Welcome เลยล่ะ แว่บแรกที่เห็นรูปปั้นลุงโฮ จขบ.นึกในใจ "ขอบคุณนะคะลุงโฮที่ดลบันดาลให้หนูได้เข้ามาที่นี่" จขบ. เห็นนักท่องเที่ยวเค้ามาถ่ายรูปเลียนแบบท่ายืนลุงโฮ ขอมั้งค่ะเวย์นี้ เพื่อนแก้วบอกว่า "แกนี่ไม่เคารพลุงโฮเลย เค้าอุตส่าห์ให้แกเข้าฟรี" เอาน่าคนอื่นเค้าก็ทำกันนะ ลุงโฮใจดีไม่ว่าหรอก เอาล่ะตามพวกเราเข้าไปดูด้านในพิพิธภัณฑ์กันเลยค่ะ

ด้านในต้องชมฝ่ายออกแบบเลยอ่ะ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งต่างๆ ได้สวยงามมาก ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ไปพิพิธภัณฑ์แล้วเป็นเหมือน จขบ. หรือเปล่า พิพิธภัณฑ์ในสมัยเก่านั้นก็จัดแสดงของพร้อมคำบรรยาย แต่พอมาเจอพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ ที่นำเสนอได้น่าสนใจมี interactive ทำให้เราได้เล่นสนุก การมาพิพิธภัณฑ์จึงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป กลายเป็นว่า จขบ. ชอบเดินชมพิพิธภัณฑ์อ่ะ มันทำให้เราได้รู้เรื่องราวในอดีตดีนะ กว่าจะมาเป็นเวียตนามในวันนี้ ประเทศนี้เค้าต้องต่อสู้มาหลายอย่าง

ซึ่งก็ต้องขอบคุณผู้นำประเทศที่ผ่าวิกฤตต่างๆ จนทำให้เวียตนามสวยงามในสายตานักท่องเที่ยวไปเสียแล้ว จขบ. ว่าเค้าเป็นประเทศที่ค่อยๆ โตมันเลยทำให้คนได้มีเวลาปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ และอยู่ได้อย่างกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมเดิมและวัฒนธรรมใหม่ จขบ.ว่าเด็กๆ Gen ใหม่เรารักประเทศเค้านะ เพราะเค้าถูกปลูกฝังให้รู้ถึงความรุนแรงและความสูญเสียจากสงคราม เอาล่ะก็ได้เวลาอำลาลุงโฮกันแล้ว จุดสุดท้ายก่อนทางออกก็จะเห็นลุงโฮยืนโบกมือบายๆ เราในรูปล่ะ

พวกเราเดินออกมาก็เดินต่อไปยังถนนหน้าสุสานลุงโฮ Hung Vuong จุดสุดถนน ขอบอกว่ายาวมากอ่ะ ระหว่างที่เดินผ่านหน้าสุสานลุงโฮเค้าเปิดน้ำรดหญ้าพอดี โห .. สวยอ่ะ น้ำงี้ฟุ้งกระจายเลยอ่ะ แต่ดูเหมือนที่นี่นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ช่วงเย็นๆ ยังเป็นสถานที่จ๊อกกิ้งออกกำลังกายของผู้สูงวัยเมืองนี้เสียด้วย ดีจังอ่ะ จขบ. ชอบเวียตนามก็ตรงนี้แหละ เค้ามีต้นไม้สีเขียวเยอะมากๆ ในเมืองใหญ่อ่ะ เอาล่ะตอนนี้พวกเราก็ต่อไปยังถนน Phan Dinh Phung แล้วก็เดินหาถนน Hang Dau

ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แต่พวกเราก็เดินกันเรื่อยๆ เป็นการชมเมืองไปในตัว จขบ. ชอบเดินมากกว่านั่งรถนะ เพราะเราได้มีเวลาดูสิ่งต่างๆ เห็นวิถีความเป็นอยู่ของคนที่นี่ด้วย ตอนนี้พวกเราก็มาถึงสวนสาธารณะ ต้องเดินตรงไปจนสุดถนนแล้วจะเห็นสะพานใหญ่ก็เลี้ยวขวาเลย จุดหมายต่อไปก็เป็นตลาดดงซวน พวกเรามาเย็นแล้วอ่ะดูสภาพแล้วไม่เข้าไปดีกว่า มันน่าจะเป็นตลาดที่ขายทุกสิ่งทุกอย่างรวมกัน (อันนี้ จขบ. ประเมินจากสภาพตลาดที่มองเห็นนะคะ เดาง่ะ ใครมีข้อมูลเคยเข้าไปเดินตลาดแห่งนี้โพสบอกกันได้ค่ะ)

เอาล่ะจากถนน Nguyen Thien Thiat ตรงตลาดดงซวน ขอบอกว่าวุ่นวายมากอ่ะ ตอนนี้เหมือนเป็นเวลาของตลาดดอกไม้เค้าล่ะ พวกเราก็เดินไปเรื่อยๆ โดยจะกลับไปพักเท้าที่โรงแรมกันก่อน จากแผนที่เราก็เดินหาถนน Nguyen Huu Huan ค่ะ ต้องบอกว่าเดินในฮานอยไม่ยากแต่หาแผนที่สักแผ่นแล้วก็สังเกตุป้ายชื่อถนน แต่ที่นี่เค้ามีถนนเส้นเล็กเส้นน้อยเยอะต้องเซียนแผนที่กันหน่อยค่ะ พวกเราก็ล้างหน้าล้างตานอนตากแอร์กันได้สักพักก็ตกลงกันว่า พวกเราจะเดินไปหาอะไรทานกันก่อน แล้วก็นอนเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปสนามบิน เอาล่ะตามไปดูอาหารมื้อสุดท้ายในฮานอยกันเลยค่ะ เหลือเงินอยู่ 108,000 ด่องเหอะตอนนี้ กินไรหรูๆ แบบวันมาไม่ได้แล้วอ่ะ

พวกเราเลยเดินกลับไปถนนแถว The Sin ที่ใกล้ทะเลสาบฮว่ามเกี๋ยมล่ะ ตังค์ก็มีน้อยก่อนกินอะไรก็ต้องถามราคาให้ชัดเจนเสียก่อน ตอนแรกจะไปกินข้าวร้าน 20,000 ด่องปรากฏว่าร้านเค้าปิดไปแล้วอ่ะ ระหว่างเดินก็เห็นวัยรุ่นนั่งทานน้ำชาแทะเมล็ดทานตะวัน มันเป็นภาพที่แปลกตาดีนะ น้ำชากะเมล็ดทานตะวันแทะกันเป็นนกเลยทีเดียว จะว่าไปมันก็เพลินๆ ดีนะ อิอิ พวกเราเดินไปเดินมาจนมาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ดูน่ากินเชี๊ยะ

จขบ. เห็นคนเยอะและติดป้ายราคาไว้ชัดเจน 30,000 ด่อง เอาร้านนี้แหละวะ อย่างมาก็ไม่น่าเกิน 100,000 ด่องหรอก ก็เลยสั่งก๋วยเตี๋ยวไก่มาสองชาม แม่เจ้า.. ร้อนๆ รสชาติดีเหอะ น้ำซุปเค้าอร่อยอ่ะ จขบ. ก็ลองใส่เครื่องปรุงหน้าตาไม่เหมือนบ้านเรา ก็ลองเทสๆ ดูปรุงไปปรุงมาเข้าท่าดีแฮะ แหม.. เป็นมื้อที่ประทับใจนั่งกินกะเพื่อนแก้วได้ฟิวดีอ่ะ ร้านข้างๆ เป็นร้านหอยอ่ะ จขบ. เนี่ยอยากลองมากๆ เห็นตั้งแต่ขามาแระ รู้งี้ลองกินตั้งแต่ขามาดีกว่า ตอนนี้เหลือเงินในกระเป๋าแบบน่าหวาดเสียวอ่ะ ทานเสร็จสองคนก็ 60,000 ด่อง เหลืออีก 48,000 ด่อง

พวกเราเดินมาเจอซุปเปอร์มาเก็ตอยากกินขนมอ่ะ เดินวนดูรอบแล้ว โห.. แพงวะ สุดท้ายก็ดันไปหยิบโยเกิรต์เค้ามีหลายรสดีนะ แถมราคา 6,000 ด่องเอง แก้วอยากินรสเสาวรส ส่วน จขบ. อยากกินรสว่านหางจรเข้ แล้วความซวยก็บังเกิด ดันหยิบสองอันหล่นมาฝาแตก โอ้ย.. ตรูละเครียดถ้ามีตังค์จะ Don't Worry เลยอ่ะ นี่ตังค์ก็จะหมดของก็ตกอีก .. กรรม เลยต้องกินรสเดียวกันไปโดยปริยาย โครตสงสารเพื่อนแก้วเลยอ่ะ สรุปพวกเราเลยได้ โยเกิรต์ 12,000 ด่อง โค้ก 10,000 ด่อง ขนม Ritz 15,000 ด่อง จ่ายไป 37,000 ด่อง เหลือ 11,000 ด่อง ติดกระเป๋าคิดเป็นเงินไทย 18 บาท ป้าด..

เช้าวันใหม่วันสุดท้ายของการเดินทาง พวกเราตื่นกันตีห้าเก็บสัมภาระกันเรียบร้อย ก็ลงมารอที่เคาเตอร์พวกเราให้เค้าเรียกรถแท็กซี่ให้ ราคา 10 US$ ว้า.. ยังไม่อยากกลับเลยอ่ะ ความสุขมันผ่านไปเร็วเนอะ จากโรงแรม (6.30 น.) มาถึงสนามบิน (7.30 น.) ฟ้างี้ครึ้มมาเชียวล่ะ มาถึงก็เข้า Counter Checkin เลยแล้วก็เข้า ตม. เพื่อนแก้วตรวจเร็วมากอ่ะ แต่ จขบ. เค้ามองหน้านานมากแล้วก็ดู Passport ไอ้เราก็เลยสังเกตุคนหลังๆ ปรากฏว่า เค้าจะดูเฉพาะคนเวียตนามที่ออกนอกประเทศ น่าน .. ตรูดันเหมือนคนบ้านเค้าด้วยดิ มิน่าล่ะ ดูนานเชี๊ยะ

พอเข้า ตม.ไปแล้วก็ไปเดินหาซื้อกาแฟ G7 ด้านนอกขาย 350 บาท เข้ามาใน Duty Free ราคา 300 บาท คิดไปคิดมาไม่ซื้อดีกว่า เดี๋ยวไม่มีตังค์จ่ายค่ารถตู้กลับบ้าน ค่อยมาซื้อรอบหน้าแล้วกัน จริงๆ จขบ. ก็ไม่ได้ชอบกินกาแฟเท่าไหร่ กะซื้อมาให้เตี่ย ขานี้เค้าชอบทานกาแฟมากๆ เอาล่ะกลับบ้านเราดีกว่า เครื่องออก 9.45 น. ถึงเมืองไทย 11.00 น. เหลือตังค์กลับบ้าน 10,000 ด่องและ 1 US$

ช่างเป็นทริปที่สุดพลังจริงๆ เลยอ่ะ ใช้เงินกันเกลี้ยงเลยอ่ะ ไม่เคยไปไหนแล้วเหลือเงินในกระเป๋าได้น้อยขนาดนี้ ที่สำคัญนี่เป็นเงินที่เหลือรวมกันสองคนแล้วด้วยเหอะ สุดๆ อ่ะ ครบรสเลยทริปนี้แถมมีเพื่อนใหม่มาด้วยอีกคนเหอะ หากถามว่าประทับใจเมืองไหนในทริป ฮานอย - เว้ - ฮอยอัน ให้คะแนนฮอยอันเป็นอันดับหนึ่งค่ะ จขบ. ชอบเพราะผู้คนอัธยาศัยดี ของก็ไม่แพง แถมเมืองสวยอีกต่างหาก เว้เป็นอันดับสองชอบเพราะเป็นเมืองประวัติศาสตร์ และฮานอยเป็นอันดับสุดท้าย เนื่องจากเป็นเมืองหลวงด้วยล่ะเลยดูวุ่นวายและเร่งรีบอ่ะ เอาล่ะที่สำคัญขอบคุณเพื่อนๆ ที่ตามอ่านบล็อกมาทุกตอนค๊า .. แล้วพบกันใหม่จ้า

By Patthanid C.

Create Date :18 มิถุนายน 2555 Last Update :18 มิถุนายน 2555 2:07:13 น. Counter : 3205 Pageviews. Comments :0