สำหรับตอนนี้เราจะพาเพื่อนๆ มารู้จักมาเก๊ามากยิ่งขึ้น ไหนๆ เราก็จะไปเที่ยวบ้านเมืองเค้าแล้วก็ต้องรู้จักมาเก๊ากันหน่อย ชื่อ “มาเก๊า” มีต้นกำเนิดมาจาก “อาม่า” องค์เทพธิดาแห่งท้องทะเลผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานเล่ากันว่า อาม่าหรือหลิงม่า หญิงสาวชาวฟูเจี้ยนวันหนึ่งเธอต้องการข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรดอกลิลลี่ขาว หรือ เอ้าเหมินในภาษาจีน จึงขอโดยสารมากับเรือของชาวประมงชราคนหนึ่งซึ่งมีเพียงเรือลำเล็กๆ ในระหว่างที่เรือล่องอยู่กลางทะเลเกิดมีพายุขึ้นรุนแรง ทำให้เรือหลายลำต้องอับปาง

แต่ด้วยปาฏิหาริย์ในคำสั่งฟ้าของหลิงม่า ทำให้เรือที่เธอโดยสารมากับชาวประมงชราสามารถเดินทางมาถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย ทันทีที่ “หลิงม่า” ก้าวเท้าขึ้นสู่ฝั่งเธอก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าและหายลับไป ชาวประมงทั้งหลายต่างเชื่อกันว่า เธอคือองค์เทพธิดาแห่งท้องทะเล นับตั้งแต่นั้นดินแดนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า “อ่าวของอาม่า” หรือ “A-Ma-Goa” ที่เพี้ยนเสียงมาเป็น “มาเก๊า” ในปัจจุบันนั่นเอง



นี่เป็นจุดที่หลิงม่าก้าวขึ้นสู่ฝั่งล่ะ

แล้วเหตุใดมาเก๊าจึงกลายเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสได้ล่ะ เรามีคำตอบมาฝากเพื่อนๆ ด้วยล่ะ สมัยก่อนว่ากันว่าโปรสตุเกสขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบทางทะเลที่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ เป็นนักเดินเรือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ การเข้ามาตั้งถิ่นฐานในมาเก๊าดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดกว่าจีนจะยอมรับก็ต้องใช้เวลาอยู่นานทีเดียว จนกระทั้ง “จอร์จ อัลวาเรส” นักสำรวจชาวโปรสตุเกสเข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองจีนเป็นคนแรก สร้างความพึงพอใจให้กับชาวจีนทำให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวจีนและโปรตุเกสจึงเริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นมาเก๊าก็กลายเป็นผืนดินแห่งแรกที่ชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนตะวันออกไกล

ในปี ค.ศ. 1533 นายพันเอก ลีโอเนล เดอ โซซ่า ทหารเรือชาวโปรตุเกสได้ลงนามทำสนธิสัญญากับเจ้าเมืองกวางตุ้งโดยในสนธิสัญญามีข้อตกลงอยู่ว่าหากโปรตุเกสสามารถปราบโจรสลัดและทำการยึดเมืองที่โจรสลัดครอบครองไว้ได้สำเร็จ จีนจะอนุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาทำการค้า ซึ่งในที่สุดโปรตุเกสก็สามารถยึดเมืองมาเก๊าอันเป็นฐานที่มั่นสำคัญของโจรสลัดได้จริงๆ โปรตุเกสจึงมีโอกาสเข้ามาสร้างอาณานิคมอยู่ใน “มาเก๊า” ตามข้อตกลงนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1557 เป็นต้นมา



ตลอดระยะเวลาแห่งการครอบครอง ใครๆ มักจะพูดว่า มาเก๊าเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส แต่โปรตุเกสเองกับคิดเพียงว่า มาเก๊าคือหนึ่งจังหวัดที่อยู่ทางโพ้นทะเลเท่านั้น ซึ่งแม้จะมีการแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่กลับมาปกครอง แต่ชนชาวพื้นเมืองก็มีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ โปรตุเกสทำการบุกเบิกให้มาเก๊ากลายเป็นเมืองท่าทางการค้าที่สำคัญและนำพาความเจริญในทุกด้านเข้ามาสู่เมืองเล็กๆ แห่งนี้

ซึ่งถือว่ายุคนั้นเป็นช่วงเวลาที่มาเก๊าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ตึกรามบ้านช่องและอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมตะวันตก สังเกตได้จากคฤหาสน์ที่โอ่อ่า โบสถ์เก่าแก่ศิลปะแบบบารอค ความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ รวมไปถึงถนนสายคดเคี้ยวสไตล์ยุโรป แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงศิลปกรรมตามแบบจีนเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มาเก๊าเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของความเป็นยุโรปกลางเอเชีย

หลังจากมาเก๊าได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางการค้า มิชชันนารีที่เดินทางเข้ามาก็ใช้ที่นี่เป็นสถานที่เผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่น ความเจริญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนืองทำให้นักล่าอาณานิคมชาติต่างๆ ต้องการเข้ามาแย่งชิงมาเก๊าจากโปรตุเกส แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่กำลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง มาเก๊าจึงอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกสมาได้เป็นเวลายาวนานกว่า 400 ปี จนกระทั่งโปรตุเกสพลิกประวัติศาสตร์ด้วยการทำพิธีการส่งมอบมาเก๊าคืนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1999 นับจากวันนั้น มาเก๊าก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเขตปกครองพิเศษของจีนอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงสภาพทางการเมืองการปกครองในรูปแบบของหนึ่งประเทศสองระบบ



สัญญาลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างจีนกับโปรตุเกส

มาเก๊าจึงโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์แห่งการผสมผสานระหว่างสองวัฒนธรรมอย่างลงตัวที่สุด (มิน่าล่ะมาเก๊าจึงมีภาษาโปรตุเกสเขียนคู่กันไว้เต็มไปหมด แทนที่จะเป็นภาษาอังกฤษ) สีสันของสถาปัตยกรรมที่งดงามไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง อาคารโบราณต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ว่ากันว่า "ที่นี่คือยุโรปกลางเอเชีย"



นอกจากนี้มาเก๊ายังอีกสถานที่หนึ่งที่รวบรวมความอร่อยสำหรับนักชิมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารแมคกานิส อาหารประจำชาติมาเก๊า อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารโปรตุเกส อาหารไทย แม้แต่อาหารอินเดียก็สามารถหาทานได้ที่นี่



หากใครที่นิยมชมชอบในงานสถาปัตยกรรมแล้วล่ะก็ รับรองว่ามาเก๊าจะเป็นอีกที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดเลยล่ะ เราว่านะมาเก๊าเป็นเมืองที่คลาสสิกดีนะ แต่ต้องใช้เวลาสำหรับที่นี่หน่อยล่ะ สักสามวันสองคืนกำลังดีสำหรับการเที่ยวในมาเก๊า .. สำหรับตอนหน้าจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับมรดกโลกที่มาเก๊ากัน

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากสำนักงานการท่องเที่ยวรัฐบาลมาเก๊าค่ะ