bloggang.com mainmenu search
ตอนที่แล้ว จขบ. เล่าถึง "Cable Car ที่ยาวที่สุดในโลก" พวกเรานั่งมาประมาณ 40 นาทีตื่นเต้นมากคือมันสูงเทียมเมฆเลยก็ว่าได้ ใครกลัวความสูงเนี่ยอาจจะคิดหนักหน่อยเพราะมันยาวนานจริงๆ แล้วก็มาถึงสถานีปลายทางเดินตามทางเดินมาเรื่อยๆ ก็จะมีภาพเล่าเรื่องราวของหุบเขาเทียนเหมินซานแห่งนี้ตลอดเส้นทางเดินไปยันถึงลิฟต์ค่ะ







พอออกจากลิฟต์มาจะเป็นลานกว้างๆ เดินวนได้ 360 องศาเลยทีเดียว และสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันสุดจะบรรยายจริงๆ 









สูงเทียมเมฆมันเป็นแบบนี้นี่เอง อากาศดีมากๆ จขบ.เดินวนอยู่บนนี้อยู่นานสองนาน แต่ละมุมจะได้ภาพที่ต่างกัน มันต้องมาแล้วจะรู้ว่าที่ จขบ. บรรยายเนี่ยมันยังไม่เท่าได้มาเห็นด้วยตาตัวเองเลย เอาล่ะดื่มด่ำกันมาพอสมควรแล้วได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว โดยพวกเราจะเดินไปตามส้นทางตะวันตกตามเส้นสีแดงจนถึงวัดแล้วนั่งกระเช้าห้อยขากลับมาตามเส้นทางสีน้ำเงิน







สำหรับที่นี่มีป้ายเขียนเป็นภาษาอังกฤษชัดเจน เดินได้สบายมากไม่เหมือนที่เขาอวตารภาษาจีนล้วนๆ บ่งบอกว่าที่นี่มีนักท่องเที่ยว
ชาวต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะแล้ว พูดง่ายๆ พัฒนาแล้วจ้า เอาล่ะเดินตามเส้นทางกันเลยค๊า









ทางเดินที่นี่เดินได้สบายมากเค้าทำทางดีมีรั้วกั้นเรียบร้อย เข้าใจสร้างมากๆ อ่ะ เป็นทางเดินลัดเลาะเขาไปเรื่อยๆ ที่เห็นในรูปเนี่ยเป็นหญิงสาวชาวจีนหน้าตาน่ารักเชียว แต่อิชั้นอึ้งตรงที่เดินเข้าไปใกล้ๆ นางยกแขนจ้า อ๊ะจ๊าก .. ขนจักแร้ยาวมว๊ากกก เอ้ยมันเป็นเทรนของเค้าเหรอว้าาา จขบ.หาในอากู๋เค้าบอกว่า ถ้าใครไม่มีขนจักแร้เค้าจะหาว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่าแหละ เอ่อ.. ก็แปลกดีเนอะ 








จขบ.เดินตามทางไปเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เพื่อนตรูหายไปไหนฟ่ะ ถ่ายรูปก็อยากถ่ายเซฟฟี่เองซะเลยไม่งั้นไม่มีรูป
เพิ่งเข้าใจเพื่อนสาวตอนไปทริปวังเวียงมันเอา DSLR เซฟฟี่ได้ไงวะ ลำบากโครตๆ คือมันหนักอ่ะ แต่เพื่อรูปเราต้องทำได้ คริคริ







พวกเราเดินมาพักใหญ่ก็มาถึงจุดที่เรียกว่า "Glass Plank Road" เดินพื้นกระจกนั่นเอง ตรงนี้มีค่าใช้จ่ายคนละ 5 CNY
โดยคนที่จะผ่านจุดนี้ต้องใส่ถุงเท้าสวมทับรองเท้าค่ะ





โปรดสังเกตุหน้าเพื่อนๆ ของอิชั้น คงพอเดาสภาพถุงเท้าที่เค้ามีไว้บริการได้นะคะว่ายี้ขนาดไหน บรรจงใส่มันอย่างอี้อ่ะ
เมื่อทำใจได้แล้วก็พร้อมลุยเลยจ้า











กระจกใสอย่างนี้เลยทีเดียว อย่าถามว่าสูงไหมใครใจไม่ถึงอย่าได้มองลงไปนะ อาจเป็นลมได้
โปรดสังเกตุเจ้อิชั้นถึงกับค่อยๆ ก้าวเลยทีเดียว คนสร้างและคนคิดเนี่ยสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ คุณเก่งมากอ่ะ 

















อย่าถามว่ากระจกแข็งแรงไหม คิดดูแล้วกันว่าพวกเราสี่คนยืนบนกระจกแผ่นเดียว น้ำหนักแต่ละคนเนี่ยก็ไม่ใช่น้อยๆ 
บ่งบอกว่ากระจกแข็งแรงมาก หนาปึ้กเลยเหอะ



จขบ.ว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือถ่ายรูปยังไงให้ไม่มีคนเนี่ยแหละ คืออย่างที่รู้กันประชากรจีนเนี่ยเยอะมากแถมยังเดินไม่สนใจใครอีกต่างหาก
การหามุมถ่ายรูปเนี่ยเป็นอะไรที่เหนื่อยเลยทีเดียวต้องใจเย็นมากๆ 





สักพักเอ็มมี่ก็พูดลอยๆ ว่า "จีนต้องยิ่งใหญ่" ตอนแรกอิชั้นก็งงอะไรของเค้าว้าา พอเหลือบไปเห็นหนูน้อยคนนี้แล้ว
เอ่อ.. จีนต้องยิ่งใหญ่จริงๆ วะ กางเกงน้องเท่ห์มากอ่ะ คือเด็กน้อยเมืองจีนเนี่ยจะใส่กางเกงไม่มีเป้าแบบนี้เลย 
เพื่อการสะดวกแก่การฉี่ แบบ Anywhere อ่ะนะ 



หลังจากที่พวกเราเดินถ่ายรูปกับทางสิ้นสุดเส้นทางกระจกแป๊บเดียวอ่ะ เรียกว่าโชคดีมากที่ จขบ.ถ่ายรูปไว้ทัน
ประกอบกับดีนะที่เราได้เดินผ่านวิวกระจกมาแล้ว เพราะสิ่งที่จะเห็นต่อจากนี้ไปมันแค่แว๊บเดียวเองอ่ะ

















วิวสวยๆ ใสๆ ที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้หายวับไปกับตา มีเพียงหมอกหนามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ช่างเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ธรรมชาติสร้างมาก จขบ.เลยได้สองบรรยากาศในเวลาเดียวกัน แถวบ้านเรียกโชคดีที่เดินผ่านพื้นกระจกมาแล้ว
ไม่งั้นวิวขาวโพลนขนาดนี้ก็ไม่เห็นอะไรนะ











เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอน้องหนูตัวน้อยในชุดจีนสวยงามเชียว ณ จุดนี้ก็ขอถ่ายรูปน้องเค้าได้ก็ทิปให้น้องบ้างไรบ้างงี้
พวกเรายังคงเดินหน้าต่อไปค่ะ นี่มันเพิ่งครึ่งทางเองนะจ๊ะ บนหุบเขาแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเพียบ ไว้มาตามต่อตอนหน้านะจ๊ะ

Photo and Story By
Patthanid C.
www.patthanid.bloggang.com
Facebook : Patthanid FC

Create Date :04 พฤษภาคม 2558 Last Update :12 กรกฎาคม 2558 14:27:00 น. Counter : 1832 Pageviews. Comments :2