bloggang.com mainmenu search


จากตอนที่แล้วพวกเราเดินทางมาถึง โฮจิมินท์หรือไซ่ง่อนซิตี้ กันเป็นที่เรียบร้อย ภารกิจต่อไปนั้นก็คือหารถทัวร์ไปดาลัด ดูข้อมูลจากหนังสือเค้าบอกว่ามีทัวร์ชื่อเวียตซีบริการดีอยู่ด้านล่างของโรงแรมคิมคอย ๒๑๑ พวกเราไม่รอช้าเดินตรงเข้าไปสอบถามข้อมูล โดยมีเนวิเกเตอร์สาวเพื่อนแก้วกะล่ามเพื่อนติ๊กเข้าไปเจรจา



เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงหลังจากนั่งจัดแผนสดกันตรงเคาเตอร์นี่ล่ะ เนื่องจากแผนที่พวกเราเตรียมมาเมื่อเทียบกับเวลาการเดินทางแล้วดูท่าจะไม่สะดวกเลยจัดใหม่ให้เหมาะสมกับเวลาที่เรามีค่อนข้างจำกัดซะเหลือเกิน พวกเรามีเวลา ๔ วันกะ ๓ คืน สรุปได้ใจความว่า



พวกเราตั้งนั่งรถบัสจากโฮจิมินท์ไปดาลัดโดยรถนั่งปกติ เนื่องจากพื้นที่เป็นภูเขาดังนั้นจึงไม่มีรถนอนค่ารถก็คนละ 8 US$ โดยรถจะไปถึงที่พักที่ดาลัดประมาณเจ็ดโมงเช้า ค่าที่พักที่ดาลัดห้องละ 15 US$ หารห้องละสองคนก็ตกคนละ 7.5 US$ จากดาลัดมามุยเน่พวกเราเลือกรถนั่งปกติอีกเช่นกันเนื่องจากเห็นว่าใช้เวลาแค่สี่ชั่วโมง ค่ารถคนละ 7 US$ ถึงที่พักก็ราวๆ เที่ยง ค่าที่พักก็คืนละ 13 US$ หารสองก็ตกคนละ 6.5 US$ หลังจากนั้นตีหนึ่งก็ขึ้นรถมาพักที่โฮจิมินท์ ค่าโรงแรมคืนละ 27 US$ ตกคนละ 6.75 US$

คำนวณไปคำนวณมาก็ตกคนละ 40 US$ คิดเป็นเงินไทยก็คนละ ๑,๓๓๖ บาทอ่ะ โอ้แม่เจ้า!! เที่ยวสามที่พักสามคืนถูกจะแย่ ระหว่างที่สองสาวเหรัญญิกของเราเคลียเงิน เราก็หันไปเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์บริการอินเทอร์เน็ตฟรี ช้าอยู่ใยล่ะ



เปิดเครื่องมาเว็บพี่วุฒิพี่แคทเต็มหน้าจอเลย ถามเจ้าหน้าที่เค้าเล่าให้ฟังว่าคนไทยมาใช้บริการที่นี่เยอะเพราะพี่ไกด์สองคนนี่ล่ะ เพื่อนติ๊กเห็นเครื่องว่างๆ เข้าฟาร์มรอเวลาซะงั้น พวกเราเดินไปเดินมาในบริษัททัวร์ไหนๆ ก็ต้องรอเวลาแล้วไปเดินดูโฮจิมินท์ยามราตรีกันดีกว่า

พวกเราเดินออกมาจากทัวร์เวียตซีแล้วก็เลี้ยวขวาเดินไปเดินมาไปเจอร้านขายขนมอะไรสักอย่างหน้าตาคล้ายซาลาเปาทอดบ้านเรา ป้ายติดราคาไว้ ๒,๕๐๐ ด่อง เป็นเงินไทยก็ห้าบาทเองเอาวะลองดูกันหน่อย



แต่กว่าจะได้กินอ่ะนะมันต้องมีเหว่อกันบ้าง พวกเราเดินเข้าไปสั่งโดยยกนิ้ววัน แบบว่าเอา ๑ อัน ป้าแกนิ่งเว้ย ยังไงวะตรูตกลงป้าแกรู้เรื่องไหมวะ ไม่เป็นไรรอดูสถานการณ์ก่อน ทุกคนก็ยืนมองที่กระทะเมื่อไหร่ป้าจะทอดเสียทีฟ่ะ ป้าก็ยังก้มๆ เงยๆ มองดูกะทะซะงั้น เอาไงกันดีวะตกลงเค้าจะขายหรือไม่ขายพวกเราล่ะเนี่ย งงกันเป็นไก่ตาแตก

จนมีอีกคนมาสั่งเออเว้ย อาการเดียวกันก็ยังนิ่งยืนดูกะทะเฉยๆ แล้วสักพักแกก็หยิบแป้งลงทอด ถึงบางอ้อกันเลยพวกเรา ไอ้ขนมเนี่ยมันต้องรอจังหวะถ้าน้ำมันไม่ร้อนทอดไม่ได้ อ้อกันเลย พอลองชิมอร่อยดีนะแป้งรสชาติดีกว่าซาลาเปาทอดบ้านเราเยอะเลยอ่ะ เอาเป็นว่าใครมาโฮจิมินท์ลองมาชิมดูนะ

พวกเราเดินเข้าไปในซอยต่อไปเริ่มชักหิวแล้ว เราหาเฝอกินกันไหมอ่ะต้องบอกตามตรงเราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเฝอคืออะไรจนวันนี้นี่แหละ เพราะเดินไปเห็นร้านหนึ่งเออคนเยอะแฮะกินร้านนี้แหละ เดินเข้าไปสั่งแม่ค้ากับบอกพวกเราประมาณว่าหมดแล้ว แม่ค้าร้านผลไม้ข้างๆ ก็เลยชี้มาอีกร้านบอกพวกเราว่า "นี่แหละเฝอ"



ร้านนี้แหละแม่ค้าเค้าก็พยายามสื่อสารกับเราจนพวกเราสั่งมาทานกันคนละชาม พวกเราก็เลยเดินมานั่งเก้าอี้เตี้ยที่เค้าเตรียมไว้ ดูเหมือนเมืองนี้เค้านิยมทานเก้าอี้เตี้ยๆ กันแฮะ มาเวียตนามจะเห็นโต๊ะเก้าอี้แบบนี้เต็มไปหมดเลยล่ะอ่ะกลับมาร้านเฝอกันดีกว่า มาแล้ว.. เฝอของช้าน



เอ่อ .. เฝอมันคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อเหรอเนี่ย เพื่อนแก้วงานเข้าเลยกินไม่ได้เพราะไม่กินเนื้อ เสร็จโจรสามคนเลยปรุงกันใหญ่บนโต๊ะมีซอสดำๆ ลองชิมดูรสชาติเหมือนรสดีรสเนื้อใส่แล้วทำให้น้ำเข้มข้นขึ้นอีก อร่อยดีแฮะ เนื้อบ้านเค้าไม่ใช่เนื้อติดมันด้วยอ่ะ ไม่นานนักเฝอก็เรียบไม่มีเหลือ.. สบายท้องแล้วเรา



จากนั้นพวกเราก็เดินต่อไปตามถนนเส้นเดิมก็แถวๆ ถนนฟาร์มหวูหลามนั่นแหละ ย่านนี้เหมือนย่านข้าวสารบ้านเราไม่มีผิดมีผับเปิดกันเต็มไปหมด มีคนแจกโบรชัวรและเชิญชวนเข้าร้านด้วย



แต่ชอบร้านนี้จัง "Buffalo Saigon" แปลกันตรงๆ ป้ายเห็นกันชัดๆ เอ๊ะยังไง ย่านนี้ผู้คนดูคึกคักคล้ายๆ ถนนข้าวสารบ้านเราที่เต็มไปด้วยผับตลอดเส้นทาง พวกเราหาได้สนใจไม่หมดวัยซะแล้ว พวกเราเดินผ่านไปเรื่อยๆ จนมาเจอร้านนี้



ถูกใจเพื่อนแก้วนักล่ะ มาเวียตนามทั้งที่กินเฝอก็ไม่ได้ขอสัดมาม่าเวียตนามก็แล้วกัน ร้านนี้ก็เหมือนเซเว่นบ้านเรานั่นล่ะมีทุกอย่าง แต่ที่แตกต่างคือขายบุหรี่กับสุราชัดเจนมาก ชนิดที่ว่าจัดเรียงไว้อย่างสวยงามสนนราคาก็ถูกกว่าบ้านเราหลายอยู่เหมือนกัน

เมื่อได้ของถูกใจเพื่อนแก้วแล้วพวกเราก็เดินกลับมาบริษัททัวร์อีกครั้ง ที่นี่บริการดีมีเน็ตให้ใช้มีน้ำดื่มให้ทานเสร็จสรรพเรียกว่านั่งรอรถได้อย่างสบายๆ แต่มีข้อแม้คือที่นี่ปิดสี่ทุ่ม งานเข้าล่ะ ไปรอที่ไหนกันล่ะ เจ้าหนาที่เค้าเลยพาพวกเราไปรอรถที่บริษัทรถทัวร์



"PHUONG TRANG" ที่นี่บริการรถบัสทั้งนั่งและนอนไปดานัง นาเตรือง ดาลัด มุยเน่ และอีกหลายสาย เรียกว่าออกกันทุกชั่วโมงเลยทีเดียวมีตั้งแต่หกโมงเช้าไปจนถึงเที่ยงคืนเลยล่ะ พวกเราเข้ามาหาที่นั่งแต่ปรากฏว่าเต็มเลยเดินไปนั่งรถที่สวนสาธารณะ

แม่เจ้า!! เค้าเล่นกีฬาอะไรกันหว่าลักษณะคล้ายกับลูกขนไก่แต่เค้าใช้เตะเหมือนกันตระกร้อ เสริฟ์กันไปเสริฟ์กันมาโครตจะแม่นอ่ะ มิน่าล่ะนักกีฬาบ้านเค้าถึงได้แชมป์ พวกเราก็นั่งดูมันทั้งมืดๆ สลัวๆ นั่นล่ะ มีพี่กี้คอยวิ่งไปดูรถเป็นระยะ เฮ้อ แม่จะรู้ไหมเนี่ยมาเรามาเที่ยวต่างประเทศ นั่งรอยังกะรอ บขส. จนรถไม่ไหวล่ะย้ายดีกว่าไปนั่งในบริษัทรถทัวร์

พวกเรานั่งกันได้สักพักก็มีผู้โดยสารเอากะปิมาฝากพนักงาน จำได้ว่าครั้งแรกเราถามเค้าว่ารถเราใช่หรือเปล่า แล้วเค้าก็ตอบเป็นภาษาเวียตนาม งงเลยดิตรูเอาอีกล่ะมองหน้าตรูเหมือนคนในพื้นทีอีกล่ะ แล้วเค้าก็คงเห็นว่าเราไม่เข้าใจมั้งเลยถามว่าเรามาจากไหน ตอบเค้าไปว่ามาจากเมืองไทยเท่านั้นล่ะ เอากระปุกกะปิมาถามตรูเลยว่ามันกินยังไง

งานเข้าตรูเลยภาษาอังกฤษอ่อนแออยู่ด้วย ไอ้กะปิภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าไงฟ่ะ มองหน้าพี่กี้พี่ตรูตอบอย่างมั่นใจ กะปิเสียงสูงมาเลย แล้วมันกินยังไงวะ พี่กี้ทำท่าตำน้ำพริกดูเหมือนจะไม่เข้าใจ พี่กี้เลยตอบไปอีกว่าแมงโก้ โห..พี่ตรูพยายามดีเนอะตอบได้เคลียจริงๆ เค้าเลยเข้าใจว่ากินกับมะม่วงไปโดยปริยาย พี่ตรูเห็นสาวๆ เป็นไม่ได้อยากสื่อสารสุดฤทธิ์ อิอิ ขอเม๊าส์หน่อย



เที่ยงคืนแล้ว .. รถเที่ยวของพวกเรามาจอดเทียบท่าไม่รอช้ารีบขึ้นก่อนเลย พวกเราได้นั่งกันแถวหลัง โดยมีพี่กี้โดยแยกไปนั่งช่วงกลางๆ รถคนเดียว พอขึ้นรถได้ปุ๊บก็หลับกันปั๊บเลยล่ะ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนจอดแวะเติมน้ำมันนี่แหละ



แต่เท่าที่รู้สึกตลอดทางเหมือนรถขึ้นเขาเข้าเหมืองทะลุหมู่บ้านยังไงบอกไม่ถูก ดูเหมือนทางจะทรหดเอาการเลยล่ะ ดีนะที่เพลียจัดเลยไม่ไหวล่ะวินาทีนี้จะขึ้นเขาลงห้วยตรูขอนอนเอาแรงไว้ก่อน แปดชั่วโมงแนะกว่าจะถึงดาลัด .. ไว้มาเล่าต่อนะว่าดาลัด เมืองที่เค้าบอกกันว่าอิตาลีน้อยๆ ของเวียตนามจะมีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
Create Date :07 กรกฎาคม 2553 Last Update :7 กรกฎาคม 2553 0:45:40 น. Counter : Pageviews. Comments :12