bloggang.com mainmenu search
ตอนที่แล้วเล่าถึง ย่ำราตรีโฮจิมินท์กินเฝอรอบดึก หลังจากนั้นพวกเราสี่คนก็ขึ้นรถบัสเพื่อมายังเมืองที่ชื่อว่า ดาลัด (Dalat) เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1897 โดยนายแพทย์ Alexandre Yersin เป็นผู้แนะนำให้เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศ เนื่องจากดาลัดมีทะเลสาบเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าที่นี้เปรียบเสมือนปารีสน้อยๆ ของเวียตนามกันเลยทีเดียว

ตอนแรกก่อนที่จะมาเมืองนี้ก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรของที่นี่เลย เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปกระทันหันมีเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก แต่พอได้มาแล้วต้องบอกว่าที่นี่เป็นเมืองอีกเมืองที่น่าประทับใจ คล้ายกับปายในอดีตของบ้านเรานั่นแหละ จุดเด่นของเมืองนี้คือความคลาสสิค วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย อากาศที่แสนจะเย็นสบายตลอดปี นี่ขณะเรามากันหน้าร้อนนะอากาศเหมือนกับเชียงใหม่ตอนหน้าหนาวยังไงยังงั้นเลยล่ะ

กลับมาที่พวกเรากันดีกว่า หลังจากที่พวกเรานั่งรถหลับกันสนิทมาตลอดทางประมาณ ๘ ชั่วโมง แล้วพวกเราก็พบกับรุ่งอรุณวันใหม่ ณ ดาลัด





แชะ แชะ เสียงอะไรฟ่ะดังอยู่ข้างหู ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพื่อนติ๊กกำลังกดชัดเตอร์ระรัว มันถ่ายอะไรของมันฟ่ะเราก็หันไปดูนอกหน้าต่าง โอ้โห .. ด้านนอกหมอกเต็มเลย กรี๊ดนึกว่ามาภูชีฟ้ามิน่าล่ะคุณเพื่อนกดชัตเตอร์รัวเลย วิวสองข้างทางช่างดูเป็นธรรมชาติดีจัง นานๆ ได้หลบความวุ่นวายในเมืองกรุงมาสัมผัสธรรมชาติแบบนี้บ้างดีจัง



รถที่พวกเรานั่งก็แล่นผ่านเทือกเขาไปเรื่อยๆ จนเข้าเมืองตัวเมืองดาลัดเนื่องจากโรงแรมที่พวกเราจองไว้นั้นอยู่ติดถนนซึ่งเป็นทางผ่านเส้นหลักของรสบัสสายนี้



Villa Hotel Thanh Loan เป็นโรงแรมแรกที่ซุยเจ้าหน้าที่ทัวร์เวียตซีแนะนำเราว่าเป็นโรงแรมสะอาดราคาประหยัดคืนละ 15 US$ หารสองก็คนละ 7.5 US$ คนละ ๒๔๖ บาทไทยอ่ะ



พวกเราเดินเข้าไปเช็คอินโดยการยืนกระดาษสำเนาใบเสร็จที่ทางทัวร์เวียตซีออกให้กับคนที่ดูแล เค้าก็บอกว่าเราสามารถเช็คอินได้แปดโมงเนื่องจากเค้ากำลังทำความสะอาดห้องอยู่ พวกเราเลยฝากกระเป๋าไว้แล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน





จากโรงแรมพวกเราเดินไปทางขวาก็เห็นร้านขายเฝอ ขอบอกว่ากลิ่นรัญจวนใจมากๆ หอมซะไม่มีอ่ะไม่แวะไม่ได้แล้ว เอาร้านนี้ล่ะ เฝอก็เฝอวะพวกเรามากันสามคนสั่งเฝอไปสามจาน มีเพื่อนแก้วคนเดียวที่สั่งกาแฟล่ะ







มาแล้ววว ... เฝอของช้านกลิ่มหอมไม่แพ้คืนก่อนเลย มาเริ่มปรุงกันเลยเค้ามีพริกกับมะนาวให้ด้วย ตอนแรกก็นึกว่าดีกรีความเผ็ดจะน้อยกว่าบ้านเรา แต่ที่ไหนได้พริกบ้านเค้าแค่แว่นเดียวเผ็ดยังกะกินพริกทั้งเม็ดเลยล่ะ มะนาวบ้านเค้าก็คือเลมอนก็จะออกคล้ายส้มโออ่ะไม่เปรี้ยวจนเกินไป ที่นี่เค้านิยมทานโหราพากับผัดกาดล่ะ และที่ขาดไม่ได้ไอ้ซอสสีดำที่เล่าไว้เมื่อตอนที่แล้ว ขอบอกว่ามันทำให้รสชาติการกินเฝอดีขึ้นมากมายเลยล่ะ



หันมาดูกาแฟของเพื่อนแก้วกันบ้าง อะไรวะเนี่ยถ้วยกาแฟทำไมมันหน้าตาประหลาดฟ่ะ ดีนะที่อ่านข้อมูลมาบ้างว่ากาแฟที่นี่ชงกันสดๆ แบบไม่ต้องอาศัยเครื่องชงกาแฟ ก็จะมีถ้วยชงอยู่ด้านบนถ้วยกาแฟ น้ำกาแฟก็จะค่อยๆ ไหลผ่านที่กรองด้านล่างไปสู่ถ้วยกาแฟที่มีนมข้นหวานอยู่ ขอบอกว่ากาแฟที่นี่อร่อยมากมายอ่ะ แบบรสชาตมันละเมียดดีอ่ะ ชอบอ่ะ แถมการทานก็แสนจะคลาสสิคอีกต่างหาก



พอทานเสร็จก็เรียกเจ้าของร้านมาคิดเงินเบ็ดเสร็จมื้อนี้หมดไป 80,000 ด่อง คิดเป็นเงินไทยก็ ๑๖๐ บาทเองล่ะ จากนั้นพวกเราก็เดินไปต่อที่ตลาดดาลัดถามทางเจ้าของร้านบอกให้พวกเราเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายไปเรื่อยๆ ประมาณสองกิโลเห็นจะได้



ตลอดสองข้างทางที่นี่เต็มไปด้วยร้านกาแฟเก๋ๆ หลายร้านเลยล่ะ เมืองนี้นอกจากขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแล้วที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตกาแฟส่งออกของเวียตนามอีกด้วย



พวกเราเดินไปแวะถ่ายรูปกันไปเรียกว่าเวลาเหลือเฟือเลยสำหรับเช้านี้ จากถนนข้ามไปอีกถนนแล้วก็หยุดยืนมองพิกัดกันสักพัก ถ้าพวกเราเดินตามถนนก็อ้อมมากมาย ท่าทางเฝอที่กินมาจะกำลังไม่พอ สงสัยต้องใช้วิธีลัดแล้วล่ะ



พวกเราเดินเข้าสวนสาธารณะเพื่อตัดเส้นทางให้สั้นลง โดยต้องเดินผ่านสะพานผ่านสวนทะลุบ้านคนจนขึ้นไปถนนฝั่งตรงข้ามดูแล้ววิธีนี้น่าจะประหยัดเวลาการเดินทาง



ปัญหามันอยู่ที่สะพานอันนี้ล่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสร้างสูงลิ่วขนาดนี้ คิดดูนะเราอายุเท่านี้ยังเดินขึ้นยากเลยแล้วคนสูงอายุล่ะเดินทีต้องทรงตัวยังกะเล่นกายกรรมเปียงยางยังไงยังงั้นเลยอ่ะ





พอข้ามถนนมาได้ก็เจอร้านกาแฟอีกล่ะ มาถึงตรงนี้มีถนนสองเส้นพวกเราเลือกเดินเส้นในเพราะดูมีคนสัญจรไปมาพลุกพล่าน



แล้วพวกเราก็เดินมั่วๆ มาจนถึงตลาดดาลัด ตลาดเช้าที่แสนจะวุ่นวายเป็นที่สุด ส่วนภาพความวุ่นวายจะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามต่อตอนหน้านะคะ
Create Date :08 กรกฎาคม 2553 Last Update :4 กันยายน 2553 12:31:26 น. Counter : Pageviews. Comments :6