bloggang.com mainmenu search
8 ธันวาคม 2548

วันนี้เป็นวันที่สี่สำหรับพวกเราในฮ่องกง และวันนี้ก็เป็นวันที่เราได้ City Tour จากบริษัททัวร์ เนื่องจากว่าคิวของพวกเราวันอื่นไม่ว่างเลย วันนี้เป็นวันที่เหมาะเจาะที่สุด

ทริปนี้ของพวกเราจะเรียกว่าโหดก็ว่าได้ เพราะต้องตื่นก่อนเจ็ดโมงเช้าทุกวันเลย หนาวก็หนาวขนาดที่ว่าไม่ได้เปิดแอร์เลยในห้องพัก วันนี้ตามกำหนดการพวกเราจะเดินทางจากเกาะเกาลูนไป Victoria Peak ซึ่งอยู่บนฝั่งเกาะฮ่องกง สำหรับการเดินทางไปเกาะฮ่องกงมีสามวิธีคือ รถไฟฟ้าใต้ดิน รถยนต์และเรือ เราใช้เส้นทางรถยนต์ซึ่งก็จะผ่านอุโมงค์ใต้น้ำ มีเส้นทางหลักสามเส้นทาง คือเส้นแรกเป็นของรัฐบาลค่าผ่านทางราคาไม่แพงแต่รถจะติดบ้าง สำหรับอีกสองเส้นทางเป็นของเอกชนราคาค่าผ่านทางจะแพงหน่อยแต่รถไม่ติด วันนี้เราใช้เส้นทางที่หนึ่งแต่โชดดีที่รถไม่ติด



ตอนนี้รถกำลังขึ้นเขา ฝั่งฮ่องกงมีแต่เขาเพราะเชื่อว่ายิ่งสูงยิ่งดี สำหรับจุดชมวิว Victoria Peak ชื่อเดิมเรียกว่าเขาชักธง มีเรื่องเล่าว่า แต่เดิมมีโจรสลัดอาศัยอยู่ที่เขาแห่งนี้ เวลาจะปล้นเรือสินค้าหัวหน้าโจรจะชักธงอยู่ด้านบนให้ลูกน้องเตรียมตัวปล้นเรือสินค้า ต่อมาอังกฤษได้เข้ามาครอบครองฮ่องกงจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Victoria Peak บนเขาแห่งนี้มีบ้านคนดังหลายคน เช่น เฉินหลง, เจ้าของบ่อนในมาเก๊า เป็นต้น เนื่องจากมีความเชื่อตามหลักฮวงจุ้ยว่า ด้านหน้าน้ำนำโชค ด้านหลังเป็นเขามีคนสนับสนุนค้ำจุน ที่ฮ่องกงยืดถือหลักฮวงจุ้ยมากๆ อย่างเช่นตึก AIA ฝั่งเกาะฮ่องกง มีเรื่องเล่าว่า ตึกนี้ได้มาสร้างทับฮวงซุ้ยเดิม พอเปิดใช้ตึกก็เจอเรื่องแปลกๆ บ่อย ต้องพึ่งซินแซมาทำการแก้ไข โดยทำเป็นช่องหกเหลี่ยมเหมือนรูปโลงศพฝรั่ง ครอบตัวตึกอีกที เพื่อให้วิญญาณได้มาสิงสถิตย์อยู่ในช่องหกเหลี่ยมนี้ หลังจากแก้ไขแล้วก็ทำให้กิจการประกันดีขึ้น เสียดายถ่ายรูปมาไม่ทัน เลยไม่มีภาพประกอบ มีอีกตึกหนึ่งอันนี้มีรูปเป็นรูปกลมๆ คล้ายรูปบุหรี่ เล่ากันมาว่าสร้างเสร็จก็โดนไฟใหม้สี่ครั้ง ต้องเรียกซินแสมาแก้ไข ก็ให้สร้างสระน้ำด้านบน ส่วนอีกตึกหนึ่งมียอดแหลมๆ หมายถึงเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องเล่าอีกเรื่องที่ไกด์เล่าให้ฟังว่า รู้ไหมทำไมเฉินหลงไม่อยู่ที่เกาลูน เพราะว่าเกาลูนแปลว่ามังกรเก้าตัว เฉินหลงแปลว่ามังกรหนึ่งตัว มังกรหนึ่งตัวสู้เก้าตัวไม่ได้ จึงต้องหนีมาอยู่เกาะฮ่องกง มันก็เป็นเรื่องแปลกนะแต่คนที่นี่มีความเชื่อมากๆ



จุดชมวิวจุดนี้ถือเป็นจุดขายอีกจุดที่ทุกบริษัททัวร์ต้องมาลง คนจะเยอะมาก ต้องหามุมถ่ายรูปกันเอง ด้านหน้าติดถนนก็จะมีของที่ระลึกขาย ห้าชิ้นร้อย แต่ขอบอกของบ้านเรานั่นเอง (แต่ก็ไม่วายซื้อกลับมานั่นแหละ เพราะที่รู้ว่าเป็นของบ้านเราก็ตอนซื้อกลับมาแล้วนั่นเอง)



จากจุดนี้เรียกว่าเห็นเกาะฮ่องกงได้อย่างชัดเจนมาก ลองดูภาพกันเองดีกว่า แต่กว่าจะได้รูปนี้มาต้องยืนบนเก้าอี้ถ่ายเพราะคนเยอะมาก



จาก Victoria Peak พวกเราไปต่อกันที่ศาลเจ้าแม่กวนอินในเขตชายหาดน้ำตื้น (Repulse Bay) ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีจาก Victoria Peak เป็นสถานที่ตั้งวัดเจ้าแม่กวนอิม เป็นจุดอีกจุดที่ผู้คนนิยมมาสักการะ เริ่มจากประตูทางเข้ามีเพ๋เหย้า เพ๋ซิว หมายถึงกินเงินไม่คลายออก นิยมตั้งไว้หน้าบริษัทหรือแม้แต่บ่อนที่มาเก๋า เพราะมีความเชื่อว่ามาเล่นเท่าไหร่ก็ไม่ได้กลับไปเพราะเพ๋เหย้าไม่คลายเงินออกนั่นเอง ถัดเข้ามาจะพบบ่อมังกร ซึ่งมีความเชื่อว่าให้อธิษฐานโดยลูบที่ตามังกรและลูกแก้วในปากมังกร



เดินเข้ามาตามทางเดินจะพบกับรูปปั้นเจ้าแม่กวนอินองค์ใหญ่ กับเทพเจ้าเงินตรา ซึ่งจะเห็นคนเข้ามาขอพรจากเทพเจ้าแห่งเงินตราโดยเข้ามาลูปท้องซึ่งเป็นวิธีขอที่ผิด ส่วนวิธีที่ถูกต้องไกด์ของเราคุณเปิ้ลแนะนำว่าให้เอาแบงค์ที่ลงท้ายด้วยเลยสวยๆ เช่น 8 9 เป็นต้น ลูบด้วยมือขวาตั้งแต่หัวลงมาที่แขน ลงมาที่ถุงเงินแล้วเอามือซ้ายมาโอบตรงถุงเงินแล้วเก็บเข้ากระเป๋า ที่สำคัญจะเห็นทองวางอยู่ข้าง อย่าลืมโอบด้วยสองมือแล้วเก็บเข้ากระเป๋า มีความเชื่อว่าเงินทองจะไหลเข้ากระเป๋า แต่มีข้อห้ามว่าอย่าให้โดนที่ท้องเพราะมียักษ์อยู่ ซึ่งยักษ์จะมาแย่งคืนนั่นเอง



ถัดไปตรงหน้าจะเจ้าแม่กวนอินคุณเปิ้ลบอกกับเราว่า ให้ไหว้ตรงที่กล่องดวงใจ (รูปสี่เหลี่ยมที่พื้น) เพราะเจ้าแม่กวนอิมจะรับรู้มากที่สุด จากนั้นถัดมาจะพบกับรูปปั้นเทพเจ้าอีกมามาย จากรูปจะเห็นว่าพี่พู่กำลังเขียนอะไรอยู่สักอย่าง ตรงนี้เรียกว่าเทพเจ้าแห่งบัญชีมีความเชื่อว่าให้เขียนชื่อตัวเองแล้วก็ตัวเลขที่อยากได้ในแผ่นสี่เหลี่ยม จากนั้นเดินต่อมาอีกจะพบกับรูปวงกลมข้างในสีแดงขอบสีฟ้า เชื่อกันว่าให้ขอพรโดยเดินวนทางซ้ายหนึ่งรอบแล้วก้าวเข้ามาตรงปลายลูกศรด้วยเท้าซ้ายเดินมาจุดกึ่งกลางให้บรรจบด้วยเท้าขวา แล้วก็ให้อธิษฐานขอพร



เดินต่อมาเรื่อยๆ จะพบฮกลกซิว ถัดมาจะพบกับรูปปั้นแกะสามตัวเชื่อว่านิยมมาขอลูกขอหลาน จากนั้นทางด้านซ้ายจะเห็นเทพเจ้าแห่งคู่ครอง มีความเชื่อว่าหากใครยังไม่มีคู่ให้ลูบลงสามครั้งที่ก้อนหินสีดำ หากใครที่มีคู่อยู่แล้วให้นำด้ายแดงมาผูกตรงฐานด้านล่าง มีความเชื่อว่าจะได้รักกันตลอดไป



จากนั้นย้อนกลับขึ้นมาบนศาลาเพื่ออธิษฐานเจ้าแม่กวนอินปางที่นั่งอยู่บนนก วิธีอธิษฐานจะเห็นช่องแปดเหลี่ยมให้ก้าวเข้าด้วยซ้ายเดินเข้ามาอธิษฐานตรงกลาง (ตามรูปที่เห็นคุณเปิ้ลไหว้อยู่) เพื่ออธิษฐานขอพร หลังจากแนะนำเคล็บลับต่างๆ แล้ว คุณเปิ้ลก็ปล่อยให้เป็นเวลาอิสระของพวเราประมาณสามสิบนาที และก่อนไปก็บอกว่า จุดตรงบันไดเป็นจุดที่ถ่ายรูปเจ้าแม่กวนอิมได้สวยที่สุด





หมดเวลาสำหรับที่นี่แล้ว พวกเราต้องขึ้นรถต่อเพื่อไปโรงงานทำจิลเวอร์รี่ของฮ่องกง มาดูวิวข้างทางกันดีกว่า ตรงนี้เป็นจุดที่เล่นน้ำได้อีกจุด ตกเย็นเค้าจะมีคนมาทำอาหารกินกันที่นี่ มีอุปกรณ์เตาปิ้งให้เรียบร้อยเลยล่ะ



เดินทางกันสักพักระหว่างทางผ่านกระเช้าลอยฟ้า และสวนสนุกด้วยล่ะ แต่เสียดายเวลาเราไม่มีแล้ว ระหว่างเดินทางคุณเปิ้ลก็ทำหน้าที่แนะนำสองข้างทางมาเรื่อยๆ และก็พับแบงค์ที่เราใช้ลูบเทพเจ้าเงินตราให้เป็นเครื่องลาง ไม่นานนักเราก็มาถึงโรงงานทำจิลเวอร์รี่



มีพนักงานต้อนรับ คนแรกๆ เค้าก็ฮัลโหลไงพอมาถึงเราหนี่ห่าวล่ะ นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ที่นี่ ด้วยที่หน้าตาเราคล้ายกับคนที่นี่ เค้าจะทักเป็นภาษาจีนตลอด เข้ามาในห้องแนะนำสินค้าก็มีพนักงานมาแนะนำเป็นภาษาไทย จากนั้นก็พาเข้ามาเยี่ยมชมการทำจิวเวอร์รี่ และก็พาเข้ามาในห้องจัดแสดงสินค้า ที่นี่มีคนไทยห้าคน บ่งบอกว่าคนบ้านเรามาที่นี่กันบ่อย ในห้องจัดแสดงก็มีเครื่องประดับมากมาย ความที่ดูสินค้าเพลินจนลืมถ่ายรูป

งานนี้แต่คนละในกรุ๊ปเราก็แยกย้ายหาสิ่งที่ตัวเองชอบ เราได้สร้อยหยกรูปแอปเปิ้ลมาชิ้นหนึ่ง ราคา 150 เหรียญ พี่พู่กะพี่พูนสุขได้สร้อยเจ้าแม่กวนอิมมีสลักคำสวดด้านหลังด้วยต้องใช้แว่นขยายส่องดูถึงจะเห็นราคา 100 เหรียญ กะ 200 เหรียญ แต่จะว่าไปเราแล้วพวกเราไม่ค่อยเหมาะมาที่นี่เท่าไหร่ แบบว่าน่าจะเป็นรุ่นแม่ๆ เรามากกว่านะ สิ่งที่น่าสนใจที่นี่เห็นจะเป็นกังหันลม ที่เชื่อว่าจะพัดพาสิ่งไม่ดีออกจากเจ้าของ พวกเราใช้เวลาในนี่ประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ จากนั้นเราก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อไปฟังสัมมานาต่อล่ะ

กลับเข้ามาในงานสัมมานา เราก็มารับประทานอาหารเที่ยง ขอบอกว่าเชอราตัน อาหารอร่อยมาก ที่เราติดใจคงจะเป็น ผักกวางตุ้งราดน้ำมันหอย เป็นเมนูที่ต้องมีทุกมื้อแต่เค้าทำได้อร่อยไม่ขม เนื้อแกะออกจะมันเยอะหน่อยก็อร่อยเชียวแหละ เมนูโปรดของเราอีกอันก็ปลาอบ เกี๊ยวซ่าก็รสชาติดีที่เดียว เรียกว่ายังมีอีกเพียบแต่จำไม่ได้ เรื่องการกินเนี่ยต้องยกนิ้วให้เลยล่ะ เพราะแต่ละมื้ออร่อยทุกมื้อ วันนี้เป็นพิธีเลี้ยงส่งเพื่อส่งงานต่อให้ประเทศฟินแลนด์เป็นเจ้าภาพปีต่อไป





มาดูวิวบนโรงแรมเชอราตันกันดีกว่า



สำหรับช่วงเย็นเป็นพิธีเลี้ยงส่งอย่างเป็นทางการ เมนูค่ำนี้เป็นอาหารจีน 12 รายการ ช่วงต้นๆ ทุกคนก็ดูสนุกกันการกินมื้อนี้ แต่พอเริ่มเมนูที่ห้าสีหน้าแต่ละคนเริ่มเปลี่ยน เพราะเริ่มรู้สึกว่าชักไม่ไหว เมนูที่นี่เรียงจากหนักแล้วก็หนักแล้วไปเบา ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ที่รู้คืออิ่มมาก งานนี้เจ้าภาพเลี้ยงแบบอิ่มหมีพีมันเชียวล่ะ แค่มือค่ำนี้ตกคนละ 100 เหรียญสหรัฐเชียวล่ะ แต่ก็น่าอยู่หรอกเพราะเมนูหนักๆ ทั้งนั้นเลยล่ะ





ส่งท้ายด้วยการถ่ายรูปที่ระลึกกับเจ้าภาพ



9 ธันวาคม 2548

วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายสำหรับฮ่องกงแล้ว ก็ยังตื่นเช้าอยู่เหมือนเดิม เช้านี้อากาศเริ่มไม่ค่อยหนาวแล้ว เรียกว่าดีกว่าทุกวันที่ผ่านมา เพราะไม่หนาวมากนัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานสัมมานา วันนี้นุ๊กต้องพรีเซ็นต์งานเป็นคนสุดท้าย คนฟังเริ่มลดน้อยลง อาจจะเป็นเพราะเริ่มเดินทางกลับกันบ้างแล้ว วันนี้เลยดูสบายๆ แต่ก็มีคนฟังบ้าง พอเบรกพวกเราก็ออกมาจิปกาแฟกลางแจ้ง บรรยากาศดีมากเลยล่ะ



วันนี้ได้คุยกับน้องคนหนึ่งด้วย ตั้งแต่อยู่ฮ่องกงมา 5 วัน เราว่าน้องนี่ดูน่ารักที่สุดล่ะ ถามไปถามกันมาน้องเค้าชื่อเจสัน ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนพรีเซ็นต์ไปๆ มาๆ กลายเป็น Staff ซะงั้น



หลังจากนุ๊กพรีเซ็นต์ พวกเราก็รีบกลับมาเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน รู้สึกเหนื่อยชะมัด วันนี้ไกด์ที่นำทางเรากลับบ้านชื่อ แอ็ดดี้ ระหว่างทางก็เล่าเรื่องขำๆ ตลอดทาง จนกระทั้งมาถึงสนามบินประมาณบ่ายโมง



ระหว่างกำลังเช็คตั๋ว ก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งมาถามว่าเราคนไทยหรือเปล่า พวกเราก็ตกใจสิ เพราะน้องเค้าร้องมาเลยล่ะ ถามไปถามมาได้ความว่าน้องเค้าเปลี่ยนไฟท์บินทำให้ไม่มีชื่อในไฟท์นี้ พวกเราเลยให้คุณแอ๊ดดี้ช่วยคุยกับเจ้าหน้าที่ ก็สรุปว่าให้รอดูว่ามีที่สำรองเหลือหรือเปล่า แต่ที่น่าแปลกใจคือน้องเค้าเล่าให้ฟังว่าเค้ามารอที่สนามบินตั้งแต่แปดโมงเช้า

เจอคนไทยแต่พูดภาษาจีนใส่แบบว่าไม่อยากจะช่วยเหลือ แปลกนะปกติคนไทยออกจะน้ำใจดี แต่ในท้ายที่สุดน้องคนนี้ก็ได้กลับบ้านพร้อมเรา วันนี้เครื่องบินดีเลย์ประมาณชั่วโมงทำให้พวกเรามีเวลาช็อปปิ้งรอบสุดท้ายที่เขต Duty Free น้ำหอมกับเครื่องสำอางค์ถูกกว่าในตัวเมืองฮ่องกงเสียอีก แต่ช่วงเวลาตรงนี้เราก็เดินไปกับพี่พู่ทำให้รู้จักยี่ห้อเครื่องสำอางค์เพิ่มขึ้นจมเลยล่ะ ยังนึกอยู่ในใจเลยว่า ไมข้าเจ้าไม่รู้จักหว่า และแล้วก็ถึงเวลาอำลาฮ่องกง



เราขึ้นเครื่องจากฮ่องกงประมาณ 4.30 น. เครื่องมาถึงสนามบินกรุงเทพฯ ราวทุ่มครึ่ง และแล้วทริปนี้ก็จบลงด้วยดี มีเรื่องราวมากมายให้จดจำสำหรับการเดินทางครั้งนี้ และหวังจะได้กลับไปเยือนอีกครั้ง แต่การเดินทางครั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณมหาวิทยาลัยศรีปทุมที่เอื้อเฟื้อเงินสนับสนุนเต็มจำนวน เพื่อประสบการณ์ครั้งนี้ของเรา

==============================================






==============================================
Create Date :05 กรกฎาคม 2549 Last Update :20 พฤษภาคม 2554 14:37:59 น. Counter : Pageviews. Comments :2