bloggang.com mainmenu search
จากตอนที่แล้วสิ้นสุดตรงที่เรากำลังหาทางเดินไป Suntec City เพื่อจะไปที่นัดหมายกับพี่เล็ก (เจ้าของบ้านที่เราไปพัก) เนื่องจากพี่เค้าทำงาน พี่เค้าจะมีเวลาพาพวกเราเที่ยวก็ตอนหลังเลิกงานไปแล้ว

เมื่อเดินออกจากรถไฟฟ้าสถานี City Hall เราก็เดินมาเรื่อยๆ ข้ามสะพานลอยมาก็เจอห้าง Suntec City Mall คนเดินกันเยอะเชียวล่ะ ห้างนี้เค้าตกแต่ง Display เก๋ๆ อยู่หลายจุดเชียวล่ะ







เช่น เอาทีวีมาใส่ไว้ในตู้ปลา แอบเก๋นะเนี่ย ภายในตัวตึกก็มีการตกแต่งอย่างสวยงามเช่นกัน ตามคัมภีร์เค้าเล่าว่า Suntec City ถูกสร้างเมือ ค.ศ. 1990 ประกอบด้วยห้าตึกหันหน้าเข้าหากันลักษณะเหมือนนิ้วมือ ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์แล้ว ยังถือเป็นสุดยอดฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในโลกเชียวล่ะ





คำว่า "Suntec" ตามอักษรจีนมีความหมายว่า ความสำเร็จครั้งใหม่ ซึ่งตัวตึกออกแบบสร้างตามหลักฮวงจุ้ยของจีน เชื่อกันว่าทำให้เกิดความมั่งมีศรีสุขกับผู้ที่ได้มาเยือน

จริงๆ แล้วที่มาตึกแห่งนี้นอกจากจะมารอพี่เล็กแล้ว ก็ยังจะมาชม Fountain of Wealth หรือที่เรียกว่า "น้ำพุแห่งความโชคดี" ด้วยนั่นเอง แต่กว่าจะหาน้ำพุเจอก็เดินกันเหนื่อยเชียวล่ะ แล้วยิ่งอ่านในคัมภีร์บอกว่าน้ำพุจะปิดตอน 18.00 น. อ้าวเลยมาสิบนาทีแล้ว ยิ่งรีบหาให้เจอเข้าไปใหญ่

น้ำพุแห่งนี้ใช้งบประมาณการสร้างถึง US$ 6 ล้านเหรียญ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1997 ถือเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปี ค.ศ. 1998 ตั้งอยู่กลาง Suntec Tower ทั้งห้าตึก คนที่มาที่นี่ก็ตั้งใจมาดูความอลัการของน้ำพุแห่งนี้







พอมาถึงน้ำพุ อ้าวทำไมปิดประตูหมดเลยล่ะ เดินวนรอบเลยที่นี่ จะเข้าไปไงล่ะเนี่ย แล้วก็เห็นม่านอ้อ เข้าให้เข้าทางนี้ ก็เลยได้ไปแชะรูปมาหน่อยด้วยความที่กลัวกล้องเปียก เพราะน้ำพุเป็นละอองสาดเต็มไปหมด แต่เอ๊ะแล้วจะเข้าไปตรงกลางได้ไงล่ะ ในเมื่อน้ำพุยังเปิดอยู่เลย ก็เลยถามคนแถวนั้น ได้ความว่า น้ำพุจะปิดเป็นเวลา โดยมีรอบดังนี้ 09.00-12.00, 14.30-18.00,19.00-19.45, 21.30-22.00 ดูเวลาแล้วยังไม่ 19.00 เลย

ก็เลยไปนั่งรอใน Food แถวน้ำพุนั่นล่ะ จำได้ว่าซื้อขนมปังมาก็เลยกินมันที่นี่ล่ะ แต่ที่แปลกใจคือขนมที่เค้าแถมมาพอกัดแล้วก็เจอกระดาษเล็กๆ เป็นโปรโมชั่นเอากระดาษนี้ไปเป็นส่วนลด เก๋เชียว



นั่งกันอยู่ประมาณเกือบยี่สิบนาที พี่เล็กก็มาพร้อมเพื่อนคนไทยด้วยกันชื่อพี่นี ก็ได้เวลาที่น้ำพุปิดพอดี ก็เลยได้เข้าไปถ่ายรูปตามตั้งใจไว้ และก็ต่อแถวเพื่อที่จะได้เข้าไปเดินวนรอบสัมผัสน้ำพุ ตามความเชื่อที่ว่าจะสามารถเพิ่มความมั่งมีศรีสุขให้กับชีวิตได้ ว่ากันว่าที่นี่มักจะมีผู้ใหญ่คนสำคัญมาเยือนเป็นประจำ ลืมบอกไปว่าวิธีอธิษฐานขอพรเค้าให้เดินวนขวาสามรอบ ตั้งจิตอธิษฐาน บอกตรงๆ ว่ารู้สึกดีมากๆ ใครได้มีโอกาสอย่าลืมกันล่ะ







คิดดูแล้วกันว่าความเชื่อของที่นี่มีมากแค่ไหน มีร้านขายของที่ระลึกนำน้ำพุโชคลาภมาใส่หลอดแก้วแล้วขายเป็นที่ระลึกราคา S$5 เหรียญล่ะ

หลังจากที่ได้ชื่นชมน้ำพุมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ตามแผนวันนี้เราจะไปต่อกันที่ Bugis Street ก็เลยเดินออกจาก Suntec City เดินข้ามสะพานลอยด้านหน้า รถติดเอาเรื่องเหมือนกันย่านนี้



ก็เดินตรงกันมาเรื่อยๆ ก็ผ่าน National Library เป็นห้องสมุดที่อลังการมากๆ



จากจุดที่มองเห็นห้องสมุดนี้ข้ามถนนเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็เจอร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงด้วย กระต่ายที่นี่หน้าตาขี้เหร่ชะมัด (เทียบกับลูกๆ ของเรา)



ไม่นานนักก็ถึง Bugis Street ในนี้ก็เหมือนห้างทั่วไปนั่นและ ที่นี่พวกเราก็แวะทานอาหารกัน ร้านก็ออกแนวเหมือนโออิชิราเม็งบ้านเรานั่นล่ะ แต่ชามใหญ่มาก



จากจุดนี้เราจะมองเห็นเครื่องเล่นบอลลูนด้วยล่ะ ลักษณะก็คือให้คนขึ้นไปบนบอลลูนแล้วก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปด้านบนก็จะเห็นวิวของสิงคโปร์ล่ะ แต่ราคาแพงเอาการทีเดียว



หลังจากอิ่มแล้วเราก็เดินต่อไปยังฝั่งตรงข้ามเป็น Bugis Street เหมือนกัน แต่ออกแนวเหมือนประตูน้ำบ้านเรานั่นล่ะ



คนเยอะมาก ว่ากันว่าคนชอบมาเดินที่นี่เพราะสามารถซื้อของราคาถูกได้ ซึ่งในนี้มีร้านค้าเกือบ 600 ร้านค้าเชียวล่ะ



เดินๆ ไปก็เจอร้าน Sex Shop ด้วยล่ะ จัด Display แบบโจ๋ครึ้มกันไปเลย แถมติดป้ายรับสมัครงานอีกต่างหาก เอาเป็นว่าดูอยู่ไกลๆ ดีกว่านะ ไม่อยากลงรูปใกล้ๆ เดี๋ยวโดยเซ็นเซอร์



เดินไปก็ดูของไป ไม่เห็นจะถูกเลยกางเกงยีนส์ขาสั้นตัวตั้ง 22.90 เหรียญสิงคโปร์แนะ บ้านเราตัว 199 เอง



เดินได้สักพักก็ออกดีกว่า เพราะแฟชั่นที่นี่ตามหลังบ้านเรานานทีเดียว แบบว่าเป็นของที่บ้านเรา out ไปแล้วง่ะ ไปดูตลาดผลไม้กันดีกว่า คนที่นี่ชอบกินทุเรียนแน่ๆ เพราะมีร้านขายเยอะมาก ทุเรียนที่นี่เอามาจากอินโดนีเซีย ซึ่งขนาดและกลิ่นก็ต่างกับบ้านเรา





ขอบอกว่าส้มที่นี่รสชาติยังกับส้มผสมมะนาวล่ะ ไม่มีความหวานเลยง่ะ ออกเปรี้ยวๆ เสียด้วยซ้ำ แถมเปลือกก็หนายังกะส้มโอแนะ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ผลไม้ที่นี่ล้วนแต่เป็นเกรดเอทั้งนั้น สดจริงๆ

สุดท้ายก็จบโปรแกรมวันที่หนึ่ง (เล่าได้มาตั้ง 5 ตอน) ก็มีแนะนำร้านของฝากที่เจ้าบ้าน (พี่เล็ก) แนะนำว่าอร่อย ไปลองชิมแล้วก็เห็นด้วย เป็นหมูอบแผ่นกลมๆ เหมือนหมูหวานรมควันนะ รสชาติดีทีเดียวล่ะ ชื่อร้าน "BEE CHENG HIANG"



Create Date :03 สิงหาคม 2550 Last Update :6 สิงหาคม 2550 22:38:01 น. Counter : Pageviews. Comments :4