bloggang.com mainmenu search


ตอนที่แล้วพวกเราจาก จตุรัสคอมปะนีออฟจีนัส พวกเราเดินถ่ายรูปกันสักพักก่อนจะไปต่อที่ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul's) ประวัติของประตูแห่งนี้เล่าว่า โบสถ์แห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยเซนต์ปอลก่อตั้งในปี ๑๕๙๔ และปิดในปี ๑๗๖๒ เป็นมหาวิทยาลัยตามแบบตะวันตกแห่งแรกของเอเชียตะวันออก



โบสถ์เซนต์ปอลถูกสร้างขึ้นในปี ๑๔๘๐ เคยถูกทำลายมาแล้วสองครั้งในปี ๑๕๙๕ และ ๑๖๐๑ จนกระทั่งมาเกิดไฟไหม้ในปี ๑๘๓๕ ทั้งวิทยาลัย จนเหลือแต่ด้านหน้าตึกและบันไดหน้า แสดงให้เห็นถึงสไตล์ผสมระหว่างตะวันออกและตะวันตกที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น



ว่ากันว่าหินที่ใช้ในการสร้างประตูโบสถ์แห่งนี้ เป็นหินที่ชาวโปรตุเกสใช้ถ่วงเรือสมัยที่เดินทางมาที่นี่ล่ะ ตอนแรกเราดูซากประตูแห่งนี้ในรูปก็ไม่เท่าไหร่นะ แต่พอมาดูจริงๆ เป็นประตูโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่มาก มันแสดงถึงความแข็งแกร่งและสถาปัตยกรรมที่งดงาม ดูคลาสสิคชะมัด เสียดายที่วันนี้ฝนตกภาพ ณ ประตูโบสถ์แห่งนี้ของเราเลยไม่แจ่มเลย คนเราอ่ะนะคนอื่นเค้ามาวันแดดเปรี้ยง เรามาดันฝนตกซะงั้น แต่ก็ได้อีกบรรยากาศดีเหมือนกัน



ถึงแม้ฝนจะตกพวกเราก็ไม่สนใจ ตกได้ตกไปก็ยังคงถ่ายรูปกันทั้งฝนตกนั่นล่ะ พอถ่ายรูปกันเสร็จก็เดินไปด้านหลังมีบันไดขึ้นด้วยล่ะ สูงมากๆ เลยล่ะ ด้วยความที่สูงจึงทำให้เห็นวิวมาเก๊าอีกด้วย แต่ไม่สงสัยเลยว่าทำไมซากประตูแห่งนี้ถึงไม่ถูกทำลาย ก็ด้านหลังแข็งแรงซะขนาดนี้อ่ะนะ



นอกจากนี้ด้านหลังของประตูโบสถ์ก็มีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนา ที่รวบรวมภาพเขียนและจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีทางศาสนาสไตล์ชิโนโปรตุกีสและอินโดโปตุกีสที่ทำจากงา ไม้และเงิน และเป็นที่ตั้งของหลุมศพบาทหลวง "วาลิกนาโน" ชื่อเต็มว่า "Alexandre Valignano's" ผู้ก่อตั้งโบสถ์เซนต์ปอล และโครงกระดูกของชาวคริสต์ญี่ปุ่นและเวียดนามที่เสียชีวิตตอนไฟไหม้โบสถ์ล่ะ



แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปหรอกนะ เพราะมันเงียบมากประกอบกับสายฝนเริ่มโปรยปรายมาไม่ขาดสาย พวกเราเลยขึ้นไปที่พิพิธภัณฑ์มาเก๊าที่อยู่ด้านขวาของประตูแทนล่ะ





แต่ว่าพวกเราไม่ได้เข้าไปหรอกนะ แค่ไปเดินผ่านเท่านั้นล่ะ ก็แหมจะเข้าไปได้ไงล่ะตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำซะขนาดนี้ ก็เลยเก็บภาพจากด้านนอกล่ะ มีรถสามล้อเหมือนบ้านเราด้วยล่ะ ซึ่งหากเดินขึ้นลิฟต์ไปด้านบนพิพิธภัณฑ์จะเป็นที่ตั้งของป้อมปราการเมาท์ฟอร์เทรสล่ะ



ป้อมปราการเมาท์ฟอร์เทรส (Mount Fortress) ตามประวัติเล่าว่า ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี ๑๖๑๗ ถึง ๑๖๒๖ รูปสี่เหลี่ยมคางหมูซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งเครือข่ายการป้องกันตนเองของชาวมาเก๊า เดิมที่เนินเขาแห่งนี้ใช้เป็นที่บวงสรวงบูชามากกว่า ๓๐๐ ปี แต่ชาวโปรตุเกสได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นป้อมปราการ ต่อมาก็ได้ใช้เป็นที่พักของผู้ว่าราชการมาเก๊า เป็นค่ายทหาร เรือนจำและเป็นหอดูดาว ปัจจุบันกลายมาเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์มาเก๊าล่ะ





ระหว่างที่พวกเราเดินถ่ายรูปป้อมปราการแห่งนี้ ก็ผลัดกันถ่ายสนุกสนานอยู่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินเข้ามาแล้วถามพวกเรา "ถ่ายรูปให้ไหม" แหมเค้ามีน้ำใจแบบนี้จะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ ยิ่งพวกเรามากันสองคนจะได้ถ่ายรูปคู่กันยากมากอ่ะ



พอเค้าถ่ายให้เสร็จก็ขอบคุณเค้าเป็นการใหญ่ ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ไร้ซึ่งคนมีน้ำใจใช่ไหมล่ะ จากนั้นพวกเราก็เดินเล่นถ่ายรูปกันต่อล่ะ ลืมบอกไปว่าที่ป้อมปราการแห่งนี้ให้เข้าชมฟรี แต่หากจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์มาเก๊าแล้วล่ะก็ต้องเสียค่าเข้า ๑๕ MOP$ ล่ะ









นี่พวกเราเดินถ่ายรูปกันตั้งนาน ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยสักนิด แถมยิ่งตกหนักขึ้นอีกต่างหาก จนพวกเราต้องเข้าไปหลบฝนด้านในพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง นี่ก็เริ่มจะเย็นแล้วต้องมาลุ้นกันอีกว่าพวกเราจะโชคดีได้เดินเที่ยวเมืองมรดกโลกแห่งนี้ต่ออีกหรือไม่ เพราะหากตกหนักกว่าเดิมคงต้องพับโปรแกรมกลับที่พักล่ะ แล้วมาลุ้นกันว่าเราจะได้ไปเดินเที่ยวต่อกันหรือไม่ในตอนหน้านะคะ
Create Date :30 กรกฎาคม 2552 Last Update :30 กรกฎาคม 2552 8:53:28 น. Counter : Pageviews. Comments :4