bloggang.com mainmenu search
หลังจากที่ตอนที่แล้วพาไปเที่ยว Melaka Taming Sari Bebhad ขณะนี้ขอบอกว่าฝนตกโครตๆ จะตกไปไหนเนี่ย อิชั้นมาเที่ยวนะคะไม่ได้มาตากฝน สักพักพอฝนเริ่มเบาบางก็ลุยกันต่อเลย จุดหมายต่อไปของพวกเราคือ

" ป้ อ ม ป ร า ก า ร เ อ ฟ า โ ม ซ า "




ก่อนจะไปถึงประตู ทางขวาของประตูซาดิเอโก้ อาคารสีหวานหลังนี้เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์การประกาศอิสรภาพ (Proclamation of Independence Memorial) ลักษณะอาคารเป็นรูปทรงวิคตอเรียนผสมศิลปะมาเลย์ มีโดมสีเหลืองอยู่ด้านบน สร้างมาตั้งแต่ปี 1911 เดิมที่นี้ใช้เป็นมะละกาคลับเฮ้าส์ แต่ต่อมาที่นี่ใช้เป็นที่ประกาศเอกราชไม่ขึ้นต่อังกฤษ จึงกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การประกาศอิสรภาพอย่างที่เห็น

ถัดจากตึกอนุสรณ์ต่อไปก็เป็น " ป ร ะ ตู ซ า น ติ เ อ โ ก " ล่ะ คนเยอะมากมายอ่ะ นี่เป็นซากประตูที่หลงเหลืออยู่





ในอดีตผู้ปกครองเกาะปีนังได้ส่งกับตันวิลเลียม ฟาร์คูฮาร์มาทำลายประตูแห่งนี้ เพื่อป้องกันการอ้างสิทธิ์ของฮอลันดา แต่โชคดีที่เซอร์โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ มาพบเสียก่อน จึงยับยั้งการทำลายป้อมแห่งนี้ แต่ก็สายไปแล้ว เพราะเหลือแต่ประตูซานดิเอโกเท่านั้นที่ยังไม่โดนทุบทำลาย จึงเป็นที่มาประตูแห่งนี้ว่า "ประตูไร้กำแพง" มิน่าล่ะเหลือแต่ประตูจริงๆ





แต่จุดนี้ถือว่าเป็น " มุ ม ย อ ด ฮิ ต " ของบรรดานักท่องเที่ยวที่ต้องมาถ่ายรูปมุมนี้ เหมือนมามะละกาถ้าไม่มาถ่ายรูปกับประตูนี้เหมือนมาไม่ถึงนะ จะบอกให้ จขบ. เลยขอเสียหน่อย จากนั้นก็เดินตามเค้าขึ้นบันไดไปต่อ แม่เจ้าโว้ย ... จะสูงไปไหนเนี่ย?



สูงเหมือนกันนะเนี่ย ที่นี่เป็นยอดเขามะละกาล่ะ จากจุดนี้มองเห็นวิวได้สวยเชียว ว่าแต่ข้างบนมีอะไรหว่า ??







ด้านบนนี่มีอาคารทรงสีเหลี่ยม ไร้ซึ่งหลังคา พวกเราเดินมาตามทางเรื่อยๆ จนมาโผล่ด้านหลัง

อ้าว .." โ บ ส ถ์ เ ซ็ น ต์ ป อ ล " นี่น่า อยู่ตรงนี้เองเหรอเนี่ย








โบสถ์หลังนี้สร้างขึ้นหลังจากที่โปรตุเกสปกครองมะละกาได้ 10 ปี โดยคณะบาทหลวงนิกายเยซูอิต เมื่อปี ค.ศ. 1521 ต่อมาเมื่อฮอลันดาเข้ามาครอบครองมะละกาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "โบสถ์เซ็นปอล" ด้านในโบสถ์ก็มีแผ่นหินจารึกพิงกำแพงเต็มไปหมด เรามาสะดุดตาก็ป้ายหัวใจนี่แหละ เก๋เชียว เหมือนเป็นอนุสรณ์ความรักใครสักคนงั้นแหละ



โบสถ์แห่งนี้เดิมทีเคยใช้เป็นที่ฝั่งศพชั่วคราวของ เซ็นต์ ฟรานซิส เซเวียร์ ก่อนที่จะย้ายไปที่อินเดียเป็นการถาวรด้วยล่ะ ด้านหน้าของโบสถ์มีรูปปั้นของท่านนักบุญด้วย ปั้นมาจากอิตาลีเชียวนะ



หากสังเกตุดีๆ จะเห็นว่ารูปปั้นของท่านมือขวาหายไป เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า เกิดพายุพัดต้นไม้ใหญ่โค่นลงมาทับรูปปั้น จึงเป็นเหตุให้มือขวาหักอย่างที่เห็นนี่ล่ะ





ตอนนี้ " ฝ น " มาอีกแล้นน กล้องช้าน เสียดายจังต้องรีบถ่าย ขอบอกว่าตรงนี้มองไปจะเห็นวิวเส้นตัดขอบฟ้าช่องแคบมะละกาด้วย สวยจัง ตอนแรกเราก็นึกว่าช่องแคบมะละกาน่าจะเล็กๆ ที่ไหนได้เห็นในแผนที่อ่ะเล็ก ของจริงมัน ใ ห ญ่ มาก ..





จากนั้นพวกเราก็เดินลงบันไดอีกฝั่ง โห ฝั่งนี้เห็นจตุรัสดัชต์ในมุมสูงด้วยล่ะ พอเดินลงไปก็เจอถนน "Jalan Kota" ถนนเส้นนี้เหมือนเป็นแหล่งรวมพิพิธภัณฑ์เลยล่ะ มั น เ ย อ ะ ม า ก









เรียกว่า เข้ากันไม่หวั่นไม่ไหวเลยล่ะ ใครมีเวลาก็ลองแวะเข้าไปดูกันนะ แต่ตอนนี้พวกเราเหนื่อยมากมายอ่ะ ตากฝนสลับกับตากแดดทั้งวันเลย อากาศแบบนี้ไม่ปลื้มเอาเสียเลย เพราะมันจะทำให้ไม่สบาย



กลับที่พักกันดีกว่าเรา ระหว่างทางแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน ณ ท่าล่องเรือชมมะละกา ค่าตั๋วคนละ 10RM เองอ่ะ เสียดายเวลาไม่พอ ไม่งั้นล่ะไม่พลาด .. ไม่เป็นไร เอาใหม่นะคะเอาใหม่ ไว้มาใหม่นะจ๊ะ เมืองนี้สวยจริงๆ ขอย้ำ .. เอาล่ะไว้ตอนหน้าจะพาไปเดินตลาดนัดกลางคืนเมืองนี้กันนะ

ลิงค์เกี่ยวข้อง //www.mundoyo.com/Journal/?j=1433
Create Date :28 มีนาคม 2554 Last Update :1 เมษายน 2554 17:36:28 น. Counter : Pageviews. Comments :3