รุ่งเช้ามาถึง ด้วยบรรยากาศเย็นฉ่ำด้วยสายฝนจากดีเปรสชั่นที่โปรยปรายมาตั้งแต่เมื่อคืน
ผมยกเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ตั้งเวลาเอาไว้เมื่อคืนพลางแปลกใจว่า ทำไมไม่ส่งเสียงปลุกหว่า ?
แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลา ๐๗.๐๐ น.
ยังไม่มีเวลาค้นหาเหตุผล แต่น้ำท่าไม่ต้องอาบกันละ เอาแต่ล้างหน้าแปรงฟันก็พอ โชคดีที่จัดข้าวของไว้ล่วงหน้าแล้ว แค่แต่งตัวอย่างเดียว เวลาที่เหลือก็หดหายลงไปทุกทีจนล่วงผ่านไปแล้ว ๐๗.๑๕ น.
แบกย่ามลงมาคงคืนห้องด้วยอาการกระวนกระวายใจในขณะที่พนักงานเข้าไปตรวจในห้องพัก ก่อนกลับมาคืนเงินมัดจำกุญแจห้องให้ ๑๐๐ บาท ส่วนพนักงานอีกรายไปนำรถเตรียมส่งผมที่สถานีขนส่งแม่สายตามที่ตกลงไว้แล้วเมื่อเย็นวานนี้ ซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีประโยชน์มากมายมหาศาล
รถปิ๊กอัพบึ่งมาส่งผมที่สถานีขนส่งแม่สายทันกำหนดเวลาแค่เส้นยาแดงผ่าแปด เพราะมีผู้โดยสารมาขึ้นรถทีหลังผมอีกคนแถมมีสัมภาระโหลดขึ้นรถด้วยสิ
เหลือเวลาทองแค่หนึ่งนาทีที่ถ่ายรูปคู่กับรถ ก่อนที่จะถูกกวาดต้อนขึ้นรถออกจากสถานีขนส่งแม่สายในเวลา ๐๗.๓๕ น.
ด้วยสภาพรถความยาว ๑๕ เมตร สองชั้น โดยที่นั่งเดี่ยวจะอยู่ชั้นล่าง ส่วนที่นั่งคู่จะอยู่ชั้นบน และห้องน้ำอยู่กลางรถซึ่งผมเลือกที่นั่งอยู่ใกล้ๆ บันไดเพื่อความสะดวกสบายในการเข้าห้องน้ำ แต่กลายเป็นทุกข์ด้านกลิ่นเมื่อมีมนุษย์ลุงกับมนุษย์ป้าเข้าห้องน้ำแล้วลืมปิดฝาชักโครก และประตูห้องน้ำ จนกระทั่งลงจากรถที่หาดใหญ่ ถึงหมดเวรหมดกรรม
อ้อ.... ลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่งว่า รถทัวร์สายนี้ยังไม่มีบัสโฮสเตสบริการ ดังนั้น การให้บริการจะอยู่ที่คนขับสำรองหรือเด็กรถ โดยรถจะหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันที่ จ.แพร่ มื้อเย็นแจกขนมคุ้กกี้เช่นเดียวกับมื้อเช้า ส่วนน้ำดื่มถ้าผู้โดยสารต้องการเพิ่มจากที่แจก สามารถหยิบได้เองจากแพ็กที่อยู่ในรถโดยไม่มีการหวงห้ามแต่ประการใด
จากถนนสายเอเซีย รถแล่นเข้าถนนกาญจนาภิเษก ไปออกที่ถนนพระราม ๒ และแวะให้ผู้โดยสารทานมื้อดึกที่ อ.ชะอำ โดยมีรถทัวร์สาย ระยอง - ด่านนอก ของบริษัท ปิยะรุ่งเรือง ตามมาสมทบและแล่นตามกันตลอดคืนจนสว่างคาตาที่ co- op สุราษฎร์ธานี จนกระทั่งเข้าสู่สถานีขนส่งหาดใหญ่ และถึงด่านนอกในเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น.
ถึงตอนนี้ต้องหามื้อกลางวันมารองท้องก่อนล่ะครับ
ออกจากร้านอาหาร มองไปที่ถนนกาญจนวนิช จะมีคาราวานรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ยาวเหยียดรอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองระหว่างบ้านจังโหลน กับบ้านบูกิต กายู ฮิตัม รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ยาวร่วมกิโลเมตรทีเดียว
สมัย ๒๐ ปีก่อน ผมมักจะเห็นรถบรรทุกฝั่งมาเลเซียรูปร่างลักษณะนี้ พร้อมป้ายดำ อักษรขาวบอกชื่อผู้ประกอบการติดอยู่ข้างรถทั้งสองด้าน แถมกำหนดด้วยว่าหากติดฟิล์มกรองแสง ต้องไม่เกิน ๑๐ % แถมมีป้ายทะเบียนรถทั้ง ๒ ชาติ ติดที่กันชนอีกด้วยสิ
ปัจจุบัน ดูเหมือนว่า ข้อกำหนดเหล่านั้นคงจะเพลาลงไปแล้วกระมัง ? ดูจากฟิล์มติดรถและสติ๊กเกอร์ข้างรถก็ได้ แถมมีอัตราส่วนมากกว่ารถบรรทุกของมาเลเซีย ๑๕ : ๑ คันทีเดียว
ครั้นอิ่มอกอิ่มใจกับการเยี่ยมชมด่านนอกแล้ว ผมถามชาวบ้านแถวนั้นถึงคิวรถตู้กลับหาดใหญ่ ทราบว่า อยู่ฝั่งตรงข้ามที่ผมยืนอยู่นั่นเอง แถมเป็นรถตู้ประเภทเต็มคันแล้วออกด้วยสิ
หลังจากชำระค่าโดยสารแล้วยืนเก้ๆ กังๆ แถวนั้น พลันก็ฉุนกึก เมื่อได้ยินเสียงหัวหน้าคิวรถตู้บอกแบบคะนองปากว่า " ไปนั่งที่รถสิ มายืนขยับกางเกงที่หน้าโต๊ะทำไม ?"
"กางเกง gru โว๊ย" ผมตะโกนในใจ ขณะที่ขยับกางเกงยีนส์ ที่กำลังจะหยุดกลับมาเข้าที่
จากหาดใหญ่ ผมต่อรถตู้ไปนราธิวาส ผ่านชายหาดสะกอมอันสวยงาม เลี่ยงตัวเมืองปัตตานี ผ่าน อ.ยะหริ่ง สายบุรี ที่มีด่านตำรวจทหารค่อนข้างหนาแน่น ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองนราธิวาสที่ขยายใหญ่โตในยามใกล้พลบ
ค่ำวันนั้น จบด้วยข้าวมันไก่ และโรตีเมืองนราธิวาส ถิ่นเก่าเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ ก่อนที่จะพักผ่อนเต็มที่หลังจากการเดินทางอันยาวนานจากแม่สายร่วม ๓๒ ชั่วโมงที่ผ่านมา
ยามเช้า ด้านเหนือหาดนราทัศน์ โชคดีที่ฝนต้นหนาวหยุดตั้งแต่เช้ามืด
ตึกด้านหน้า มิใช่ให้คนอยู่ครับ แต่เป็นคอนโดสำหรับนกนางแอ่นให้อาศัยฟรีๆ โดยเก็บค่าเช่าเป็นรังนกเท่านั้น
บรรยากาศสังสันท์ก็มีแค่นี้ โดยมีพี่ใหญ่เป็นเจ้าภาพ (เพราะมือไวกว่า) ที่ร้านเจ๊ะการ์ ร้านดังประจำจังหวัด เพราะซึ้งใจในความบ้าบิ่นของผมตั้งแต่ขับรถปิ๊กอัพรวดเดียวและคนเดียว ๒๔ ชั่วโมง จากอุตรดิตถ์ไปนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ ปีละ ๓ ครั้ง
แต่มีพี่ๆ และเพื่อนๆ ที่เป็นมุสลิมอีกหลายคนได้ไลน์หรือโทรฯ มาบอกน้องที่อาสาเป็นคู่แข่งของพี่ใหญ่เขาว่าว่าต้องขออภัยอย่างแรงที่มาร่วมเลี้ยงไม่ได้ เนื่องจากทางสามจังหวัดภาคใต้ตรงกับวันละหมาดใหญ่ประจำสัปดาห์พอดี
ดังนั้น หากใครเคยไปทำงานอยู่ที่สามจังหวัดชายแดนใต้ มักจะคุ้นเคยกับประโยคที่พูดกันค่อยๆ รู้กันกลายๆ ว่า "ตอนบ่ายขอตัวไปละหมาดนะ" แล้วก็หายตัวตลอดบ่ายกลับไปบ้าน ส่วนราชการต่างๆ จึงมักโหรงเหรงในวันนี้
หลังจากอิ่มอาหาร และรับของฝากจากแม่สายกันแล้ว ก็ร่วมกันถ่ายภาพเป็นที่ระทึก ส่วนผู้ที่ไม่มานั้น ผมฝากน้องอีกคนเป็นผู้แทนแจกครับ
และก็ส่งตัวน้องที่บ้าน ยอมรับจริงๆ ถึงความสามารถของน้องเขาครับ จากลูกจ้างโครงการ ตอนนี้เป็นนายหัวร้านกระจกใหญ่โตแล้ว ลูกและแฟนเลยสบายไปตามๆ กัน
จากนั้น เจ้าของถิ่นพาผมนั่งรถเที่ยวยังที่ทำงานเดิม และ ณ จุดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นถนนสองเลนทางหลวงสองเลนหมายเลข ๔๒ มีป้ายบอกไว้ว่า กรุงเทพฯ ๑,๑๔๐ กม. ริมถนนมีตู้โทรศัพท์สีเขียวให้ผมโทรฯ กลับไปที่บ้าน หากมีธุระสำคัญไว้หนึ่งตู้ครับ เพราะมือถือยังไม่แพร่หลาย ถึงมีขายก็ราคาแพงด้วยสิ
นราธิวาส เปลี่ยนแปลงไปไวเหลือเกิน
อดีตเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ คงเหลือเพียงแค่นี้เอง เพราะยกให้เป็นที่ตั้งของแขวงทางหลวงชนบทนราธิวาสไปแล้ว
ภาพย้อนอดีตในวันที่ผมย้ายกลับอุตรดิตถ์ บรรดาลูกจ้างประจำผู้หญิงที่เป็นมุสลิมยังไม่ได้สวมชุดฮิยาบตามประเพณีนิยมของท้องถิ่น แต่สวนหย่อมและเสาธงที่อยู่ด้านหลัง
นั้น ถูกรื้อถอนไปแล้ว
กับลูกน้องเก่าอีกคนที่ผมเจอในวันนั้น ที่สำนักงานแขวงฯ ที่สร้างใหม่หน้าอาคารเดิม ท่าทางแกดีใจและแปลกใจด้วยว่า ผมดั้นด้นไปเยี่ยมหาแกถึงนราธิวาสได้อย่างไร ?
แล้วพี่ใหญ่ก็ขับรถมาส่งผมที่โรงแรมตอนเย็นวันนั้น และผมปฏิเสธมื้อเย็นที่แกมีน้ำใจคะยั้นคะยอเลี้ยง ด้วยเหตุผลลดความอ้วน
แต่มาทราบภายหลังว่าแกท้องเสียด้วยอาหารมื้อเย็นวันนั้นแหละ
แหม่ หวิดไป เพราะวันรุ่งขึ้นผมจะออกเดินทางไปยังจุดหมายแห่งต่อไป ที่ พัทลุง