Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
1 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (4)

เพิ่งกลับจากไปเยี่ยมบ้านที่ ตจว.ครับ ฟ้าครึ้ม ฝนตกทุกวันเลย

พูดถึงเรื่องฝนฟ้าทำให้นึกถึงช่วงเข้าพรรษาต้องเข้าวัดเข้าวาไปทำบุญสุนทาน และนึกถึงศาสนสถานต่างๆ จึงขอนำสารคดีสั้นจากนิตยสารรายเดือน "คนเมือง" ที่กล่าวถึงวัดในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งบันทึกภาพไว้เมื่อปี พ.ศ.2497 ซึ่งในปัจจุบัน ศาสนสถานหลายๆ แห่ง ทางกรมศิลปากร ได้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงภูมิทัศน์ให้แลดูสวยงามไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับท่านที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ลองดูภาพสมัยก่อนแล้วนึกเปรียบเทียบกับปัจจุบันว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันไปบ้างแล้ว ขอได้นำเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ

สำหรับสารคดีสั้นชุดนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนสถาน "บุญเกษตรของเวียงเหนือ" บรรยายโดยพระคุณเจ้า ลานนาสีโหภิกขุ และบันทึกภาพโดย คุณศิลป์ วิจิตรศิลป ลงพิมพ์ในนิตยสารรายเดือน "คนเมือง" ฉบับปฐมฤกษ์ ประจำเดือนกรกฎาคม 2497 ซึ่งเป็นเวลานานร่วม 57 ปีทีเดียว

สำหรับการสะกดและการออกสำเนียงในเนื้อหาบรรยายนั้น ยังคงไว้ตามฉบับดั้งเดิมทุกประการ

เชิญติดตามสารคดีสั้นในอดีตได้เลยครับ.....


................................

บุญเกษตรของเวียงเหนือ

พระคุณเจ้า ลานนาสีโหภิกขุ ...บรรยาย
ศิลป์ วิจิตรศิลป ...ถ่ายภาพ


................................


เมื่อพูดถึงจังหวัดภาคเหนือ หรือที่เรียกกันว่าลานนาไทย อาคันตุกะส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกันแต่ว่า เป็นดินแดนของสาวงาม และ ดอกไม้สวย

แต่ นอกจากสองสิ่งนั้นแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าธรณีลานนาไทยนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแล้วในอดีต ลานนาไทยเป็นถิ่นเกิดของรัตนกวี, จอมปราชญ์ราชบัณฑิต, และวีระชนมากหลาย

เฉพาะอย่างยิ่งดินแดนแห่งนี้ ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบวรพุทธศาสนาอันรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด กระทั่งได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘ มีกิติศัพท์เลื่องลือขจรขจายไปทั่วทั้งไกลและใกล้มาแล้ว

ศรัทธา ปสาทะของประชาชนคนเมือง ที่มีต่อพระบวรพุทธศาสนา สำแดงออกมาให้ปรากฎด้วยการสร้างถาวรวัตถุ, ปูชนียสถาน, มหาสังฆาราม, เพื่อเป็นพุทธบูชาในท้องถิ่นทั่วๆ ไป สถาบันบุญเหล่านี้ ทำให้ลานนาไทยสมัยโน้นได้ชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งเจดีย์ และกาสาวพัตร์

ประชาชน คนเมืองสมัยนั้น ได้ประกอบการบุญ ได้หว่านพืชคุณงามความดีลงไว้ เป็นบุณยเกษตรที่คนรุ่นหลังภาคภูมิใจ

ทุกวันนี้...

ผืนแม่ธรณีลานนาก็ยังคงดารดาษไปด้วยปูชนียสถานและโบราณวัตถุอันล้ำค่าเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ เป็นภาพสะท้อนถึงความรุ่งโรจน์ของลานนาไทยในอดีตกาล

อนุสรณ์ เหล่านี้นับวันแต่จะผุพังร่วงโรยไป เพราะกาลเวลา และเพราะทาสปัญญาของคน ตามท้องทุ่งและตามป่าเขาลำเนาไพร เราจะมองเห็นแต่ซากสลักปรักพังของโบราณวัตถุ ซึ่งครั้งหนึ่ง – เคยอร่ามเรืองด้วยฉัตรทองนพเก้า

ยุคทองของลานนาไทยได้ล่มจมลงแล้วจากผืนแผ่นดินส่วนนี้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่สำหรับอนุชารุ่นหลัง ก็เป็นเพียงอนุสรณ์ของความรุ่งโรจน์ซึ่งจะหาไม่ได้อีกแล้ว.

..................

โพธารามมหาวิหาร
(วัดเจ็ดยอด)




วัดเจ็ดยอด หรือโพธารามมหาวิหาร ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชมหาธรรมิกราชองค์ที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์เมงราย

หมื่นด้ามพร้าคต สถาปนิกคู่บุญของติโลกราช เป็นผู้บูรณะขึ้นจากของเก่า โดยจำลองแบบมาจากพุทธคยา และได้ใช้เป็นที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕ เมื่อปลายรัชสมัยของธรรมิกราชพระองค์นั้น

มหาเจดีย์องค์นี้ได้พังลงเป็นบางส่วนเพราะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในสมัยพระนางจิรประภา เมื่อปี พ.ศ.๒๒๒๘


โชติการามมหาวิหาร
(วัดเจดีย์หลวง)




มหาสถูปใหญ่ของโชติการามมหาวิหาร หรือวัดเจดีย์หลวงนั้น เดิมเป็นสถูปบรรจุอัฐิของพระเจ้ากือนา สถาปนาขึ้นโดยเจ้าสามฝั่งแกนผู้ราชโอรส

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๐๓๖ (บางแห่งว่า พ.ศ.๒๐๑๘) พระเจ้าติโลกราชมหาธรรมิกราช ได้ทรงเสริมสร้างต่อขึ้นอีก นัยว่ามหาราชองค์นี้ทำให้พระชนม์ชีพของพระราชบิดา (คือพระเจ้าสามฝั่งแกน) ตกไป จึงคิดล้างบาปโดยสร้างเจดีย์ใหญ่ขึ้นสรวมทับพระสถูปเดิมให้สูงใหญ่ ชั่วสามนกเขาเหิร

มหาเจดีย์องค์นี้ก็ได้พังลงไปเพราะแผ่นดินไหวในปี พ.ศ.๒๒๒๘ เช่นกัน


เวฬุวันมหาวิหาร
(วัดกู่เต้า)




วัดกู่เต้าเวียงบัว เดิมมีชื่อว่า วัดเวฬุวันป่าไผ่ วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวียงเชียงใหม่ประมาณ ๒ ก.ม. ศิลปะการก่อสร้างเจดีย์แบบ “บาตรคว่ำ “ นี้ มีเรื่องเล่ากันว่า เพื่อเป็นอนุสรณ์ของชัยชนะที่มีต่อกองทัพพะม่า สร้างขึ้นในสมัยพระยอดเชียงราย (ติลกปนัดดา) กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ ของราชวงศ์เมงราย ในปี พ.ศ.๒๐๖๔

เจดีย์องค์นี้ได้ทรุดโทรมลงไปมาก จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าชีวิตกาวิโรรส (อ้าว) จึงได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ พร้อมกับถวายพระไตรปิฎกฉบับจานลงในใบลานอีกหนึ่งห่อธรรม

ที่ได้นามว่า กู่เต้า เพราะเจดีย์องค์นี้มีลักษณะเป็นรูปน้ำเต้า


เวฬุกัฏฐาราม
(วัดอุโมงค์)




เดิมชื่อวัดเวฬุกัฏฐาราม (ไผ่สิบเอ็ดกอ) เป็นวัดอรัญญวาสี ต่อมา พ.ศ.๑๙๑๐ พระเจ้ากือนาได้อาราธนาพระสงค์ลัทธิลังกาวงศ์มาประจำ จึงได้สร้างเจดีย์สถาน และอารามขึ้นตามอย่างลังกา (เจดีย์ทรงระฆัง) ตอนเนินกลางเป็นเจดีย์ตั้งอยู่ ข้างล่างก่อเป็นถ้ำ (คูหา) สำหรับเดินจงกกรมของอรัฐวาสีภิกขุ

วัดนี้เคยเป็นที่อยู่ของพระมหาเถรจันทร์ มหาปราชญ์ชั้นหนึ่งของลานนาไทย และร้างมาได้หลายร้อยปีแล้ว


บุปผารามมหาวิหาร
(วัดสวนดอก)




วัดนี้เดิมเป็นสวนดอกไม้ของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์เมงราย ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๑๙๑๐ พระเจ้ากือนามหาราชได้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาวงศ์มาจากเมืองสุโขทัย เพื่อประดิษฐานพระศาสนา

เจดีย์องค์เก่าพังไปเมื่อ พ.ศ.๒๒๒๘ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญคนสำคัญของเวียงเหนือจึงได้บูรณะขึ้นใหม่ตามรูปเดิมอีก

วัดนี้มีพระเจ้าเก้าตื้อ พระพุทธรูปที่งามที่สุดในเมืองไทยประดิษฐานอยู่


วัดเจดีย์เหลี่ยม




เมื่อ พ.ศ.๑๘๑๙ พระเจ้าเมงรายตีนครลำพูนได้ ก็มอบเมืองให้อ้ายฟ้าครองแทน พระองค์ได้มาตั้งนครขึ้นแห่งหนึ่งที่ใต้เวียงเชียงใหม่ เรียกเวียงนั้นว่ากุมกาม และทรงสร้างวัดในพุทธศาสนาขึ้นเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก

วัดเจดีย์เหลี่ยมนี้ได้ชำรุดทรุดโทรมไปมากจนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๖๗ หลวงโยนการวิจิตร์ คหบดีชาวพะม่าในเชียงใหม่ได้บูรณะขึ้น

จึงสังเกตได้ว่า ลวดลายที่ฉาบองค์เจดีย์ไว้ จึงกลายไปทางพะม่าเสียมากกว่าครึ่ง


วัดพระธาตุจามเทวี
(วัดกู่กุด)




วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเวียงลำพูน เรียกกันทั่วไปว่าวัดกู่กุด ตามตำนานกล่าวว่า วัดนี้เป็นวัดคู่บารมีของพระนางจามเทวี เมื่อได้มาอยู่ลำพูนแล้วก็ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๖๖๘ พระนางจามเทวีทิวงคตลง ชาวเมืองก็ได้บรรจุอัฐิธาตุของพระนางไว้ ณ ที่สถูปแห่งนี้

พระธาตุนี้ก่อด้วยอิฐและศิลาแลง เป็นที่อัศจรรย์สำหรับคนรุ่นหลังนี้มาก มีอายุสร้างตามความในประวัติศาสตร์ ประมาณ ๘๒๕ ปีมาแล้ว


วัดพระธาตุหริภุญชัย
(วัดหลวงลำพูน)




วัดนี้เรียกอีกนัยหนึ่งว่า “วัดหลวงลำพูน” ความสำคัญขององค์เจดีย์ ความในตำนานกล่าวไว้ว่า เดิมนั้นที่บรรจุพระธาตุเป็นเจดีย์องค์เล็กๆ สวมครอบไว้เท่านั้น

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๑๙๘๖ พระเจ้าติโลกราชได้เป็นผู้อุปถัมภ์ก่อสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ให้ จนปรากฎทรวดทรงของมหาเจดีย์ดังเห็นอยู่ทุกวันนี้

............................

(จากนิตยสารรายเดือน "คนเมือง" ฉบับปฐมฤกษ์ ประจำเดือนกรกฎาคม 2497)


Create Date : 01 กันยายน 2553
Last Update : 1 กันยายน 2553 14:52:48 น. 0 comments
Counter : 2317 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add owl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.