|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 3 )
พอถึงเวลานัดหมาย คุณมัท หัวหน้าทัวร์ แบกไม้เซลฟี่ที่มีโคมไฟฉาย LED แขวนห้อยอยู่ตรงปลาย เดินลิ่วๆ นำคณะพร้อมเดินออกจากโรงแรมไปยังวัด ซึ่งตั้งอยู่ห่างกันราว 800 เมตร โดยมีผู้คนเดินสวนไปมาไม่ขาดสาย
ที่นำลิ่วแบบนั้นเพราะ hobby ที่ชอบคือการ trekking แถมยังมีฝีมือด้านทำกับข้าวอีกด้วย เรียกว่าลูกทีมไม่อดก็แล้วกัน แต่ต้องว่องไวเวลาถูกใช้งานนะ ฮ่า...

ทางผมกับน้อง เดินตามไปแบบไม่รีบร้อนนัก เพราะยังไงๆ ต้องไปพร้อมกันตรงที่รับฝากรองเท้าหน้าประตูวัดอยู่แล้ว ต้องถอดรองเท้ารวมกันไว้เป็นสัดส่วน เวลากลับมาจะได้ค้นหาง่าย ไม่วุ่นวาย

ขอโชว์หุ่นนางแบบที่หน้าวัดสักหน่อย 55555
ทางเดินในวัดจะปูด้วยแผ่นกระเบื้องขัดมันเกือบตลอดทั้งลาน แต่ผมเกรงว่าอาจมีการลื่นล้มได้ เวลาเข้าช่วงฝน เวลาเดินต้องระวังด้วยครับ

ตรงหน้าวัด เชื่อกันว่าเรือของพระเจ้าติสสะ ซึ่งบรรทุกก้อนหินใช้บรรจุเส้นพระเกษาของพระพุทธเจ้า ที่พระอินทร์ช่วยหาให้จากใต้ทะเล มาจนถึงตีนเขา และกลายเป็นหินที่นี่

พอขึ้นมาบนลานวัด ผมถึงกับอึ้งในจำนวนผู้คนที่ขึ้นมานมัสการและนอนวัดที่นี่ เรียกว่าแทบไม่มีที่ว่างกันเลย เหลือเพียงช่องทางเดินไว้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น
ไม่มีเสียงลำโพงโฆษณาขายของ รำวงย้อนยุค ภาพยนต์จอยักษ์ หรือสาวน้อยตกน้ำแต่อย่างใด เพราะไม่มีแม้แต่ร้านเดียว
มีแต่เสียงจากกองอำนวยการของทางวัดประกาศแจ้งเรื่องต่างๆ ให้ผู้มาสักการะได้ทราบเพียงนานๆ ครั้ง

ผู้คนมากมายขนาดไหน ลองดูเอาเถิด หลายรายเช่าเสื่อกับผ้าห่มที่นี่ เรียกว่าคนให้เช่ามีรายได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว
แต่จะซักหรือตากแดดบ้างหรือเปล่า ผมไม่ทราบนะ

โฮ้ย...กว่าจะแหวกผู้คนจนมาถึงนี้ได้
ถามกับหัวหน้าทัวร์ ขนาดวันมาฆะบูชา ผู้คนยังขนาดนี้ แล้ววันวิสาขบูชาล่ะ ?
คำตอบที่ได้ยินคือเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะบอกว่า พยายามเลื่อนเวลานมัสการไม่ให้ตรงกับช่วงที่ผู้คนหนาแน่นแบบนี้ ถึงจะได้รับความสะดวกพอควร

ได้ดอกไม้พร้องทองคำเปลวสักการะองค์พระธาตุแล้วล่ะ
ที่พม่า ไม่มีการเวียนเทียนดอกไม้สด และแผ่นทองคำเปลวก็เป็นของแท้ผูกด้ายแดงติดกับห่อกระดาษเรียบร้อย
มิใช่ทองวิทยาศาสตร์แบบหลายๆ แห่งในบ้านเรา

หลังจากรับแผ่นทองคำเปลวที่ลูกทัวร์ฝ่ายหญิงฝากไปปิดบริเวณก้อนหินใหญ่ ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากมีผู้คนมากมาย
บางรายที่แก่เฒ่า นอกจากจะปิดทองแล้ว ยังสวดมนต์อีกบทใหญ่ๆ ทำให้ล่าช้าเป็นทวีคูณ
แต่ไม่ว่ากันครับ เรื่องรับฝากแผ่นทองคำเปลวไปปิด มากันตั้งไกลเพื่อทำบุญด้วยกันทั้งนั้น จะทำใจจืดใจดำก็เกินไปล่ะ

มาถึงตอนสำคัญ เอายาผงแดงที่ขึ้นรถไฟไปซื้อหาถึงเมืองลำปางมาโชว์กับสถานที่จริงด้วย โดยมีไกด์ช่วยอาสาบันทึกภาพ
เลยถือโอกาสถามถึงคำแปลจากภาษาพม่าที่ซองยา ได้รับคำตอบว่า "ยาผงพระเจดีย์อินทร์แขวนแก้ลม" เลยให้ยาซองนั้นเป็นรางวัล
และในวันรุ่งขึ้น ยกห่อยาที่เหลือทั้งหมดให้กับหัวหน้าทัวร์ เพื่อนำไปแจกกับทีมงานอีกด้วย

เสร็จแล้ว ขอบันทึกภาพร่วมกันระหว่างสองคนพี่น้องที่ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่

มีบันไดลงไปชั้นล่างเพื่อนมัสการองค์พระธาตุอินทร์แขวน โดยไม่มีการหวงห้ามระหว่างเพศแต่ประการใด ยกเว้นการปิดทองเท่านั้น

อย่าเพิ่งต่อว่ามีภาพพระธาตุอินทร์แขวนค่อนข้างมากกว่าแห่งอื่น เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาตั้งแต่เล็ก เพิ่งมาเห็นของจริงในคราวนี้เอง
เห็นแล้วทึ่ง ที่ตั้งอยู่หมิ่นเหม่ตรงหน้าผา นับว่าเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งก็ได้

บริเวณลานชั้นล่าง พอมีที่ทางให้สวดมนต์ภาวนาได้บ้างครับ

แถมผู้คนไม่ค่อยหนาแน่นเหมือนชั้นบน สามารถสวดมนต์ได้สบายใจ

อีกหนึ่งมุมมองในด้านที่เคยเห็น ก่อนเดินขึ้นบันไดกลับมายังชั้นบน
จะไม่มีรั้วใดๆ มาบดบังความงดงามตามธรรมชาติครับ แต่คนมาสักการะปิดทองต้องระวังตัวเองด้วย

กลับมาสู่ความพลุกพล่านของผู้คนบริเวณลานวัดอีกครั้งหนึ่ง

ขอนำมาแวะอาคารซึ่งแสดงถึงรูปปั้นในตำนานผู้เกี่ยวข้องกับพระธาตุอินทร์แขวน รวมถึงรอยพระพุทธบาทจำลอง และภาพปูนปั้นความเป็นมาของพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งผู้หญิงสามารถปิดทองพระธาตุตรงนี้ได้อีกด้วย
ตามตำนานเล่าว่า พระอินทร์เป็นผู้นำก้อนหินนี้มาวางไว้ให้ และเป็นที่มาของคำว่า ไทก์จิโย เป็นภาษามอญแปลว่า หินรูปหัวฤาษี ครับ
เริ่มจากพระพุทธเจ้าทรงประทานพระเกศาแก่เหล่าฤาษีเพื่อนำไปให้เหล่าพุทธศาสนิกชนไปสักการะบูชา ซึ่งฤาษีแต่ละตนได้นำไปบรรจุในพระเจดีย์ต่างๆ ยกเว้นฤาษีตนหนึ่งแอบเก็บเอาไว้เอง โดยซ่อนไว้ในมวยผม เมื่อเวลาผ่านไป ถึงคราวที่ฤาษีตนนี้ต้องละสังขาร จึงมอบพระเกศานี้ให้แก่พระเจ้าติสสะและสั่งไวว่าจะต้องบรรจุลงในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายศรีษะของตน
ร้อนถึงพระอินทร์เมื่อทราบเรื่อง จึงช่วยหาก้อนหินดังกล่าวจากใต้มหาสมุทร นำไปวางที่หน้าผา (บางตำนานกล่าวว่า นำมาไว้ในเรือของพระเจ้าติสสะ และบรรทุกมาจนถึงตีนเขา เมื่อมาถึง เรือที่บรรทุกมากลายเป็นหิน คือที่เราเห็นที่ประตูวัดนั่นแหละ)
ตามหลักธรณีวิทยา กล่าวว่า บริเวณนี้ครั้งดึกดำบรรพ์เคยเป็นทะเลมาก่อน ครั้นเปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงดันตัวขึ้น ก้อนหินดังกล่าวคงถูกดันขึ้นมาจากใต้ทะเลเช่นกัน และยังคงขยับตัวได้ มิได้ติดแน่นบนหน้าผาแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่อยู่ในพื้นที่เกิดแผ่นดินไหวในเวลต่อมาอีกหลายครั้งก็ตาม
ว่ากันว่า เคยมีผู้ทดลองใช้เส้นด้ายชักผ่านระหว่างก้อนหินกับหน้าผา ปรากฎว่าสามารถชักผ่านได้ตลอด กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งหนึ่ง
ตามตำนานยังกล่าวอีกว่า ก้อนหินนี้ แต่ก่อนยังลอยสูง ไม่แตะพื้น ขนาดไก่ยังลอดได้ เนื่องจากมนุษย์ยังมีจิตใจเป็นกุศล ต่อมา ได้ลดต่ำลงเรื่อยๆ จนติดพื้นเพราะมีผู้กระทำชั่วมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้
อาคารอีกหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของนัต หรือเทพคุ้มครองสถานีที่นี้ คือ พระนางชเวนันจิน ซึ่งมีรูปปั้นนอนอยู่ เชื่อถือกันว่า หากเจ็บป่วยส่วนใดของร่างกายให้แตะไปที่ส่วนนั้นของรูปปั้นพระนางและอธิษฐาน อาการจะทุเลา (อย่าลืมวางเงินบูชาด้วยนะครับ)
เนื่องจากมีผู้คนมากหลายมาบนบานศาลกล่าว จึงไม่ได้เก็บภาพมาให้เห็น

หลังจากเยี่ยมชมวัดจนเป็นที่พอใจแล้ว ชาวคณะกลับถึงที่พักในเวลา 22.00 น.
Create Date : 30 เมษายน 2561 |
Last Update : 30 เมษายน 2561 9:09:40 น. |
|
2 comments
|
Counter : 675 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: owl2 วันที่: 30 เมษายน 2561 เวลา:14:19:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
พระธาตอินแขวนนี่ยังไม่เคยไป คงมีสักวันได้ไปครับ
ชอบใจ หนุ่มสาว ไปทำงานประจำวัน หิ้วปิ่นโตไปกัน...