Group Blog
 
<<
กันยายน 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
1 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (6)

สวัสดีครับ...

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านหนังสือพ็อกเก็ตบุ้กอยู่เล่มหนึ่ง เล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของฝรั่งทำไม้ของบริษัท บอมเบย์ เบอร์ม่า ที่ป่าแม่งาว อ.งาว จ.ลำปาง ป่าแม่แฮด อ.สอง จ.แพร่ และป่าขุนยม อ.ปง จ.เชียงราย (ในขณะนั้น) รู้สึกประทับใจในสภาพการทำงานและบรรยากาศของป่าแถบลุ่มแม่น้ำยมในสมัยโน้น ที่ฝรั่งมังค่าซึ่งมาจากเมืองไกล ต้องควบคุมดูแลช้างงานนับร้อยเชือก คนงานนับพันคน กระจายไปตามหน่วยต่างๆ ภายในเขตสัมปทาน แถมต้องหัดสื่อสารกับคนงานด้วย "คำเมือง" อีกด้วย

รวมถึงแนวคิดการวางรางรถไฟเล็กในป่าเพื่อขนไม้ออกจากป่าสู่แม่น้ำยม ที่ อ.ปง ซึ่งแนวทางรถไฟดังกล่าวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงจังหวัดจาก อ.จุน ไป อ.ปง และ อ.เชียงม่วน ในทุกวันนี้ โดยไม้ซุงจากบริษัทดังกล่าวจะถูกรวมหมอนที่บ้านวังไม้ขอน อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ก่อนล่องโดยเรือกลไฟลากจูงมายังกรุงเทพฯ

หนังสือเล่มดังกล่าวชื่อว่า “นายห้างป่าไม้” ซึ่งคุณทัศน์ทรง ชมภูมิ่ง ผู้เขียน ได้เรียบเรียงจากการพบปะพูดคุยกับ มร.ไมเคิล มาร์ติน อดีตผู้จัดการป่าแม่แฮด ที่ประเทศอังกฤษ คิดว่าหลายๆ ท่านคงมีโอกาสได้อ่านกันบ้างแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมติดใจคือเรื่องของช้างงานนั่นแหละ

พูดถึงเรื่องช้างงาน ก็เช่นเคยครับ ขอนำสารคดีสั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้พร้อมภาพประกอบ จากนิตยสารรายเดือน “คนเมือง” ปีที่ ปีที่ 1 ฉบับที่ 11 ประจำเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2498 จากฝีมือการบรรยายของ คุณทำนุ นวรัฐ ส่วนภาพประกอบนั้น ค่อนข้างจะเป็นพิเศษโดยทางกองบรรณาธิการได้รับความเอื้อเฟื้อจาก มร. ยาก๊อป คอมม์ กงสุลอังกฤษประจำจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้น (พ.ศ.2498) ซึ่งคงนิยมชมชอบเรื่องราวเกี่ยวกับช้างงานนี้เหมือนกัน

ผมขอคารวะทั้งสองท่านเป็นเบื้องต้น และรำลึกถึงนิตยสารรายเดือน “คนเมือง” แหล่งต้นฉบับ ก่อนนำเข้าสู่เรื่องราวของช้างงานกันต่อไปครับ


............................


ช้างงาน

ภาพโดยความเอื้อเฟื้อของ มร. ยาก๊อป คอมม์
กงสุลอังกฤษประจำจังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๙๘)

เรื่องโดย... ทำนุ นวรัฐ


………….

พูดถึงเรื่อง “ช้าง” เราท่านก็ย่อมรู้กันว่า มันเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย... จากประวัติศาสตร์ “ช้าง” เกือบจะเป็นชนวนศึกใหญ่ในรัชชสมัยพระมหาจักรพรรดิ , นอกจากนั้นกษัตริย์แห่งโบราณสมัย ก็ทรงมี “ช้างคู่บารมี” ทุกพระองค์

สำหรับดินแดนแถบเหนือนั้นเล่า พระนางเจ้าจามเทวี ก็มี “ช้างปู๊ก่ำงาเขียว” เป็นช้างคู่บุญ -

ความสำคัญของ “ช้าง” แต่โบราณนั้น เป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญูรู้คุณ พระเจ้าแสนเมืองมา ผู้ครองนครเชียงใหม่ จึงปูนบำเหน็จ “อ้ายออบ” และ “ยี่ระขา” ทหารกล้าที่พาพระองค์เตลิดทัพเป็นขุนช้างซ้ายขวา จนมีอนุสสาวรีย์ “ช้างเผือก” ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

ช้าง – นอกจากจะมีความสำคัญดังว่า จนถึงกับสมัยหนึ่งธงชาติของเราก็มี “ช้าง” ประดิษฐานอยู่แล้ว ช้าง – ยังเป็นเครื่องทุ่นแรงอย่างดีเลิศ ในการทำป่าไม้มาทุกกาลสมัยอีกโสดหนึ่งด้วย

ป่าไม้ทุกแห่งต้องอาศัยช้าง – จนขาดกันไม่ได้ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีรถยนต์ มีปั้นจั่นขนาดใหญ่ เป็นเครื่องทุ่นแรงอยู่แล้วก็ตาม ช้างก็ยังมีความจำเป็นอยู่นั่นเอง เพราะท้องถิ่นบางแห่งรถยนต์เข้าไปไม่ถึง

ช้างที่จะใช้ในงานป่าไม้นั้น คนควาญ (เฉพาะในภาคเหนือมักจะเป็นชาวยาง [กะเหรี่ยง] หรือขมุ [ไทยใหม่] เป็นผู้ฝึกและควบคุมช้าง) จะเริ่มฝึกตั้งแต่ลูกช้างอายุได้ ๓ ขวบ สำหรับช้าง และ ๕ ขวบสำหรับช้างตัวเมีย

เริ่มฝึกนั้น ต้องสร้าง “คอก” ขนาดพอดีกับช้าง และมั่นคงแข็งแรงพอเพียง เพื่อให้มันอยู่ในที่จำกัด และไม่อาจทำอันตรายใครได้... ยากมากทีเดียวในการที่จะฝึกช้างซึ่งเป็นสัตว์ให้รู้จักและเข้าใจภาษาคน ถึงขนาดที่จะทำตามคำสั่งให้ถูกต้อง ราวกับว่ามันเป็นคนๆ หนึ่งนั่นทีเดียว

ดังนั้น, การฝึกซึ่งมีกระบวนต่างๆ หลายอย่างหลายประการนั้น บางอย่างก็เป็ฯการทรมานสัตว์อยู่เหมือนกัน อาทิ การฝึกให้มันรู้จัก “ยกเท้า” แต่ละข้าง ตามคำสั่งของควาญ บางคราวมันยืนทำเฉย ก็ต้องใช้เหล็กเผาไฟจี้กันก็มี นอกจากนั้น , การที่จะสอนให้มัน “หมอบ” หรือคู้เข่าหน้า... สอนให้มันเดินเลี้ยวขวา - ซ้าย แต่ละอย่างก็ต้องลง “ขอ” กันถึงเลือด และต้องใช้เวลาฝึกสอนกันเป็นแรมปี กว่าสัตว์มันจะฟังและเข้าใจภาษาคนที่ควาญสั่ง

ในภาคเหนือนั้น “ยาง” หรือ “ขมุ” ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนควาญนั้น มีภาษาเฉพาะใช้กับช้าง เป็นอีกภาษาหนึ่งทีเดียว บางครั้งบางคำเราท่านไม่คุ้นเคยกับภาษา “พิเศษ” นั้น ก็ไม่อาจที่จะฟังได้รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกัน

ตามธรรมดา – เมื่อเริ่มลงมือฝึก จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๔ - ๕ ปี จนช้างรุ่นมีอายุย่างเข้า ๙ – ๑๐ ขวบ จึงจะเริ่มใช้งานลากไม้ได้ โดยค่อยหัดให้มันลากไม้ท่อนเล็กๆ ตามช้างใหญ่ซึ่งอาจเป็นพ่อหรือแม่ของมันไปก่อน และตลอดเวลาคนควาญต้องคอยควบคุมมันอย่างใกล้ชิด เป็นการฝึกคั่นปฏิบัติหลังจากได้สอนให้มันรู้และเข้าใจภาษาคนมาแล้ว จนกระทั่งมันชินกับงาน จึงจะให้คนมาประจำควบคุมมันไปทำงานได้

โดยที่ช้างมันเป็นสัตว์ ไม่ใช่เครื่องจักรที่ไร้ชีวิต คนควาญจึงต้องรู้และเข้าใจ ว่ามันย่อมจะมีโรคภัยเบียดเบียนเช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์ทั่วๆ ไป และต้องรู้จักรักษาพยาบาลเมื่อมันเจ็บป่วย ไม่ใช่สักแต่จะใช้งานกินแรงมันตะพึดไป

ตลอดปี- ดูเหมือนว่าจะมีแต่ฤดูหนาวเท่านั้น ที่ช้างจะรู้สึกสบายและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ นอกนั้น, มันมักจะเป็นโรคไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่เป็นโรคที่เล็บหรือเท้าก็เป็นโรคภายใน ที่คนควาญต้องเยียวยากันอย่างดีที่สุด ซึ่งแต่ละโรคก็มี “ยา” เฉพาะของมันเหมือนโรคสัตว์ , โรคคนเรานี่เอง ผิดกันแต่ว่า- มันเป็นยารักษาโรคเฉพาะช้างเท่านั้น

ทุกวันนี้งานป่าไม้ทุกแห่ง “ช้าง” ก็ยังมีบทบาทสำคัญร่วมอยู่ด้วยเสมอ กิจการป่าไม้ขาดช้างไม่ได้เลย ตราบใดที่ป่าไม้ยังขาดการคมนาคมที่ดีพอสำหรับรถยนต์

สำหรับป่าไม้ภาคเหนือ “ช้าง” เป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง และก็ด้วยเหตุนี้เอง จึงมักปรากฏว่าชาวจ่างประเทศที่มาภาคเหนือ จึงมักจะหาโอกาสไปดูช้างปฏิบัติงานของมันในป่าไม้จนได้

ภาพชุดนี้ก็มาจากเหตุนั้น เป็นภาพชุดที่ มร.ยาก๊อป ลาคอมม์ กงสุลอังกฤษประจำเชียงใหม่ ได้เดินทางไปดูและบันทึกภาพมา และเรานำมาเสนอต่อคุณผู้อ่านอีกทอดหนึ่ง

...........................................




ลูกช้าง มันก็เหมือนสัตว์โลกทุกจำพวก มันจะติดตามแม่ของมันไปต้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นยามที่แม่ของมันต้องทำงาน หรือยามที่แม่ของมันว่างงาน

เพราะมันยังเล็กเกินไป มันจึงไม่รู้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อมันมีอายุได้พอสมควรแล้ว มันเองก็จะถูกเอาตัวไปฝึกสอน เพื่อว่าเมื่อมันเติบโตขึ้นมาก็จะต้องทำงาน แทนแม่ของมันซึ่งแก่เฒ่าลงไปจนทำงานไม่ไหว




ช้างถึงแม้จะเป็นสัตว์ใหญ่ที่ทรงพละกำลังก็จริง แต่ว่าในบางครั้งมันก็ต้องร่วมแรงกันหลายตัว เพราะไม้ที่มันจะต้องชักลากนั้นใหญ่เกินไป จนเกินแรงที่มันตัวเดียวจะลากไปได้

มันเป็นสัตว์และแน่เหลือเกิน การร่วมแรงของมันจึงไม่ใช่ “ การลงแขก ” อย่างที่มนุษย์เรารู้จัก หากเพราะว่าสายโซ่นั้นต่างหากที่มันจำต้องร่วมแรงกัน




ป่าไม้แต่ละแห่ง ต้นไม้ที่โค่นแล้วแต่ละท่อน วางทิ้งระเกะระกะอยู่ที่นั่น ที่โน่น และห่างไกลกัน

ช้างนั่นเอง, ที่จะทำหน้าที่ของมันด้วยการชักลากด้วยการออกแรงงัด เพื่อให้ไม้ซุงแต่ละท่อนจะได้มารวมอยู่เป็นแห่งเดียวกัน และเจ้าของกิจการป่าไม้จะได้รวมรวม “ล่องแพ” นำไม้ไปขายเป็นสินค้าต่อไป




เมื่อไม้ถูกช้างลาก, งัด, มารวมกันที่แม่น้ำแล้ว ช้างอีกน่ะแหละที่จะต้องทำหน้าที่รวบรวมไม้ให้เป็นหมวดหมู่ โดยที่เจ้าของกิจการป่าไม้สร้างพะนังกั้นน้ำไว้ เปิดช่องว่างขนาดพอไม้ลอดได้แล้วให้ช้างเที่ยวได้ไล่ต้อนท่อนไม้ที่ลอยฟ่องอยู่ให้มารวมกัน

งานของมันยังไม่เสร็จสิ้นได้ง่ายๆ นัก




มันต้องลุยน้ำเที่ยวได้ชักลากไม้ทุกๆ ท่อน สุดแต่คนควาญจะสั่งให้มันทำ น้ำแม้จะให้ความชุ่มเย็นก็จริง แต่ขณะยืนแช่อยู่ในน้ำมันต้องออกแรงทำงานไปด้วย

หากมันพูดภาษาคนได้ มันคงร้องอุทธรณ์หรือบ่นงึมงำราวกับหมีเคี้ยวผึ้งว่า สายน้ำนี้ มิได้ชุ่มเย็นอย่างที่คนซึ่งนั่งอยู่บนคอของมันคิดกันเลย




แต่ว่ามันเป็นแต่เพียง “ช้าง” สัตว์โลกจำพวกหนึ่งที่รู้และเข้าใจภาษาคนเท่านั้น มันพูดออกมาให้คนรู้ไม่ได้เหมือนกับคนพูดให้มันรู้

หน้าที่ของมันจึงมีแต่ทำและทำเรื่อยไป เพื่อให้เป็นที่พอใจของผู้เป็นเจ้าของ และเพื่อความปลอดภัยที่บริเวณโหนกหัวของมันจะพ้นจากการถูกสับด้วยขอเหล็ก




จนกระทั่งเมื่อมันชักลากและออกแรงจูงเอาท่อนไม้หลายขนาดมารวมกันเป็นกระจุกแล้ว ก็เป็นอันว่างานของมันสิ้นสุดลงช่วงหนึ่ง และก็จะต้องเริ่มต้นชักลากและงัดไม้จากป่าลงน้ำต่อไปใหม่อีก

ส่วนไม้ที่มันเอามารวมกันไว้แล้ว เจ้าของกิจการป่าไม้ ก็จะได้จัดการ “รวมหมอน” ผูกเป็นแพล่องไปจำหน่ายต่อไป




เมื่อเสร็จจากการทำงานที่แสนหนักและเหน็ดเหนื่อยแล้ว คนควาญก็จะช่วยอาบน้ำขัดถูให้มันบ้าง และบำเหน็จที่มันจะได้รับก็เป็นเพียงหญ้า, กล้วย, อ้อย, มะพร้าวอ่อน, หรือบางทีก็ “เหล้าเถื่อน” สักค่อนไห เพื่อให้มันมีแรงทำงานได้ต่อไป


คนเราอาจจะมีบ้านไม้สักสวยๆ สักหลังที่อยู่ได้อย่างแสนสุข แต่คงจะมีน้อยคนเหลือเกินที่จะรู้ว่า กว่าไม้สักจะมาเป็นบ้าน ช้างต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยสักปานใด

.......................

(จากนิตยสารรายเดือน “ คนเมือง ” ปีที่ 1 ฉบับที่ 11 ประจำเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2498)



Create Date : 01 กันยายน 2553
Last Update : 11 กันยายน 2553 22:02:17 น. 0 comments
Counter : 3699 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add owl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.