Group Blog
OWL2's blog
<<
กันยายน 2553
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
8 กันยายน 2553
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (9)
All Blogs
น่าน น้าน นาน (ตอนจบ)
น่าน น้าน นาน (4)
น่าน น้าน นาน (3)
น่าน น้าน นาน (2)
น่าน น้าน นาน (1)
Konnichiwa Nihon no densha (14)
Konnichiwa Nihon no densha (ตอนจบ)
Konnichiwa Nihon no densha (24)
Konnichiwa Nihon no densha (23)
Konnichiwa Nihon no densha (22)
Konnichiwa Nihon no densha (21)
Konnichiwa Nihon no densha (20)
Konnichiwa Nihon no densha (19)
Konnichiwa Nihon no densha (18)
Konnichiwa Nihon no densha (17)
Konnichiwa Nihon no densha (16)
Konnichiwa Nihon no densha (15)
Konnichiwa Nihon no densha (13)
Konnichiwa Nihon no densha (12)
Konnichiwa Nihon no densha (11)
Konnichiwa Nihon no densha (10)
Konnichiwa Nihon no densha (9)
Konnichiwa Nihon no densha (8)
Konnichiwa Nihon no densha (7)
Konnichiwa Nihon no densha (6)
Konnichiwa Nihon no densha (5)
Konnichiwa Nihon no densha (4)
Konnichiwa Nihon no densha (3)
Konnichiwa Nihon no densha (2)
Konnichiwa Nihon no densha (1)
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( ตอนจบ )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 12 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 11 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 10 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 9 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 8 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 7 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 6 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 5 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 4 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 3 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 2 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 1 )
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (ตอนจบ)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (5)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (4)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (3)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (2)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (1)
ล่องใค้ ไปอีสาน (ตอนสุดท้าย)
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑๒ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑๑ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑๐ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๙ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๘ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๗ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๖ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๕ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๔ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๓ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๒ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑ )
ทานตะวัน Express (2)
ทานตะวัน Express (1)
xinchao Vietnam (ตอนจบ)
Xinchao Vietnam ( 13 )
Xinchao Vietnam ( 12 )
Xinchao Vietnam ( 11 )
Xinchao Vietnam ( 10 )
Xinchao Vietnam ( 9 )
Xinchao Vietnam ( 8 )
Xinchao Vietnam ( 7 )
Xinchao Vietnam ( 6 )
Xinchao Vietnam ( 5 )
Xinchao Vietnam ( 4 )
Xinchao Vietnam ( 3 )
Xinchao Vietnam ( 2 )
Xinchao Vietnam ( 1 )
Meeting สุดชายแดนบูรพา (ตอนสุดท้าย)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (4)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (3)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (2)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (1)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนสุดท้าย)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 5)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 4)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 3)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 2)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 1)
กุลวาขาว แมคคิลวารี
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนสุดท้าย)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 6)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 5)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 4)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 3)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 2)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 1)
เที่ยวสุพรรณ....กับด่วนขุนแผน ตอนที่ 3 (ส่งท้าย)
เที่ยวสุพรรณ....กับด่วนขุนแผน ตอนที่ 2
เที่ยวสุพรรณ....กับด่วนขุนแผน ตอนที่ 1
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 6 (สุดท้าย)
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 5
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 4
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 3
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 2
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 1
ก่อนที่จะมาเป็นถนนวิภาวดีรังสิต
เรื่องราวในอดีตของถนนมิตรภาพ : กรุงเทพฯ - หนองคาย ใน 8 ชั่วโมง
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (12)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (11)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (10)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (9)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (8)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (7)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (6)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (5)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (4)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (3)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (2)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (1)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (9)
สวัสดีครับ...
สารคดีสั้นประกอบภาพย้อนยุคจากนิตยสารรายเดือน "คนเมือง" ตอนนี้ ค่อนข้างจะคาบลูกคาบดอกกับกฎหมายยาเสพติดในสมัยนี้นะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ฝิ่น ซึ่งปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดทางภาคเหนือตั้งแต่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย รัฐฉานของสหภาพพม่า ไปจนถึงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งป้อนวัตถุดิบให้กับโรงยาฝิ่นของประเทศไทยในขณะนั้น
ด้วยผลประโยชน์อันมหาศาลจากการค้าฝิ่นในสมัยก่อน จึงทำให้มีผู้แข่งขันกันมาก เกิดคาราวานขนฝิ่นเถื่อนจากรัฐฉาน สหภาพพม่า เดินลัดเลาะตามสันดอยจนถึงจุดพักในหัวเมืองภาคเหนือ ก่อนลำเลียงเข้าสู่โรงยาฝิ่นต่อไป
จนกระทั่งในที่สุด รัฐบาลคณะปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออก พรบ.ยาเสพติดและเลิกโรงยาฝิ่นอย่างเด็ดขาดราวปี พ.ศ.2501 การค้าฝิ่นที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงยุติลง แต่ทว่า ได้พัฒนาเงียบๆ กลายเป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าในภายหลังอันมีชื่อว่า
เฮโรอีน
ช่วงที่กองบรรณาธิการนิตยสาร "คนเมือง" ถ่ายทำสารคดีภาพชุดนี้ ฝิ่น ยังเป็นเรื่องคาบลูกคาบดอกระหว่างยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย กับโรงยาฝิ่นในประเทศไทยยังมีเปิดให้บริการ จึงเป็นการนำเสนอครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องราวของฝิ่นในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะหลังจากนั้น จะมีเฉพาะข่าวการจับฝิ่นเถื่อนเท่านั้น แต่ทีมงานถ่ายทำยังระมัดระวัง ไม่บ่งชื่อสถานที่ถ่ายทำเช่นปกติ ผมสันนิษฐานว่า อาจเป็นบริเวณหลังดอยอินทนนท์ หรือดอยอ่างขาง ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการหลวงพัฒนาพื้นที่สูงในปัจจุบัน จนกระทั่งชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นแทบทั้งหมด หันมาปลูกผลผลิตทางเกษตรทดแทนตามกระแสพระราชดำริฯ ซึ่งทำรายได้สู่ครอบครัวไม่แพ้กัน
ปัจจุบัน ผู้สนใจจะชมเรื่องราวของฝิ่น และยาเสพติดประเภทต่างๆ ได้ที่ พิพิธภัณฑ์ฝิ่น ซึ่งอยู่เลยบริเวณบ้านสบรวก หรือสามเหลี่ยมทองคำ ไปเล็กน้อย อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
สำหรับสารคดีสั้นตอนนี้ บันทึกภาพโดย นิคม กิตติกุล บรรยายโดย ภราดา นำลงพิมพ์ในนิตยสารรายเดือน "คนเมือง" ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 ครับ
......................
แถมด้วยมาตราเทียบน้ำหนักของฝิ่นให้ด้วยครับ 1 จ๊อย = 1.6 กิโลกรัม
......................
หุบเหวแห่งความหลัง
ภราดา เขียนเรื่อง
มันเป็นเช้าที่อากาศเย็นเยียบผิดจากทุกๆ วัน กองไฟกลางกะท่อมส่องแสงวอมแวม มันไม่ช่วยให้เกิดความอบอุ่นเลย เลาเสอ , แม้วชราลุกขึ้นยืนบิดกายให้คลายเมื่อยล้า เหม่อมองออกไปทางช่องประตู หมอกยังคลุมอยู่ทั่วไป แสงแดดยังไม่ส่อง
ข้างกองไฟ หมาผอมๆ ตัวหนึ่งนอนขดอยู่
เขาพูดกับหมา
เฮ้ย ไปไร่เว้ย
และเหมือนกับมันจะรู้ภาษา พอเขายกห่อผ้าเจี๋ยนขึ้นสพายหลัง หมาตัวนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้น แล้วเดินตามเจ้าของออกจากกะท่อม ฝ่าสายหมอกและความเยียบเย็นไป
เลาเสอ พาสังขารชรายักแย่ยักยันไปตามเส้นทางแคบๆ และสูงชัน ตลอดเวลาที่เท้าย่ำไปบนใบไม้แห้ง จิตสำนึกของแม้วชราก็กระเจิงสู่ความหลัง
อากาศหนาวยะเยือกเหมือนวันนี้ แต่เป็นเมื่อปีก่อน ที่เลาลี ลูกชายคนเดียวของแก พาครอบครัวซึ่งมีพ่อ , แม่ และเมียเพียง ๔ คน อพยพมาจากปางป่าคา เพื่อหลบหนีการปราบปรามครั้งใหญ่ของเจ้าหน้าที่
อากาศหนาวยะเยือกเหมือนวันนี้ แต่เป็นเมื่อปีก่อน ที่เลาเสอจำได้อย่างแม่นยำว่า เลาลีถูกยิงตาย ! เมียของแกซึ่งแก่มากแล้ว กลืนฝิ่นดิบเกือบกำมือจนดับชีวิตไปด้วย เพราะนางเสียใจที่สูญเสียลูกชายคนเดียวไปอย่างไม่มีวันกลับคืนมาอีก
อากาศหนาวยะเยือกเหมือนวันนี้ แต่เป็นเมื่อปีก่อน ที่เลาเสองกเงิ่นพาลูกสะใภ้ไป
จำนอง
ไว้กับเพื่อนบ้าน เพื่อเอาทุนรอนมาตั้งเนื้อตั้งตัวในถิ่นใหม่ เป็นทุนรอนสำหรับกิน และจ้างเขาบุกเบิกป่าให้เป็นไร่
หมอกละลายเกือบหมดแล้ว... เลาเสอมายืนอยู่กลางไร่ฝิ่น... มันเป็นไร่ที่กว้างขวางพอใช้... มันเป็นไร่ที่เกิดจากการเสียสละของลูกสะใภ้ ซึ่งแกคิดว่าปีนี้ถ้าขายฝิ่นได้แล้วก็จะไป ไถ่ เอากลับคืนมา
เลาเสอมองดูไร่ฝิ่นด้วยแววตาอันเศร้าสลด...
ไร่นี้- แกกรีดและขูดด้วยมือของแกเอง และบัดนี้จำนวนฝิ่นดิบก็ถูกนำไปเก็บไว้ในโรงเคี่ยว ไม่ไกลจากไร่นัก เลาเสอหมุนตัวกลับ มีหมาวิ่งตามไปข้างหลัง แกมุ่งหน้าเดินไปตามทางแคบๆ และรกด้วยหญ้าคา เพราะโรงเคี่ยวฝิ่นของแกอยู่ในที่ลับตาคน
ตะวันเกือบตรงหัว เลาเสอกับหมาของแกก็มาถึงโรงเคี่ยวฝิ่น
แกนั่งลง ปลดห่อผ้าเจี๋ยนออกจากหลัง หอบ เหนื่อย , และระโหยโรยแรงอย่างเหลือเกิน
ฟ้าต้องช่วยข้า !
แกพึมพำขณะเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามสด
ปีนี้ข้าได้ฝิ่นมากกว่าที่กะเอาไว้
แกเอื้อมมือไปลูบหัวหมา เหมือนกับจะให้มันดีใจกับความสำเร็จของแกด้วย
ครู่หนึ่งต่อมา , เลาเสอก็ทำการเคี่ยวฝิ่น... ถูกละ , มันเปลืองแรงอีกไม่น้อย กว่าจะเคี่ยวให้ได้ที่ แต่ราคาฝิ่นสุกที่เคี่ยวแล้วก็แพงกว่าฝิ่นดิบเกือบเท่าตัว ตลอดเวลาที่แกทำงาน แกครุ่นคิดอยู่แต่ว่า เจ้าฝิ่นนี้แหละ จะขายได้เงินมา
ไถ่
ลูกสะใภ้กลับมา และต่อแต่นั้นไปก็จะได้ช่วยกันทำงานต่อไป
เสียงหมาเห่ากระโชกอยู่ข้างนอก... เลาเสอเอาหลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
คงมีคนแปลกหน้าเข้ามา
แกพึมพำกับตัวเอง แล้วก้าวออกมาจากโรงเคี่ยว
พอพ้นออกมา แกก็เผชิญหน้ากับคนหมู่หนึ่งมีอาวุธครบมือ !
คนพวกนั้นบอกว่า พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ และจะขับกุมเอาแกไป พร้อมกับฝิ่นของกลาง เพราะแกทำผิดกฎหมาย
เลาเสอ ตัวสั่น... เพราะความกลัว แกอ้อนวอนตะกุกตะกักว่า...เอาแต่ของไปเถิด แกแก่มากแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่เอาตัวแกไปลงโทษ อีกไม่กี่ปีแกก็คงจะตายแล้ว เลาเสอเฝ้าอ้อนวอนอยู่พักใหญ่
คนแปลกหน้ากลุ่มนั้นหันมาซุบซิบกัน แล้วบอกว่า
ตกลง
และทวงบุญคุณเอาด้วยว่า นี่เพราะสงสารแกหรอกนะจึงจะเอาแต่
ของ
ไปตามที่แกอ้อนวอนขอ พูดขาดคำ , คนเหล่านั้นก็ทำท่าจะขนฝิ่นดิบที่ยังไม่ได้เคี่ยว และที่กำลังเคี่ยวอยู่
เลาเสอมองดูคนเหล่านั้นด้วยแววตาลุกวาว... ทั้งเสียดายและเจ็บแค้น แกบอกกับคนพวกนั้นว่า
ของ
เหล่านี้ถึงจะเอาไปราคามันก็ไม่เท่าไหร่ ที่หุบเหวไม่ไกลจากที่นี่นัก แกมีฝิ่นสุกอยู่ ๑๐ จ๊อยฝังอยู่ ถ้าจะเอา แกจะพาไป แต่ฝิ่นดิบเหล่านี้...ขอไว้ให้แกได้พอขายพอกินประทังตายไปเถิด
คนแปลกหน้าหันไปปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง แล้วตอบตกลง !
เลาเสอ เดินนำหน้าพาคนแปลกหน้าเหล่านั้นไป หมาของแกวิ่งตามไปห่างๆ ร่วมชั่วโมงก็ถึงหุบเหวแห่งหนึ่ง เลาเสอชี้มือบอกพวกนั้นว่า ที่นี่แหละที่แกฝังฝิ่นซุกซ่อนไว้ ขอให้ขุดเอาไปเถอะ
คนเหล่านั้นมองหน้ากัน แล้วอึดใจต่อมา , สามคนช่วยกันขุด พักใหญ่ก็เห็นกระป๋องจมอยู่ในดิน
เจอแล้วเว้ย ไอ้แก่นี้มันไม่โกหกหรอก
ขาดเสียงตะโกน คนแปลกหน้าทั้งหมดก็ปลดอาวุธตัวเอง เพื่อช่วยกันขุด ช่วยกันขน
หมาผอมๆ ตัวนั้นเห่ากระโชกขึ้น... เลาเสอร้องตวาดให้มันเงียบเสียง
และเหมือนจิ้งจอกร้าย เลาเสอปราดไปหยิบแมตเสนกระบอกหนึ่ง ก่อนที่คนพวกนั้นจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น กะสุนทองแดงก็พ่นจากปากกระบอก รัวถี่ยิบ... คนแปลกหน้าล้มกลิ้ง เลือดสดๆ ทะลักออกมา...ดินร่วนซุยตรงรอยขุดแดงฉาน
สิ้นเสียงปืน... ก็มีเสียงหัวเราะของเลาเสอผู้พิชิต
หุบเหวอย่างนี้แหละ ที่ลูกชายของแกถูกยิงทิ้ง... อากาศหนาวยะเยือกอย่างนี้แหละที่แกสูญเสียลูกชาย , เมีย และตัวเองต้องเอาลูกสะใภ้ไปขายฝากเขาไว้
บัดนี้ , เลาเสอหัวเราะก้องป่า... ถ้าการชำระหนี้ชีวิตกันได้ด้วยชีวิต แกก็ได้กำไรแล้ว !
หมาผอมโซตัวนั้นหอนโหยหวน... อึดใจต่อมา ทั่วทั้งป่าก็มีแต่ความเงียบสงบ
........................
ตระเวนไร่ฝิ่น
นิคม กิตติกุล ถ่ายภาพ
ภราดา เขียนเรื่อง
................
พวกเราต้องปีนเขาขึ้นไปสู่
นิคมภูผาภินท์
อีกวาระหนึ่งเมื่อกลางเดือนที่แล้ว ด้วยสปิริตของคนหนังสือพิมพ์ที่ต้องการจะเก็บภาพที่หาดูได้ยากที่สุด คือภาพการเกี่ยว
แม่ทองดำ
ซึ่งขึ้นชื่อลือกระฉ่อนไปทั่วโลกว่าเป็น
ยางไม้มรณะ
เหนือนิคมภูผาภินท์ บนไหล่เขาซึ่งกรมป่าไม้ประกาศสงวนไว้เป็นวนาธรรมชาติของเวียงเหนือ เราก็พบบุปผาแห่งความตาย กำลังชูช่อล้อลมหนาวอยู่สะพรั่ง กลีบสีขาวดุจปุยฝ้ายของมันช่างผ่องไม่ต่างอะไรกับสีผ้าที่เขาใช้ตราสังข์...
ใครจะนึกบ้างว่าในกระเปาะสีเขียวอ่อนเหมือนหมากดิบ ซึ่งปกคลุมไว้ด้วยเกษรเหลืองอร่ามนั้น จะชุ่มฉ่ำไปด้วยพิษร้าย ไม่ต่างอะไรกับต่อมน้ำพิษของงูจงอาง ? นี่แหละคือ
ขุมคลังแห่งความวิปโยค
ซึ่งจวนจะได้เวลาเก็บเกี่ยวอยู่แล้ว
ฤดูกรีดฝิ่นเริ่มต้นในราวเดือนมกราคม ขณะที่เหมยเหนือกำลังพรำ และลมฟ้าอากาศกำลังเย็นยะเยียบ เมื่อฤดูเก็บเกี่ยวได้มาถึง พวกชาวเขาก็จะหอบข้าวของไปนอนค้างอยู่ที่ไร่ชั่วคราว
ทุกคนจะต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อเก็บเกี่ยวพืชผลซึ่งจะทำรายได้ให้แก่เจ้าของดีกว่าการทำนาในเนื้อที่เท่ากันถึง ๔๐ เท่า...
การกรีดยางฝิ่นเป็นงานของผู้หญิงและเด็กๆ เครื่องมือที่ใช้ก็มีเพียงมีดคมคู่แบบมือเสือขนาดเล็กเพียงเล่มเดียว
การกรีดจะต้องทำเฉพาะในเวลาที่มีแสงแดด มิฉะนั้นยางฝิ่นจะไม่ซึมออกมาตามร่องที่กรีดนั้น...
การกรีดฝิ่นเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง ซึ่งจำต้องอาศัยความชำนาญอยู่ไม่น้อย ผู้กรีดจะต้องกรีดเป็นเส้นขนานตั้งแต่ปลายกะเปาะลงมาจนจรดโคน ฝิ่นลูกหนึ่งกรีดได้ประมาณ ๓ ๔ ครั้ง พอกรีดเสร็จจะมียางสีขาวเหมือนน้ำนม ซึมออกมาจากร่องที่กรีดนั้น
ฝิ่นที่กรีดแล้วจะต้องทิ้งไว้หนึ่งคืน เพื่อให้ยางฝิ่นเกาะตัวเหนียวจึงจะทำการ เก็บเกี่ยว ได้...
เมื่อยางฝิ่นถูกทิ้งตากน้ำค้างจนเป็นสีน้ำตาลและเหนียวดีแล้ว ชาวไร่ก็จะเริ่มลงมือขูดยางซึ่งเป็นงานกลางไร่ชิ้นสุดท้าย
การขูดยางฝิ่นต้องใช้เหล็กแบนๆ ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเหมือนมีดสั้นหัวป้านขูดเหมือนเราขูดขนหมู
การขูดยางฝิ่นไม่ใช่งานกล้วยๆ อย่างที่เราคิด เพราะยางฝิ่นนั้นเหนียวมาก ต้องใช้น้ำลายช่วยให้ลื่นบ่อยๆ
ยางฝิ่นหรือเนื้อฝิ่นดิบที่ท่านเห็นเป็นก้อนอยู่บนใบมีดนั้น จึงเป็นอันกล่าวได้ว่า มีน้ำลายของผู้ขูดเจือปนอยู่ด้วยเป็นกระสายไม่น้อยกว่า ๑๕ เปอร์เซนต์เสมอไป...
ฝิ่นเป็นอุตสาหกรรมหนักประเภทหนึ่งของจังหวัดภาคเหนือ เพราะฝิ่น... มนุษย์หลายคนได้กลายเป็นอาเสี่ยและพ่อเลี้ยง... มนุษย์หลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัวหรือกลายเป็นผีตายโหง... และมนุษย์อีกหลายร้อยหลายพันคนต้องกลายเป็นโสเภณี เป็นอาชญากร และ เป็นโรคลงแดง...
ตราบใดที่ความโลภยังครอบงำสันดานของคนเรา ตราบนั้นการปลูกฝิ่น การค้าฝิ่น และการปราบฝิ่นก็ยังจะเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องได้ยิน ได้เห็นอยู่เสมอ...
...เพราะฝิ่นเป็นเสมือนหนึ่งผีนรก ที่มนุษย์เองเป็นผู้ปั้นมันขึ้นมา เพื่อท้าทายอำนาจของพระเจ้า !...
.............................
(จากนิตยสารรายเดือน "คนเมือง" ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498)
Create Date : 08 กันยายน 2553
Last Update : 8 กันยายน 2553 23:53:53 น.
2 comments
Counter : 3681 Pageviews.
Share
Tweet
มาติดตามต่อครับ การบรรยายเรื่องของนักเขียนสมัยนั้น
เขาใช้ภาษาไทยได้ยอดเยี่ยมมากครับ
โดย:
Insignia_Museum
วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:10:14:18 น.
ขอบคุณครับ สังคมในยุคนั้นไม่เร่งไม่ร้อน และยังอยู่ในกรอบจารีตประเพณี ทำให้งานข้อเขียนต่างๆ ที่ออกมา เจือด้วยภาษาและแทรกอารมณ์ที่ละเมียดละไมอยู่ในนั้นด้วย
โดย:
owl2
วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:15:09:45 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [
?
]
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add owl2's blog to your web]
Links
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
เขาใช้ภาษาไทยได้ยอดเยี่ยมมากครับ