Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2561
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 พฤษภาคม 2561
 
All Blogs
 
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 12 )

ตื่นตามเวลาปลุก 04.00 น.ตามเวลาพม่าเช่นเคยครับ แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว ลากกระเป๋าฝ่าอากาศเย็นมารวมพลที่ห้องอาหารของรีสอร์ท ก่อนลงมือรับประทานอาหารเช้าในเวลาย่ำรุ่งอย่างนั้นแหละ

ลงเรือล่องมาตามทะเลสาบอินเลมาขึ้นที่ท่าเรือยองฉ่วย ต่อด้วยรถทัวร์มายังสนามบินเฮโฮ

นั่นแหละ ลูกทัวร์ถึงได้มีเวลาแอบงีบต่อได้บ้าง



ดูจากรถเข็นบริการขนกระเป๋าให้ผู้โดยสาร รู้สึกเป็นกันเองไม่หยอก



ระหว่างรอโดยสารเครื่องบินเที่ยว 08.30 น. จากเมืองย่างกุ้ง แวะที่นี่ก่อนที่จะไปยังเมืองมัณฑะเลย์



มาแล้วครับ ตามกำหนดเวลา

เที่ยวบินงวดนี้เป็นของอีกบริษัทแล้วล่ะครับ ชื่อสายการบิน Air KBZ

นัยว่าเจ้าของเป็นนายแบ๊งค์ใหญ่เมืองพม่า หันมาจับธุรกิจการบินโลว์คอสกับเขาด้วย

สภาพเครื่องยังใหม่ บินระหว่างย่างกุ้ง - เฮโฮ - มัณฑะเลย์



เที่ยวบินช่วงนี้ ไม่มีบริการแจกลูกอม ดูแต่หน้าแอร์โฮสเตสไปพลางๆ ก่อน



ผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย NH 1 (ย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์) ก่อนที่จะร่อนลงสนามบินซึ่งตั้งอยู่ใกล้แนวทางหลวงนั่นแหละ

ทราบว่าผู้ก่อสร้างสนามบินมัณฑะเลย์แห่งนี้ เป็นผู้รับเหมาชาวไทย

ส่วนสนามบินเดิมนั้นอยู่ในเขตตัวเมืองมัณฑะเลย์ ไม่อาจขยับขยายบริเวณได้อีก



เข้าใกล้บรรยากาศของเมืองใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์



มีงวงเชื่อมกับอาคารสนามบินด้วย แต่ไม่ใช่สำหรับลำนี้

อาจเป็นว่าเครื่องมีขนาดเล็ก เลยจอดที่ลานจอดข้างนอกเท่านั้น ก่อนที่จะมีรถบริการรับผู้โดยสารไปส่งยังตัวอาคารสนามบิน



เข้าใจตรงกันก่อนว่า ถ่ายภาพจากต่างประเทศนะครับ ฮ่า...



รอรับกระเป๋าซึ่งถูกลำเลียงตามมาภายหลัง



กระเป๋ามาถึงแล้วล่ะ



พอเลือกหยิบของตัวเองได้ ก็เดินตามหัวหน้าทัวร์ไปยังรถที่จดรอรับอยู่ข้างนอก



เข้าสู่บรรยากาศกลางแจ้งกันอีกครั้งหนึ่ง

ผมคิดว่าโชคดีที่ได้นั่งรถติดแอร์ เพราะสายวันนั้นอากาศค่อนข้างร้อนจริงๆ

เรามาใกล้ความทันสมัย ได้บรรยากาศของเมืองใหญ่เข้ามาแล้วล่ะ

แต่ต้องนั่งรถทัวร์ไปตามเส้นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย NH 1 (ย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์) อีกราวชั่วโมงเศษ จึงจะถึงพระราชวังมัณฑะเลย์ อันเป็นจุดหมายแรกที่เข้าชมในเช้าวันนี้



จากสนามบิน เราข้ามทางรถไฟสายพุกามก่อนเข้าสู่ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือ Motorway สายย่างกุ้ง - มัณฑะเลย์



เพิ่งเห็นรถประจำทางต่างจังหวัดแบบชาวบ้านๆ ของพม่าคราวนี้แหละ



เขาว่า เส้นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนี้ สร้างจากเงินค่าสัมปทานแหล่งแก๊สธรรมชาติยาดานา และเยตากุน ซึ่ง ปตท.เป็นผู้จ่าย รวมทั้งทางหลวงสายหงสาวดี - มะละแหม่ง

แต่ผมว่า คล้ายกับทางหลวงสายประธานไปยังภาคต่างๆ ในบ้านเรา เพราะมียานพาหนะหลากหลาย รวมทั้งทั่นอธิบดีกรมทางเป็นฝูงๆ ร่วมใช้ทางสายนี้อีกด้วย



ประตูเมืองมัณฑะเลย์ อันเป็นสัญญลักษณ์แสดงให้เห็นจุดสิ้นสุดของทางหลวงพิเศษสายนี้

ซึ่งบรรจบทั้งทางหลวงหมายเลข 1 (สายเดิม) จากเมืองย่างกุ้ง และเส้นทางเข้าเมืองมัณฑะเลย์



สอดส่ายสายตาเก็บภาพที่น่าสนใจริมทาง เพราะมาเยือนเป็นครั้งแรกในชีวิต



ร้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตร รวมทั้งรถอีแต๋นแบบพม่าด้วย



รถราเริ่มมีมากขึ้น ตามเขตชุมชนมัณฑะเลย์ที่ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ



ธนาคารเจ้าของสายการบินที่ได้นั่งมาเมื่อเช้านี้ครับ

สมัยรัฐบาลทหาร คงไม่มีเกลื่อนกลาดดาษดื่นหลากธนาคารแบบนี้หรอก



โฆษณาเรื่องบันเทิง สวยๆ งามๆ ก็มี พอได้ชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง



รถโรงเรียน ใช้รถขนาดมินิบัสเชียวนา



อย่าหาว่าผมสนใจแต่เรื่องป้ายโฆษณาเลยครับ

คงจะผิดหูผิดตาไปมาก ตั้งแต่พม่าเปิดประเทศนี่แหละ



เข้าสู่ใจกลางเมืองมัณฑะเลย์ อีกไม่นาน คงจะเจริญกว่าที่เห็นในทุกวันนี้แน่ๆ

แถมเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอีกด้วย



ถนนหนทางเริ่มตัดเป็นแนวตาราง ตามแนวคิดของอังกฤษ เจ้าอาณานิคมในสมัยโน้น แถมใช้ลำดับเลขที่เป็นชื่อถนนด้วยสิ

เสียงจากไกด์อธิบายว่า แต่ก่อน มัณฑะเลย์ เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของพม่าตอนบน แหล่งการค้าที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ ประเทศจีน ร้านรวงต่างๆ จึงติดป้ายเป็นภาษาจีนแทบทั้งหมด

มาเปลี่ยนแปลงตามนโยบายของรัฐบาลเมื่อไม่กี่ปีมานี้ โดยเป็นป้ายภาษาอังกฤษแทนคำเดิม (หากยังหาชื่อร้านใหม่ในภาษาพม่าไม่ได้)



มาถึงจุดมาเยือนแห่งแรกในครึ่งวันนี้แล้วครับ

พระราชวังมัณฑะเลย์



ดูจากคูเมืองเอาเถิดว่ามีความกว้างขวางขนาดไหน

แถมประตูวัง ยังมีกำแพงสร้างป้องกันลูกกระสุนปืนใหญ่กั้นไว้อีกด้วย



ก่อนที่จะเข้าสู่บริเวณพระราชวัง ทางไกด์ขอให้งดถ่ายภาพ เพราะเป็นค่ายทหารอีกด้วย

ตั้งอยู่ภายในกำแพงพระราชวังนั้นแหละครับ



มีการบรรยายสรุปกันเล็กน้อยถึงความเป็นมา แต่การเข้าชมจะเดินไม่ทั่วถึง เพราะเวลามีจำกัด



ผังที่ตั้งอาคารต่างๆ ในพระราชวังมัณฑะเลย์



พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามินดงแห่งราชวงศ์คองบองระหว่างปี พ.ศ.2400 - พ.ศ.2402 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระมายังมัณฑะเลย์ เพื่อหนีทหารของจักรวรรดิอังกฤษ ระหว่างสงคราม พม่า - อังกฤษ ตามความเชื่อ

โดยมีชื่อเรียกในภาษาพม่าว่า (Mya Nan San Kyaw) อันหมายความว่า "พระบรมมหาราชวังมรกตลือเลื่อง" แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่ออันหมายถึง "พระราชวังทองคำ"มีเนื้อที่ภายในกำแพงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 2 x 2 กม. แต่มีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น พม่าจึงได้เสียเอกราชให้กับอังกฤษ

เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่าก่อนพ่ายแพ้ต่อกองทหารอังกฤษ

เมื่ออังกฤษรบกับกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2488 ทำให้พระราชวังเกิดไฟลุกไหม้ ตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด

ปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์

(ข้อมูลจากเว็บไซต์ wikipediathai)



ภาพถ่ายเก่าๆ แสดงถึงตัวอาคารต่างๆ ซึ่งยังอยู่ในสภาพที่ดี



และคงไม่พ้นที่จะกล่าวถึงกษัตริย์พม่าองค์สุดท้าย คือพระเจ้าธีบอ (สี่ป้อ) และพระนางศุภยลัต พระมเหสีผู้อยู่เบื้องหลังการกำจัดพระราชวงศ์ จนเป็นที่เลื่องลือถึงความเหี้ยมโหดของพระนาง ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย

ก่อนที่กองกำลังทหารอังกฤษเข้ามายึดอำนาจ จนตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในที่สุด



จากนั้น ก็แยกย้ายกันไปชมอาคารต่างๆ ในพระราชวังมัณฑะเลย์

เสาที่ค้ำอาคาร แสดงว่าเครื่องบนต้องมีน้ำหนักมากทีเดียว ทั้งๆ ที่เป็นอาคารไม้ทั้งหลัง



พระราชบัลลังก์ คราวเสด็จออกว่าราชการยังท้องพระโรงใหญ่



หุ่นจำลอง ขณะเสด็จออกว่าราชการ

ความมลังเมลืองใหญ่โตในพระราชวัง และทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาล ทำให้มีความรู้สึกว่า พม่าเป็นชาติที่มีอำนาจอันเข้มแข็ง จนไม่ใยดีต่อการวิเคราะห์สถานการณ์รอบข้างซึ่งอังกฤษกำลังเรืองอำนาจอยู่ทางด้านใต้

ต่างกับในบ้านเราช่วงเดียวกัน ต้องเร่งปรับปรุงประเทศให้เจริญก้าวหน้าตามวิชาการของชาติตะวันตกเป็นการใหญ่



น่าชมเชยที่ทางการได้พยายามบูรณะขึ้นมาใหม่ จนมลังเมลืองตามที่เห็น

อาคารไม้เรือนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนหลังคาพระราชวังนั้น เป็นที่ตั้งสำหรับเหล่ามหาดเล็กที่เข้าเวรขับไล่บรรดานกต่างๆ ที่บินมาเกาะบริเวณหลังคาครับ อันเป็นอัปมงคลแก่ตัวพระราชวัง

จะดูไม่สวยก็ตรงนี้แหละ



หมู่อาคารและตัวหอคอยไม้ชมเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งพระนางศุภยรัตน์เคยเสด็จขึ้นมาดูกองกำลังทหารอังกฤษ คราวยกทัพมาตีเมืองมัณฑะเลย์

พระเจ้าธีบอ รวมทั้งพระองค์ และข้าราชบริพารถูกเนรเทศไปยังอินเดียของจักรภพอังกฤษในที่สุด



ห้องเก็บพระคลังมหาสมบัติ

ส่งท้ายก่อนออกจากพระราชวังมัณฑะเลย์อันมีเรื่องราวอันหลายหลาก หลังจากสร้างมาได้เพียง 28 ปีเท่านั้น



มองจากสะพานข้ามคูเมืองพระราชวัง

เขาที่เห็นไกลๆ โน้น เป็นเขามัณฑะเลย์



อยู่ในรายการไปเยือนครับ แต่ตอนนี้ยังก่อน

ไกด์บอกว่าทิวทัศน์ตอนกลางคืน มองลงมาที่ตัวเมืองมัณฑะเลย์จะสวยระยิบระยับกว่านี้



ได้เวลามื้อกลางวันแล้วสิ

เหมือนจะรู้ใจ หัวหน้าทัวร์ได้พาชาวคณะมายังร้านอาหารไทยในเมืองมัณฑะเลย์โดยมิรอช้า

บอกกันตรงๆ ครับว่า ถึงแม้อาหารพม่าจะมีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารบ้านเราก็ตาม แต่อร่อยสู้ต้นตำรับไม่ได้

ไม่ใช่พูดด้วยอคตินะเออ...



ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน คงเรียกได้ว่ากินแทบหมดหม้อหมดไหทีเดียวแหละ 55555

จากการพูดคุยกับป้าเจ้าของร้าน ทราบว่าเป็นชาวสะพานใหม่ ดอนเมืองนี่เอง เคยเป็นกุ๊กประจำร้านอาหารของบริษัทต่างประเทศที่มีสาขาอยู่ในเมืองไทย

ครั้นนายฝรั่งถูกย้ายมาที่พม่า เลยชวนมาทำอาหารที่นี่ด้วย เนื่องจากติดใจในฝีมือการทำอาหารไทยที่จัดจ้าน ไม่ลดราวาศอกเพื่อเอาใจใคร

นานเข้า พอรู้ลู่ทาง นายฝรั่งย้ายกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน เลยเช่าบ้านตั้งร้านเป็นของตัวเอง

จนเดี๋ยวนี้ มีสาขาในมัณฑะเลย์รวม 4 แห่งแล้ว รวมทั้งสาขาที่สนามบินด้วย



พออิ่มท้องดีแล้ว ต่างก็เดินลูบพุงกลับมาขึ้นรถเพื่อเดินทางตามรายการทัวร์ภาคบ่ายต่อไป



รายการแรกในช่วงบ่าย เริ่มสร้างความทึ่งและตื่นเต้นกับชาวคณะแล้วสิ เมือรถมาหยุดให้เข้าชมที่วัดชเวมันดอว์

ที่ทึ่งและสร้างความตื่นเต้นนั้น เนื่องจากพระอารามชเวมันดอว์เป็นอาคารไม้ทั้งหลัง ชลอมาจากพระราชมณเฑียรทองในพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งพระเจ้ามินดง ใช้เป็นพระที่นั่งสมาธิเจริญภาวนา แม้กระทั่งทรงประชวรก็มานั่งสมาธิอยู่ที่พระที่นั่งนี้จนสิ้นพระชนม์

ครั้นถึงรัชสมัยพระเจ้าธีบอ ทรงย้ายพระราชมณเฑียรนี้มาไว้ยังวัดชเวมินดอว์ ซึ่งตั้งอยู่นอกพระราชวัง

ความงดงามจากฝีมือช่างหลวงและการลงรักปิดทองนั้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมงานแกะสลักไม้ของพม่า

และเป็นพระราชมณเฑียรหลังเดียวที่รอดพ้นจากการถูกทิ้งระเบิดทำลายจากฝูงบินของอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากได้ถูกย้ายจากพระราชวังมัณฑะเลย์ ให้เราได้ชื่นชมกันจนถึงทุกวันนี้



ถึงแม้การลงรักปิดทองจะหลุดลอกไปตามสภาพดินฟ้าอากาศจนเห็นเนื้อไม้แท้ๆ



คราวนี้ ขอล่องเรือกันหน่อยล่ะ

ลงเรือตามแม่น้ำอิระวดีไปชมพระเจดีย์มิงกุน ซึ่งพระเจ้าปดุง อดีตกษัตริย์พม่า หลังจากยกทัพไปตีเมืองยะไข่จนได้พระมหามัยมุนีมาแล้ว ทรงรับสั่งให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ที่สุด สูงที่สุดในสามโลกขณะนั้น ชื่อว่า เจดีย์มิงกุน

แต่สร้างไม่ทันเสร็จ ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อน คงเหลือแต่ฐานเจดีย์ที่ปรากฎให้เห็นจนทุกวันนี้ ซึ่งมีความสูงถึง 50 เมตรทีเดียว



มา.. เราลงเรือไปชมกันดีกว่า บรรยากาศยามเย็นชวนโรแมนติกอีกแล้ว



แม่น้ำอิระวดีช่วงนี้กว้างขวางกว่าเมืองพุกาม แถมมีการขุดลอกร่องน้ำนำทรายไปขายอีกด้วย



สายลมเย็นพัดโชยตลอดเวลา ทำให้สดชื่นอย่าบอกใครเชียว



ข้างหน้าโน้น เป็นเรือขนถ่านหินจากทางเหนือน้ำ

คงลำใหญ่มาก เพระมีรถตักอยู่บนเรือ คอยเกลี่ยถ่านหินให้เสมอกันตลอดลำเรือด้วย



แล้วเราได้มาถึงท่าเทียบเรือ จะเห็นความใหญ่โตของฐานเจดีย์หลังต้นไม้ตั้งแต่ไกล



เมื่อมีเจดีย์ ย่อมมีการสร้างสิงห์เฝ้าตามธรรมเนียม ดูจากขนาดของสิงห์ พอเดาว่าใหญ่โตเพียงไหน

น่าเสียดายที่ในเวลาต่อมา เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพม่า ทำให้โครงสร้างของสิงห์ซึ่งก่ออิฐถือปูนธรรมดา ไม่มีเหล็กเส้นยึดโครงสร้างตามหลักวิชาการสมัยใหม่ เกิดการพังทลายลงมาถึงครึ่งตัว

ทางไกด์บอกว่า เวลาจวนเย็นแล้ว ให้เร่งขึ้นไปชมเจดีย์ชินพิวเมก่อน แล้วค่อยลงมาชมเจดีย์มิงกุนและระฆังใหญ่อันได้ชื่อว่า เป็นระฆังใหญ่อันดับสองของโลก ถัดจากระฆังที่พระราชวังเครมลินของรัสเซีย แถมยังใช้การได้ด้วยสิ



ขึ้นรถสกายแล็บเมืองพม่ามาบนเขาข้างบนอีกเล็กน้อย จะถึงเจดีย์ชินพิวเม อันได้ชื่อว่า "ทัชมาฮาลแห่งอิระวดี" ซึ่งสวยงามจับตาทีเดียว

เจดีย์แห่งนี้ พระเจ้าบากะยีดอว์ ผู้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าปะดุง ทรงสร้างให้แก่พระนางชินพิวเม พระมเหสีซึ่งสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านั้น

มีคู่บ่าวสาวกับทีมช่างภาพ มาใช้เจดีย์แห่งนี้เป็นโลเกชั่นถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยนะเออ...

ขึ้นรถสกายแล็บเมืองพม่ามาบนเขาข้างบนอีกเล็กน้อย จะถึงเจดีย์ชินพิวเม อันได้ชื่อว่า "ทัชมาฮาลแห่งอิระวดี" ซึ่งสวยงามจับตาทีเดียว

เจดีย์แห่งนี้ พระเจ้าบากะยีดอว์ ผู้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าปะดุง ทรงสร้างให้แก่พระนางชินพิวเม พระมเหสีซึ่งสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านั้น

มีคู่บ่าวสาวกับทีมช่างภาพ มาใช้เจดีย์แห่งนี้เป็นโลเกชั่นถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยนะเออ...

พอถึงตอนสำคัญ ภาพดันหายเสียนี่ น่าเขกหัวตัวเองจริงๆ

เจดีย์มิงกุน มีรอยร้าวอันเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพม่า ทำให้ส่วนฐานของเจดีย์มีการแตกจนเห็นได้ชัด

ซึ่งทางการพม่าได้ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปชมใกล้ๆ เจดีย์แล้ว

ไฮไลท์อีกแห่งหนึ่ง คือ ระฆังมิงกุน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากระฆังหน้าพระราชวังเครมลินของรัสเซีย แต่ยังใช้การได้อยู่

ในขณะที่ระฆังที่หน้าพระราชวังเครมลิน มีชิ้นส่วนแตกร้าวตั้งแต่ออกจากโรงหล่อ

ไปทำบุญที่วัดแห่งใด ผมมักจะตีระฆังที่วัดแห่งนั้น อันเป็นการประกาศให้เทวดาสาธุว่า ได้มาทำบุญแล้วเน้อ

ยกเว้นระฆังมินกุนแห่งนี้ เพราะไม้ตีมีขนาดเล็กนิดเดียว ตีไปก็ไม่ดัง หรือว่าเป็นนโยบายของทางวัดมิให้มีเสียงหนวกหูรบกวนชาวบ้านก็ได้

ว่ากันว่า ความกว้างนั้นสามารถให้เด็กไปยืนรวมถึง 100 คนแน่ะ



ล่องเรือกลับมาถึงท่าน้ำเมืองมัณฑะเลย์ ก็ถึงเวลาขึ้นไปนมัสการที่วัดบนเขามัณฑะเลย์ รายการทัวร์วันนี้แน่นเอี๊ยดจริงๆ

ต้องเปลี่ยนเป็นรถบรรทุกหกล้อเช่นเดียวกับขึ้นพระธาตุไจ้ก์ทิโย้ แต่วิ่งแค่แป๊บเดียว ก็ถึงลานจอดหน้าวัด

เดินขึ้นบันไดอีกนิด ทิวทัศน์เมืองมัณฑะเลย์ยามพลบก็ปรากฎตรงหน้า



ถ้าเทียบกับเมืองเชียงใหม่มองจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ แสงไฟจากในเมืองจะย่อมกว่า แถมมีมืดตรงพระราชวังมัณฑะเลย์ เพราะเป็นค่ายทหาร นอกนั้นจะเป็นพื้นที่ตัวเมือง

สังเกตว่าตามถนนหนทางต่างๆ จะมีไฟเหลืองส่องสว่างค่อนข้างน้อย ถ้าเป็นบ้านเราละก็ ยาวไปสุดลูกตาเลยล่ะ



เอาใจนางแบบกันหน่อย กับลวดลายประดับผนังวิหารวัดบนยอดเขามัณฑะเลย์



ระฆังภายในวัด ใช้ตีหลังจากบูชาด้วยพุ่มดอกไม้ แถมขอพรอีกด้วยนะ



กลับลงมาข้างล่าง ไปเยี่ยมชมวัดกุโสดอ อันเงียบสงบ

ไม่ใช่วัดในนวนิยายเรื่อง "ผู้ชนะสิบทิศ" อันมีพระมหาเถรกุโสดอเป็นเจ้าอาวาส

แถมบรรยากาศที่เห็น ก็ไม่ใช่ภาพยนต์เรื่อง "แม่นาคพระโขนง" อีกด้วย



ความเป็นมาของวัดแห่งนี้ก็คือ ใช้เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 ในสมัยของพระเจ้ามินดงแห่งราชวงศ์คองบองนั่นเอง

การสังคายนาครั้งนี้ อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง ในปี พ.ศ.2414 กระทำอยู่ 5 เดือนจึงสำเร็จ

ครั้นเสร็จแล้ว ทรงให้จารึกพระไตรปิฎกจำนวน 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนแผ่นหินอ่อนจำนวน 729 แผ่น แล้วสร้างมณฑปครอบไว้

ถือได้ว่าเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทาง UNESCO ได้ให้การรับรองแล้ว



รูปหล่อของพระเจ้ามินดง องค์อุปถัมภ์ของการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5



ของจริงคงจะลำบากในการมองภาพ ดูจากหุ่นจำลองดีกว่าครับ



ขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย



รวมทั้งหมู่สถูปบรรจุพระไตรปิฎกด้วย



ขอยืมภาพจากฝีมือของน้องมาลงประกอบ เป็นบานประตูไม้ของวัดกุโสดอ



แสดงให้เห็นถึงลวดลายสลักอันวิจิตร จากฝีมือช่างหลวงในสมัยก่อนครับ



ส่งท้าย ก่อนที่จะกลับไปรับประทานข้าวมื้อเย็น

คืนนี้พักที่โรงแรมสี่ดาวเพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน จนกระทั่งหัวหน้าทัวร์ต้องบันทึกภาพส่งไปให้บริษัทพิจารณาด้านที่พักสำหรับคณะทัวร์รุ่นหลังๆ

พรุ่งนี้สิ กำหนดเวลาค่อนข้างรัดตัว เพราะต้องตื่นเวลา 03.00 น. เพื่อเดินทางถึงก่อนเวลาทำพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี

จะได้มีที่ว่างจับจองที่นั่งก่อนใครๆ


Create Date : 04 พฤษภาคม 2561
Last Update : 4 พฤษภาคม 2561 15:24:26 น. 2 comments
Counter : 851 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณ**mp5**


 
ไปอินเล..ขาไปเจอด่าน คล้ายป้อมยาม เสียเงินคิดเป็นไทย 400 บาทผมว่า
ไงไม่รู้ซิครับ ยังกับฉีกตั๋วเข้าแปลก ๆ 555

แอร์โฮสเตสสวยจริงครับ อินเลน่าไปเที่ยว น่าทึ่ง ถ้าว่างจะแวะ
เข้าไปอ่านไปดูภาพ ทะเลสาปอินเลอีกครั้ง... ไปพักที่ไหนครับ
ผมไปพัก ตรงตัวเมือง แล้วนั่งเรือแบบเหมาไปเที่ยวเกือบทั้งวัน

วันนี้หมดเป๋า..ครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 4 พฤษภาคม 2561 เวลา:18:16:24 น.  

 
นั่นแหละครับ ด่านเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยว เงินนั้นไม่ได้ไปไหน ก็เอามาบำรุงแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ให้ยืนนานต่อไป

เที่ยวบินที่ผมไปอาจเจอแอร์โฮสเตสสวยๆ ก็ได้ เลยถ่ายรูปมาฝาก (พูดเล่นนะครับ) 55555

คณะผม ทางบริษัทจัดให้พักที่ sky lake resort ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ แต่ริมทะเลสาบมีทีพักมากมาย แถมที่พักในเมือง ยังมีบริการจักรยานให้เช่าอีกด้วย นักท่องเที่ยวฝรั่งชอบนักแล


โดย: owl2 วันที่: 5 พฤษภาคม 2561 เวลา:8:45:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add owl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.