สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (2)
สวัสดีครับ....
มาพบกับสารคดีภาพในชุดต่อไป โดยขอข้ามจังหวัดไปยังลำปาง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรถม้าลำปางนั่นแหละครับ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในฐานะเป็นยานพาหนะรับนักท่องเที่ยวชมตัวเมืองลำปาง จากการโปรโมทของจังหวัดลำปาง ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ต่อชีวิตของรถม้าลำปางซึ่งเกือบจะสูญหายตามกาลเวลานั้นออกไปได้อีก และเป็นเสน่ห์ที่ใครๆ นึกถึง เมื่อกล่าวถึงจังหวัดลำปาง จะต้องนึกภาพรถม้าลำปางอันเป็นเอกลักษณ์ควบคู่ไปด้วยเสมอ
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2458 สมัยของเจ้าบุญวาทย์มานิต ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 รถยนต์จากยุโรปได้เข้ามามีอิทธิพลในกรุงเทพฯ บรรดาเจ้าขุนมูลนายต่างก็เปลี่ยนจากรถม้าหันมานิยมใช้รถยนต์กันมาก บทบาทของรถม้า รถลากต่างๆ ในกรุงเทพฯ จึงลดน้อยลง รถม้าจึงได้กระจายออกไปสู่เมืองหลักของภาคต่างๆ ได้แก่ นครราชสีมา นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ แต่ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ผู้ประกอบการรถม้าในเมืองดังกล่าวเลิกกิจการไป คงเหลือแต่จังหวัดลำปางเพียงแห่งเดียว
การเข้ามาของรถไฟสายเหนือซึ่งมีจุดหมายปลายทางสิ้นสุดที่สถานีนครลำปางในขณะนั้น ซึ่งเปิดรับขบวนรถโดยสารครั้งแรก เมื่อเถลิงศก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2459 หรือวันปีใหม่ไทย ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 ในครั้งนั้น มีรถม้าที่เรียกกันว่า รถม้าแท็กซี่ คอยรับผู้โดยสารจากสถานีรถไฟเข้าสู่ตัวเมืองลำปาง อันเป็นจุดเชื่อมต่อกับถนนที่ขึ้นไปสู่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย
กิจการรถม้าได้ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเป็นระยะเวลาได้ 34 ปี ได้มีผู้ก่อตั้งสมาคมล้อเลื่อนจังหวัดลำปาง ขึ้นในปี พ.ศ.2492 โดยขุนอุทานคดี เป็นผู้ริเริ่มและดำรงตำแหน่งนายกสมาคมคนแรก ที่ได้ร่างกฎระเบียบว่าด้วยสมาคมขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.2495 เจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง เข้ามาบริหารงานและได้เปลี่ยนชื่อสมาคมเป็น สมาคมรถม้าจังหวัดลำปาง (The Horse Carriage In Lampang Province) และได้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมคนที่สอง
ในปี พ.ศ.2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้มอบเงินให้แก่เจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง และได้ขอรับรถม้าเข้าไว้ในความอุปถัมภ์ ให้รัฐบาลช่วยเหลือสมาคมรถม้า และตั้งกองทุนให้สมาคมรถม้าอีก 1 กองทุน
ปัจจุบัน รถม้าลำปางมีประมาณ 70 คัน และวิ่งพานักท่องเที่ยวชมเมือง ทั้งกลางวัน และกลางคืน มีจำนวน 50 คัน และที่พิเศษ คือ รถม้าได้เข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมงานวันรำลึกประวัติศาสตร์รถม้ารถไฟนครลำปาง พร้อมกับเฉลิมฉลองศตวรรษใหม่ปี ค.ศ.2000 ในวันเถลิงที่ 1 เมษายน พ.ศ.2543 และถือเป็นประเพณีถึงทุกวันนี้ครับ
สำหรับเนื้อหาและฝีมือถ่ายภาพประกอบเรื่องนั้น โดย คุณ วังก์ รัตนานที ซึ่งคงเป็นนามปากกาบุคคลหนึ่งของกองบรรณาธิการนิตยสารรายเดือน คนเมือง และได้นำลงพิมพ์เผยแพร่ในปีที่ 2 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ.2498 เชิญติดตามได้เลยครับ...
.........................
รถม้าลำปาง
ภาพและพากษ์โดย วังก์ รัตนานที ...........................
ห้าแยกพรหมินทร์ นครลำปาง
คุณ ที่รัก
ผมเชื่อว่าภาพชุด รถม้าลำปาง ที่คุณอยากได้มานานนักหนาแล้ว ก็คงจะสมใจคุณคราวนี้พร้อมๆ กับจดหมายฉบับนี้เอง เพราะผมได้ส่งมาให้คุณ แยกซองมากับจดหมายฉบับนี้ และเมื่อผนึกซองภาพชุดส่งมาแล้ว ผมก็คิดได้ว่า ลำพังแต่เพียงคำอธิบายภาพสั้นๆ คงจะไม่ทำให้คุณรู้จัก รถม้าลำปาง อย่างพอเพียง ผมจึงจดหมายตามมาอีก และเชื่อว่าคุณคงได้รับพร้อมภาพชุดที่คุณอยากได้
คุณเคยปรารภอยู่เสมอว่า นครลำปางแปลกกว่าจังหวัดอื่นที่คุณเคยได้เที่ยว , ได้เห็นมาทั่วแล้ว... คุณยังฉงนฉงายไม่หายว่าทำไมที่ลำปางจึงยังคงมี รถม้า อยู่ได้ ท่ามกลางยานยนต์และล้อเลื่อนสมัยใหม่หลากหลายชนิด และ- ตอนนั้น , ผมก็ตอบคุณไม่ได้...
แต่. เดี๋ยวนี้-ผมบอกคุณได้แล้ว...
รถม้าลำปาง นั้น เริ่มมีขึ้นเมื่อประมาณ ๔๐ ปีที่แล้วมานี่เอง แต่ที่ยังคงมีอยู่ต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้ ผมอยากจะเรียนว่าเพราะการสืบมรดก-และการสนับสนุนคนถิ่นเดียวกันของชาวลำปางมากกว่าอย่างอื่นใด ที่หมู่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัยริมฝั่งแม่น้ำวัง- ถิ่นกำเนิดพญาพรหมโวหาร รัตนกวีของลานนาไทย หมู่บ้านทั้งสอง- มีครอบครัวของชาว รถม้า ตั้งอยู่นับร้อยหลังคาเรือน ทุกบ้านทุกครอบครัวยังชีพด้วย รถม้า เป็นอาชีพหลัก และสีบมรดกติดต่อกันมาไม่ขาดสาย หมู่บ้านทั้งสองนั้น , หากจะเรียกว่า นิคมของชาวรถม้าลำปาง ก็เห็นจะได้ รถม้าเป็นล้อเลื่อนของชาวลำปางแท้ๆ และก็เพราะเหตุนั้น , ชาวลำปางจึงสนับสนุนคนถิ่นเดียวกันเต็มที่ ลำปาง , ถึงแม้จะมีสามล้อไม่น้อยกว่าจังหวัดอื่นๆ แต่ขณะเดียวกัน , รถม้าลำปางก็ยังป็นที่นิยมของผู้โดยสารอยู่ จะเห็นได้จาก ปริมาณ ของรถม้าได้มีมากขึ้นตามวันเวลา จากเรือนสิบเป็นเรือนร้อย ซึ่งขณะนี้มีถึง ๒๐๐ กว่าคันแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้ , ไม่ว่าจะย่างก้าวไปในย่านชุมนุมชนตรงไหน สถานีรถไฟ , ตลาดสด , โรงภาพยนตร์ และอื่นๆ จึงมีรถม้าจอดรอคอยรับผู้โดยสารอยู่เป็นทิวแถว
ขอเสียเถิด , คุณอย่าได้คิดว่าอาชีพกรรมกรขับรถม้าเป็นงานที่ต่ำทรามเลย มันเป็นสัมมาอาชีวะ เป็นงานสุจริต และเป็นสมบัติของคนท้องถิ่นแท้ๆ รถม้า ไม่ได้ล้างผลาญเงินตราต่างประเทศเหมือนรถยนต์ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ ขณะเดียวกัน , อาชีพรถม้าก็สามารถมีรายได้เลี้ยงครอบครัวให้มีความสุข และส่งบุตรธิดาเข้าศึกษาชั้นสูงได้ไม่น้อยงานอย่างอื่นใด
เมื่อพูดถึง นิคมของรถม้าลำปาง ผมก็อยากจะบอกคุณว่า ที่ผมเรียกเช่นนั้นไม่ได้เกินความจริงแต่อย่างใดเลย คุณคิดดูซี , หมู่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัยซึ่งอยู่แทบฝั่งแม่วังนั้น สองหมู่บ้านนี้มีบ้านนับร้อยครัวเรือน ทุกบ้าน อย่างน้อยก็มี รถม้า คันหนึ่ง ม้าคู่หนึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว และด้วยรถคันหนึ่ง ม้าคู่หนึ่งนั้นเอง ที่ราษฎรสองหมู่บ้านนั้นดำรงชีพอยู่ได้ไม่เดือดร้อน นิคมรถม้า นอกจากจะเป็นแหล่งรวมของกรรมกรรถม้าแล้ว ที่นั่น , ยังมีโรงงานสร้างและซ่อมส่วนต่างๆ ของรถม้าขึ้นเอง จากวัตถุซึ่งหาได้จากท้องถิ่นอีกด้วย รถม้า จึงอาจเรียกได้สนิทปากว่า เป็นผลิตภัณฑ์ของลำปางแท้ๆ
จาก โรงงาน กลางนิคมของชาวรถม้านั่นเอง ที่ผลิตและสร้างรถม้าออกวิ่งรับส่งผู้โดยสารคันแล้วคันเล่า และจาก รถคันหนึ่ง ม้าคู่หนึ่งนั่นแหละ ที่ตระเวนหาเงินรายได้มาเลี้ยงครอบครัว พ่อแม่ , ลูกเมีย , ได้ตลอดมาและตลอดไป
ด้วยเหตุที่ รถม้า มีมาด้วยน้ำมือของคนลำปางแท้ๆ อย่างผมเล่ามาแล้ว จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ชาวลำปางจะสนับสนุน สมบัติพื้นบ้าน ของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งนั่นย่อมหมายรวมไปถึงว่า จนกระทั่งทุกวันนี้ รถม้า จึงยังคงมีอยู่ ท่ามกลางยานยนต์สมัยใหม่ และผิดกับท้องถิ่นอื่นๆ ที่สมัยหนึ่งก็เคยมี รถม้า มาเหมือนกัน แต่บัดนี้ , ไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว
จดหมายฉบับนี้ , ผมอยากจะเขียนให้ละเอียดกว่านี้ , ยาวกว่านี้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานนัก , คุณก็จะมาลำปางด้วยตัวเอง... มานั่งรถม้าด้วยตนเอง... ผมจึงคิดว่า , เท่าที่เล่ามาพอสังเขปแล้วนี้ อย่างน้อยที่สุดก็คงพอช่วยให้คุณรู้จัก รถม้าลำปาง ขึ้นมากกว่าเดิมไม่ใช่หรือ ?
ผมจะรอคอยวันที่คุณจะมาถึงอยู่เสมอ และนอกจากนั้น , เป็นอันหวังได้ว่า ทันทีที่คุณเหยียบชานชาลาสถานีนครลำปาง รถม้า ก็ได้เทียบคอยคุณอยู่ด้วย เพื่อนำเรามาพบกันดังที่ใจเราปรารถนา
เหมือนเคยตลอดไป
เพื่อนสนิทของคุณ
.......................
(นิตยสารรายเดือน คนเมือง ปีที่ 2 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ.2498)
.......................
รถม้าลำปาง
เรื่องและภาพโดย วังก์ รัตนานที

ที่ลำปางในปัจจุบัน (หรือเขลางคนครในอดีต) ทุกหนทุกแห่งบนท้องถนน ทั้งคนท้องถิ่นและอาคันตุกะไม่มีวันจะหลีกรถม้าได้พ้น ไม่ว่าจะเป็นตรอก , ซอก , ซอย , หรือถนนใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งสถานีรถไฟ , ตลาดสด , และโรงภาพยนตร์ อันเป็นย่านชุมนุมชน จะมีรถม้าจอดรอรับผู้โดยสารอยู่เป็นทิวแถว
รถม้าจึงได้กลายเป็น สัญลักษณ์ อย่างหนึ่งของลำปาง เพราะเกือบจะกล่าวได้ว่าในเมืองไทย , ไม่มีรถม้าที่ไหน เหลืออยู่ อีกแล้ว

ชีวิตประจำวันของคนรถม้าลำปางเป็นชีวิตที่น่าเห็นใจ เพราะต้อง ตื่นก่อนและนอนทีหลัง ตามแบบฉบับของผู้ที่เกิดมาเพื่อรับใช้ประชาชน
ชาวรถม้าที่นำรถออกตระเวนรับส่งผู้โดยสารเป็นประจำวันนั้น ต้องตื่นแต่ก่อนไก่และต้องนึกถึงท้องของสัตว์คู่ยากก่อนท้องของตัวเอง ฉะนั้นม้าทุกตัวก่อนจะนำไปเทียมรถจะต้องป้อนอาหารให้อิ่ม เพราะม้าก็เช่นเดียวกับกองทัพซึ่งนโปเลียนบอกว่าต้อง เดินด้วยท้อง

ลำปางก็เหมือนจังหวัดอื่นๆ ที่เจริญแล้วทั้งหลาย มีรถยนต์ (รถเก๋งโอ่อ่าและจิ๊ปหลังสงคราม) มีสามล้อ , มีจักรยาน (ทั้งติดเครื่องและล้อถีบ) อยู่มากมาย แม้กระนั้นแล้ว รถม้า ก็ยังเป็นที่นิยมของผู้โดยสารอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่า , ชาวลำปางรู้อยู่ท่วมหัวใจว่า รถม้าเป็นสมบัติของท้องถิ่น , เป็นอาชีพของชาวลำปางเอง
ที่หมู่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัยแทบฝั่งแม่วังนั้น เป็นศูนย์กลางของรถม้า ผลิตขึ้นที่นั่น , มีโรงงานซ่อมที่นั่น , และพูดได้ว่าเป็นหมู่บ้าน รถม้า ล้วนๆ ทุกหลังคาเรือนยังชีพอยู่ด้วย รถม้า ทั้งนั้น

ออกจากบ้านแต่อรุณไม่ฉาบขอบฟ้า กลับมาก็ย่ำสนธยา โดยที่ทั้งคนขับและม้าต่างก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาตลอดวัน พอกลับถึงบ้าน , เจ้าของก็จะนำ นักวิ่งทนที่ไม่มีวันตับแตกตาย เดินวนเวียนไปรอบๆ ลานบ้านอันร่มรื่น เพื่อให้รับลมเย็น จนเหงื่อแห้งแล้วพาไปอาบน้ำ จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น หมดภาระไปวันหนึ่ง
รถม้าทุกคันเจ้าของจะมีม้าไว้สองตัวเพื่อสับเปลี่ยนกัน ไอ้ผ่าน วิ่งรอบกลางวัน ตกกลางคืนก็ได้พักและตกเป็นหน้าที่ของ ไอ้เมฆ ที่จะต้องวิ่งทนแทนบ้าง

ที่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัย อันเป็นนิคมของชาว รถม้า ทุกหลังคาเรือนจะมีรถม้าเป็นสมบัติส่วนตัว... มีบ้านแบบไตยวน (คนเมือง) เป็นที่พักอาศัย... มีลูกหลานสืบสกุลและรับมรดก รถม้า ผู้ชายก็ทำหน้าที่สารถี... ผู้หญิงรับภาระทางบ้าน... ที่ยังเด็กและวัยรุ่นก็ช่วยจัดหาอาหารให้ม้า หรือฝึกหัดที่จะรับหน้าที่แทนผู้ใหญ่ต่อไป
ด้วยประการฉะนี้เอง , รถม้าลำปางจึงยังคงมีอยู่ และจะต้องมีอยู่ตลอดไป ผิดกับท้องถิ่นอื่นซึ่งแม้บางครั้งจะเคยมี แต่บัดนี้แม้แต่ซากก็ไม่มีเหลือแล้ว...

เพราะเหตุที่ รถม้า ต้องอาศัยแรงม้าจริงๆ ไม่ใช่ แรงม้า ที่เป็นเครื่องยนต์เยี่ยงรถยนต์สมัยใหม่ ดังนั้น , เมื่อว่างจากงานประจำวันหน้าที่ของ คนทางบ้าน ก็คือการเตรียมอาหารสำหรับม้าให้พรักพร้อม อาหารประจำอันเปรียบประหนึ่ง น้ำมันเชื้อเพลิง ของม้ามีฟางแห้งที่หั่นหยาบๆ ผสมกับรำอ่อนคลุกน้ำ เพื่อให้กินสะดวก , ย่อยง่าย , และอิ่มทน
งานจัดอาหารม้าประจำวันเช่นนี้ คนทางบ้าน ซึ่งบางทีก็ลูกหรือหลานก็รับเอาไปจัดเตรียมไว้ไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน...

กลางหมู่บ้านอันเป็น นิคม ของรถม้าลำปางนั้น มีโรงงานสร้างและซ่อมรถม้าอยู่เป็นประจำ ส่วนประกอบทุกชิ้นล้วน Made in Lampang ทั้งสิ้น โดยมีนายช่างผู้ชำนาญและผ่านการประกอบอาชีพขับขี่ รถม้า มาแล้วนับสิบปี เป็นผู้อำนวยการและดำเนินงานสร้าง ซ่อมส่วนประกอบทุกชิ้นของรถม้าขึ้นมาด้วยมือของเขาเองทั้งสิ้น
รถม้าทุกคันที่กระจายอยู่ทั่วเวียงลำปาง รับผู้โดยสารเที่ยวแล้วเที่ยวเล่านับเป็นเวลา ๔๐ ปีเศษมาแล้ว ก็ล้วน ผลิต จากหมู่บ้านพรหมินทร์และสิงห์ชัยนี่เอง...

เมื่อประกอบเป็นตัวรถแล้ว... มีม้าใหม่ไม่เคยเทียมรถและวิ่งทนมาก่อน ก็จำเป็นต้องฝึกหัดให้มันคุ้นคนและท้องถนนเสียก่อน โดยจัดเทียมรถมีสารถีและผู้โดยสาร (สมมุติ) แล้วมีคนจูงบังเหียนพามันออกวิ่งวนเวียนไปตามถนนสายต่างๆ ฝึกกันอยู่เช่นนั้น , วันแล้ววันเล่าจนกว่าม้าจะคุ้นกับ งาน ของมันและเข้าใจ สัญญาณ จากนายสารถีเพียงพอ จึงจะออกวิ่งรับส่งผู้โดยสารหากินได้ต่อไป
ไม่ใช่ว่ามีม้าเอาเข้าเทียมรถแล้วก็ใช้ได้ ชีวิตของ รถม้าลำปาง เริ่มต้น และเป็นมาเช่นนี้เอง.
.........................
(นิตยสารรายเดือน คนเมือง ปีที่ 2 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ.2498)
หมายเหตุ
บ้านพรหมินทร์ ปัจจุบันคาดว่าตั้งอยู่บริเวณห้าแยกหอนาฬิกา หรือห้าแยกเชียงราย
บ้านสิงห์ชัย ปัจจุบันคาดว่าอยู่บริเวณวัดสิงห์ชัย ถนนเม็งราย จดถนนวังขวาริมแม่น้ำวัง

(เครดิต : คุณ วังเหนือ และป้าหนาสองนิ้ว แห่งห้องไร้สังกัด ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ)
Create Date : 29 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 11 กันยายน 2553 18:01:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2903 Pageviews. |
 |
|
|
|
|