Group Blog
OWL2's blog
<<
มิถุนายน 2563
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
22 มิถุนายน 2563
น่าน น้าน นาน (4)
All Blogs
น่าน น้าน นาน (ตอนจบ)
น่าน น้าน นาน (4)
น่าน น้าน นาน (3)
น่าน น้าน นาน (2)
น่าน น้าน นาน (1)
Konnichiwa Nihon no densha (14)
Konnichiwa Nihon no densha (ตอนจบ)
Konnichiwa Nihon no densha (24)
Konnichiwa Nihon no densha (23)
Konnichiwa Nihon no densha (22)
Konnichiwa Nihon no densha (21)
Konnichiwa Nihon no densha (20)
Konnichiwa Nihon no densha (19)
Konnichiwa Nihon no densha (18)
Konnichiwa Nihon no densha (17)
Konnichiwa Nihon no densha (16)
Konnichiwa Nihon no densha (15)
Konnichiwa Nihon no densha (13)
Konnichiwa Nihon no densha (12)
Konnichiwa Nihon no densha (11)
Konnichiwa Nihon no densha (10)
Konnichiwa Nihon no densha (9)
Konnichiwa Nihon no densha (8)
Konnichiwa Nihon no densha (7)
Konnichiwa Nihon no densha (6)
Konnichiwa Nihon no densha (5)
Konnichiwa Nihon no densha (4)
Konnichiwa Nihon no densha (3)
Konnichiwa Nihon no densha (2)
Konnichiwa Nihon no densha (1)
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( ตอนจบ )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 12 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 11 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 10 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 9 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 8 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 7 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 6 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 5 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 4 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 3 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 2 )
มิงกาลาบาห์ เมียนมาร์ ( 1 )
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (ตอนจบ)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (5)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (4)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (3)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (2)
พินิจงานรถไฟสายอีสานด้วยค่าโดยสารเพียง 50 บาท (1)
ล่องใค้ ไปอีสาน (ตอนสุดท้าย)
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑๒ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑๑ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑๐ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๙ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๘ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๗ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๖ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๕ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๔ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๓ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๒ )
ล่องใต้ ไปอีสาน ( ๑ )
ทานตะวัน Express (2)
ทานตะวัน Express (1)
xinchao Vietnam (ตอนจบ)
Xinchao Vietnam ( 13 )
Xinchao Vietnam ( 12 )
Xinchao Vietnam ( 11 )
Xinchao Vietnam ( 10 )
Xinchao Vietnam ( 9 )
Xinchao Vietnam ( 8 )
Xinchao Vietnam ( 7 )
Xinchao Vietnam ( 6 )
Xinchao Vietnam ( 5 )
Xinchao Vietnam ( 4 )
Xinchao Vietnam ( 3 )
Xinchao Vietnam ( 2 )
Xinchao Vietnam ( 1 )
Meeting สุดชายแดนบูรพา (ตอนสุดท้าย)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (4)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (3)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (2)
Meeting สุดชายแดนบูรพา (1)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนสุดท้าย)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 5)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 4)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 3)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 2)
สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 1)
กุลวาขาว แมคคิลวารี
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนสุดท้าย)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 6)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 5)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 4)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 3)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 2)
เที่ยวไปกับทัวร์ Circular Train (ตอนที่ 1)
เที่ยวสุพรรณ....กับด่วนขุนแผน ตอนที่ 3 (ส่งท้าย)
เที่ยวสุพรรณ....กับด่วนขุนแผน ตอนที่ 2
เที่ยวสุพรรณ....กับด่วนขุนแผน ตอนที่ 1
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 6 (สุดท้าย)
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 5
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 4
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 3
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 2
เที่ยวฉ่ำฝน (ที่ไม่ใช่ธรรมดา) ตอนที่ 1
ก่อนที่จะมาเป็นถนนวิภาวดีรังสิต
เรื่องราวในอดีตของถนนมิตรภาพ : กรุงเทพฯ - หนองคาย ใน 8 ชั่วโมง
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (12)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (11)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (10)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (9)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (8)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (7)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (6)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (5)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (4)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (3)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (2)
สารคดีสั้น...จาก "คนเมือง" (1)
น่าน น้าน นาน (4)
วันนี้ สองคนพี่น้อง ออกตระเวนแถวๆ รอบที่พักครับ
เริ่มจากวัดภูเก็ต วนเวียนแถว อ.ปัว ก่อนที่จะขึ้นเหนือ ไปหามื้อเที่ยงที่ อ.เชียงกลาง แวะชมช่วงบ่ายที่วัดหนองแดง
ซึ่งเป็นวัดโบราณสถานไตลื้อ
ที่มีศิลปการก่อสร้างเป็นเอ
กลักษณ์ของตนอย่างชัดเจน
ยามเช้า หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแล้ว เปิดหน้าต่างกระท่อมออกมา บรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นไหล
พรั่งพรูเข้ามาทันใด
มองเห็นไร่ข้าวโพดที่ชาวบ้า
นปลูกไกลออกไปจนจรดฝายแก้ง ลงไปเดินเล่นสูดอากาศยามเช้
าดีกว่า
กระท่อมที่พัก เป็นกระท่อมไม้ไผ่ก็จริง แต่โครงข้างล่างเป็นเหล็กกล
่อง ตั้งบนเสา คสล.อีกต่างหาก ป้องกันปลวกรบกวน มี ทีวี.ผ่านดาวเทียมบริการให้
ทุกหลัง แต่สองคนพี่น้องต้องการความ
สงบจากธรรมชาติ เลยดูแค่รู้ว่ามีช่องอะไรบ้
างแล้วไม่สนใจอีก
ส่วนห้องน้ำก่ออิฐถือปูน ไม่ทาสีครับ มีเครื่องทำน้ำร้อนด้วยสิ
จากลานโล่งหน้ากระท่อม ที่สามารถจัดแคมป์ไฟ ปิ้งไก่ได้เป็นอย่างดีนั้นม
ีกรงเลี้ยงกระต่ายซึ่งเจ้าข
องรีสอร์ทตั้งไว้อยู่ใกล้ๆ ตัวเบ้อเริ่มเชียว
มองลูกตาพอคุ้นเคยกันดีแล้ว
พอดีน้องลงมาสมทบ เลยชวนกันเดินยืดเส้นสายกัน
หน่อย
จากแท็บเล็ตของน้องผม มีแผนกต้อนรับอีกคู่หนึ่งตา
มมาเคล้าเคลียต้อนรับอยู่ไม
่ห่างจนกระทั่งถึงวันเดินทา
งกลับ ทราบจากเจ้าของรีสอร์ทว่า เพิ่งรับมาเลี้ยงก่อนที่เรา
ไปเยือนเพียง 15 วันเท่านั้น หน้าตาดูน่ารัก น่าเอ็นดู
วันถัดไป ปรากฎว่าดีแตก ไปคาบไก่น้อยที่เลี้ยงไว้ใน
รีสอร์ทเช่นกัน ทำให้ฝูงไก่แจ้ที่เคยขันรับ
ห้าทุ่มและสองยาม เงียบเชียบตั้งแต่นั้น
ชวนกันขึ้นไปที่อาคารรับรอง
จัดการชงกาแฟ กับขนมมื้อเช้า ก่อนนั่งรอผัดผักรวมที่รีสอ
ร์ทบริการให้ฟรี หากต้องการมื้อกลางวันต้องท
ำความตกลงขอเป็นมื้อพิเศษต่
างหาก
ระหว่างจิบกาแฟร้อน ผมถือโอกาสเก็บภาพโดยรอบบริ
เวณไปด้วย
ภาพวาดประดับห้องรับรองครับ
ตั้งใจว่าจะเก็บภาพตะวันขึ้
นที่เหลี่ยมเขารับยามเช้าสั
กหน่อย แต่ลืมข้อเท็จจริงตรงที่ ข่วงโผล่จากเหลี่ยมเขา เป็นเวลาร่วมสองโมงเช้าแล้ว
แสงเลยจัดจ้า เห็นจะต้องไปเก็บภาพในช่วงฤ
ดูหนาวกระมัง ?
ก็อีกนั่นแหละ บรรยากาศช่วงนั้นคงมีแต่เมฆ
หมอกเต็มท้องฟ้า มองไม่เห็นตะวันอีกเช่นเคย
ได้เวลาล้อหมุนประจำวันแล้ว
จุดแรกที่ไปแวะ ที่วัดภูเก็ต ต.วรนคร อ.ปัว อันเป็นตำบลเดียวกันกับตัวอ
ำเภอครับ ชื่อหรู คล้ายๆ กับชื่อจังหวัดทางใต้ของไทย
แต่จริงๆ แล้ว เป็นวัดประจำหมู่บ้านเก็ต ตั้งอยู่บนภู เลยได้ชื่อตามนั้น
บรรดาสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ท่านเจ้าอาวาสกำหนดให้อยู่น
อกเขตพุทธาวาส บริเวณวัดเลยเป็นระเบียบ และไม่อนุญาตให้ตั้งแผงสลาก
กินแบ่งอีกด้วย
เจอสาขาสำนักที่เคยอบรมมาด้
วยสิ ที่นี่ เป็นสาขา 157 โดยใช้อาคารธรรมสภาเป็นสถาน
ที่ฝึกอบรม เท่าที่สังเกต พี่น้องชาวบ้านจะมีความศรัท
ธาเหนียวแน่นในการนับถือศาส
นามาก แถมเป็นชุมชนไตลื้อด้วย
เดินผ่านประตูเข้าไปยังบริเ
วณลานวัดอันสวยงาม ร่มรื่นดังภาพ
เจอรูปปั้นหน้าตาพิลึกพิลั่
น แต่น่ารักตัวนี้ น้องผมบอกว่า เป็นตัวเหงา ชื่อคล้ายๆ กับตัวตัว เห-รา ที่กลืนนาคลงท้อง แต่ไม่หมดตัว คงไว้แค่หัวเท่านั้น
ไปสุดที่ลานวัด ซึ่งมีรั้วกั้น มองไปยังทุ่งนาอันกว้างขวาง
มองกันชัดๆ เลยครับ มีร้านจำหน่ายกาแฟ และผลิตภัณฑ์ OTOP ของชาวบ้านตั้งอยู่เบื้องล่
างด้วย
มองไปยังชุมชนบ้านเก็ต ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ติดต่อกัน
ทีเดียว
นางแบบขอโพสต์ท่ารับกับสถาน
ที่หน่อย เลยจัดให้ตามคำขอ
ขอแถมอีกสักรูปหนึ่งรับกับต
้นตาลที่เบื้องหลัง
สงสัยตั้งแต่แรกเห็นว่า เป็นท่ออะไร ? เลยเดินไปดูใกล้ๆ ปรากฎว่าเป็นท่อลำเลียงอาหา
รเลี้ยงปลาลงสู่บ่อที่อยู่เ
บื้องล่าง
ไอเดียเฉียบจริงๆ
เลยควักเงิน 20 บาท ค่าอาหารปลา ให้นางแบบแสดงท่า ตอบแทนการถ่ายรูปให้เมื่อสั
กครู่นี้
อาหารเม็ดไหลปรู๊ดลงตามท่อไ
ปยังฝูงปลาที่ว่ายชุลมุลหัว
แทบชนกันอยู่เบื้องล่าง
บ่อเลี้ยงปลาแห่งนี้มิใช่เป
็นระบบปิดครับ มีทางระบายน้ำไปยังลำห้วยใน
หมู่บ้านซึ่งไหลอยู่ใกล้ๆ โดยมีตะแกรงทำด้วยไม้ไผ่ปิด
กั้นอยู่
เสร็จพิธีแล้ว บันทึกภาพเป็นที่ระลึกตรงบั
นไดลงไปหมู่บ้านข้างล่าง และร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP นั่นแหละ
อุโบสถวัดภูเก็ตครับ ขอไปนมัสการหลวงพ่อแสนปัวหร
ือหลวงพ่อพุทธเมตตา พระประธานประจำวัดก่อน
นมัสการหลวงพ่อแสนปัวหรือหล
วงพ่อพุทธเมตตา เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตร
ับปีใหม่ 2563 ครับ
เดินชมภาพวาดบนผนังแสดงให้เ
ห็นงานประเพณี วิถีชีวิตของชาวบ้านที่ผูกพ
ันกับทางวัด
พอเดินลงมาเบื้องล่าง ผมต้องอึ้งกับภาพที่เห็นในต
อนแรกว่าเป็นลานวัดชมทิวทัศ
น์ แต่กลายเป็นชั้นดาดฟ้าของ เทมเพิล สเตย์ ชื่อว่า ภูเก็ตสนธยา เทมเพิลสเตย์ หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ เป็นลักษณะของ โรงแรมธรรมะ สำหรับผู้ที่มาปฎิบัติธรรม หรือนักนักท่องเที่ยวนั่นเอ
ง ซึ่งผู้ที่เข้ามาพักจะได้มี
โอกาสปฏิบัติธรรมร่วมกับการ
พักผ่อน
โรงแรมธรรมะของวัดภูเก็ตถือ
เป็นแห่งแรก ในประเทศไทย
ร้านจำหน่ายเสื้อหม้อห้อม แต่น้องผมส่ายหัวบอกว่ามีแล้ว กลับเดินไปซื้อที่อีกร้านหน
ึ่งแทน ก่อนไปเที่ยวภายในหมู่บ้านก
ัน
แผนที่หมู่บ้านครับ มีลายแทงแบบนี้พอคลำทางได้ส
ะดวกหน่อย มาสะดุดตาตรงที่บอกว่ามีเสา
หลักบ้านนี่แหละ แต่คงปรักหักพังไปแล้ว
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้
าน ซึ่งยาวนานนับหลายชั่วอายุค
นทีเดียว
และทำให้ผมทราบความหมายของค
ำว่า ไม้เก็ต ที่เอามาทำหลังคาบ้าน และตามวัดด้วยก่อนที่จะมีวั
สดุอื่นเข้ามาแทน
มีเฮินโบราณหลังใหญ่หลังป้า
ย บอกให้ทราบว่าเป็นศูนย์การเ
รียนรู้ไตลื้อบ้านเก็ต
เสียดายที่อยู่ระหว่างการปร
ับปรุงภายในบ้าน เลยทำได้แต่เมียงๆ มองๆ อยู่รอบบ้านเท่านั้น มาสมปรารถนาที่เฮินโบราณอีก
หลังหนึ่ง หลังวัดหนองแดง อ.เชียงกลาง ในช่วงบ่าย
จากแท็บเล็ดของน้องผมครับ
ขอพักผ่อนอิริยาบทบริเวณขอบ
สระ ใกล้ไร่ข้าวโพดของหมู่บ้าน ก่อนออกเดินทางต่อไป
วนเวียนดูย่านชุมชนตัวอำเภอ
ปัว เจอกำแพงเมืองโบราณบอกว่า เวียงวรนคร (เมืองพลัว)
ขอเล่าความเป็นมาสักนิด...
ปัว เริ่มปรากฏขึ้นราว พ.ศ.1825 ภายใต้การนำของ พญาภูคา เจ้าเมืองย่าง ศูนย์การปกครองอยู่ที่เมือง
ย่าง (เชื่อกันว่าคือบริเวณริมฝั
่งด้านใต้ของแม่น้ำย่าง ใกล้เทือกเขาดอยภูคาในเขตบ้
านเสี้ยว ต.ยม อ.ท่าวังผา) เพราะปรากฏร่องรอย ชุมชนในสภาพที่เป็นคูน้ำ คันดิน กำแพงเมืองซ้อนกันอยู่
ต่อมา พญาภูคา ได้ขยายอาณาเขตปกครองของตนอ
อกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยส่งราชบุตรบุญธรรม 2 คน ไปสร้างเมืองใหม่ โดยขุนนุ่น ผู้พี่ไปสร้างเมืองจันทบุรี
(เมืองหลวงพระบาง) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก
ของแม่น้ำของ (แม่น้ำโขง) และขุนฟองผู้น้องสร้างเมือง
วรนคร (เมืองปัว) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเ
ฉียงเหนือ
การที่ให้ชื่อว่าเมือง "วรนคร" ก็เนื่องมาจาก พญาภูคา ได้เลือกชัยภูมิที่ดี เหมาะสมในการสร้างเมือง เสร็จแล้วจึงขนานนามว่าเมือ
ง "วรนคร" ซึ่งหมายถึง เมืองดี นับว่าเป็นการเริ่มต้นราชวง
ศ์ภูคา
เมื่อบ้านเมืองวรนครเริ่มมั
่นคงเป็นปึกแผ่น เจ้าขุนฟองก็ได้เป็นพญาแล้ว
เสวยราชสมบัติในเมืองวรนคร มีพระโอรส 1 พระองค์ ใส่ชื่อเบิกบายว่า "เจ้าเก้าเกื่อน"
ต่อมาไม่นานนัก พญาขุนฟองถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนราชบุตรจึงได
้ขึ้นครองเมืองปัวแทน ด้านพญาภูคาครองเมืองย่างมา
นาน และมีอายุมากขึ้น มีความประสงค์จะให้เจ้าเก้า
เถื่อนผู้หลานมาครองภูคาหรื
อเมืองย่างแทน จึงให้เสนาอำมาตย์ไปเชิญ แต่เจ้าเก้าเกื่อนไม่ค่อยเต
็มใจนัก เจ้าเก้าเถื่อนเกรงใจปู่จึง
ยอมไปอยู่เมืองย่าง และมอบให้ชายาคือ นางพญาแม่ท้าวคำปิน ซึ่งทรงครรภ์อยู่คอยปกครองด
ูแลรักษาเมืองวรนคร (เมืองปัว) แทน เมื่อพญาภูคาถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนจึงครองเมือง
ย่างแทน
ในช่วงที่เมืองวรนคร (เมืองปัว) ว่างจากผู้นำ เนื่องจากเจ้าเก้าเถื่อนไปค
รองเมืองย่างแทนปู่คือ พญาภูคา พญางำเมืองเจ้าผู้ครองเมือง
พะเยา จึงได้ขยายอิทธิพลเข้าครอบค
รองบ้านเมืองปัวทั้งหมด นางพญาแม่เท้าคำปินพร้อมด้ว
ยบุตรในครรภ์ ได้หลบหนีไปอยู่บ้านห้วยแร้
ง จนคลอดได้บุตรชายท่ามกลางท้
องไร่นั้น ชื่อว่า "เจ้าขุนใส" ปรากฏว่านายบ้านห้วยแร้งนั้
น เป็นพ่อครัวพญาเก้าเกื่อนมา
ก่อน จึงรับนางพญาแม่ท้าวคำปินแล
ะกุมารไปเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
อายุได้ 16 ปี ก็นำไปไหว้สาพญางำเมือง เมื่อพญางำเมืองเห็น ก็มีใจรักเอ็นดูรับเลี้ยงดู
ไว้ แลเติบใหญ่ได้เป็นขุนนาง รับใช้พญาคำเมืองจนเป็นที่โ
ปรดปราน พญางำเมืองจึงสถาปนาให้เป็น
เจ้าขุนใสยศ ครองเมือง เป็นเจ้าเมืองปราดภาย หลังมีกำลังพลมากขึ้นจึงยกท
ัพมาต่อสู้จนหลุดพ้นจากอำนา
จเมืองพะเยา แล้วกลับมาเป็นพญาเสวยเมือง
วรนคร (เมืองปัว) และได้รับการสถาปนาเป็น "พญาผานอง" เมืองวรนคร จึงกลายชื่อมาเป็น เมืองปัว ซึ่งหันไปมีความสัมพันธ์กับ
กรุงสุโขทัยในสมัยพ่อขุนราม
คำแหง ดังปรากฏชื่อเมืองปัวอยู่ใน
หลักศิลาจารึก หลักที่ 1
พญาผานองเสวยเมืองปัวอยู่ได
้ 30 ปี มีโอรส 6 คน คนแรกชื่อ เจ้าการเมือง คนสุดท้องชื่อ เจ้าใส พอพญาผานองถึงแก่พิราลัยไปแ
ล้ว เสนาอำมาตย์ทั้งหลายก็อภิเษ
กให้เจ้าใสผู้น้องเสวยเมือง
แทน เพราะเป็นผู้มีความรู้เฉลีย
วฉลาด แต่อยู่ได้ 3 ปี ก็ถึงแก่พิราลัยไปอีก เสนาอำมาตย์ทั้งหลายจึงเชิญ
เจ้าการเมือง ขึ้นเสวยเมืองแทน
ในสมัยของพญาการเมือง (กรานเมือง) โอรสของพญาผานอง เมืองปัว ได้มีการขยายตัวมากขึ้น ตลอดจนมีความสัมพันธ์กับเมื
องสุโขทัยอย่างใกล้ชิด
พงศาวดารเมืองน่านกล่าวถึงพ
ญาการเมืองว่า ได้รับเชิญจากเจ้าเมืองสุโข
ทัย (พระมหาธรรมราชาลิไท) ไปร่วมสร้างวัดหลวงอภัย (วัดอัมพวนาราม) ขากลับ เจ้าเมืองสุโขทัย ได้พระราชทานพระธาตุ 7 องค์ พระพิมพ์ทองคำ 20 องค์ พระพิมพ์เงิน 20 องค์ ให้กับพญาการเมืองมาบูชา ณ เมืองปัวด้วย
ครั้งนั้น พญาการเมือง ได้ปรึกษาพระมหาเถรธรรมบาล และได้เลือกสถานที่บรรจุพระ
บรมธาตุ จึงได้ก่อสร้างพระธาตุแช่แห
้งขึ้นที่บนภูเพียงแช่แห้ง ด้วยความเชื่อว่าเป็นที่เคย
บรรจุพระบรมธาตุมาแต่ปางก่อ
น ดอยภูเพียงแช่แห้งเป็นเนินไ
ม่สูงนัก ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเตี๋ยนกั
บน้ำลิง ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำน่า
น
จึงได้ระดมผู้คนก่อสร้างพระ
ธาตุแช่แห้งขึ้นที่เนินแล้ว
อัญเชิญพระบรมธาตุมาบรจุไว้
พร้อมทั้งได้อพยพผู้คนจากเม
ืองปัว ลงมาสร้างเมืองใหม่ที่บริเว
ณพระธาตุแช่แห้ง เรียกว่า "เวียงภูเพียงแช่แห้ง" เมือปี พ.ศ.1902 โดยมีพระธาตุแช่แห้งเป็นศูน
ย์กลางเมือง
(ข้อมูลจากเว็บไซต์ วิกิพีเดียไทยดอทคอม)
หมายเหตุ : อาจเป็นเพราะคนเมืองเหนือมั
กคุ้นเคยกับการออกเสียง ป แทนคำควบกล้ำ พร พล เช่นชาวภาคกลาง เมื่อแพร่ มักถูกเรียกว่า เมืองแป้ และเมืองพลัว จะถูกเรียกว่า เมืองปัว เช่นนี้แล
ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง อ.เชียงกลาง นั้น บังเอิญผ่านหน้า ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาปัว น้องผมจึงขอบันทึกภาพธนาคาร
สาขานี้ มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไท
ย ที่ไม่เหมือนสาขาใดก่อน
ระยะทางระหว่าง อ.ปัว กับ อ.เชียงกลาง นั้น ไม่ไกลเท่าใดนัก อีกไม่นาน สองคนพี่น้องได้มาถึง อ.เชียงกลาง ในอดีต เคยเป็น บก.ส่วนหน้าของกองกำลังทหาร
รบกับ ผกค.ในสมัยนั้นอีกด้วย
หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อกลา
งวันกับร้านอาหารตามสั่งหน้
าส่วนราชการประจำอำเภอแล้ว ได้ออกตระเวนชมบ้านชมเมืองจ
นถึงทางแยกหนึ่งมีป้ายชี้บอ
กทางไปยังวัดหนองแดง จึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปชมท
ันที
วัดหนองแดง เป็นวัดเก่าโบราณของไทยลื้อ
ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบไทยลื้อ โดยช่างชาวไทยลื้อ (แคว้นสิบสองปันนา) สร้างมาประมาณ 200 กว่าปี มีการบูรณะหลายครั้ง แต่ยังคงรูปร่างลักษณะเดิมไ
ว้มาก
ตัวอาคารผนัง สร้างด้วยอิฐก่อ หนาประมาณ 50 เซนติเมตร สูงประมาณ 3.00 เมตร ผนังก่อเรียบ หน้าต่างสันนิษฐานว่า เจาะเพิ่มเติมและใส่บานทีหล
ัง
ลักษณะรูปทรงหลังคา ตอนล่างลาดคลุมทั้งสี่ด้าน ตอนบนทรงจั่วตัด แบบวิหาร ทรงโรง ด้านหน้าลาดชายคาทิ้งต่อลงม
าคลุมมุขหน้า และตั้งเสารับเป็นแถวสามเสา
มีที่นั่งตรงเฉลียง อิฐก่อครึ่งแผ่น สูง 50 ซม. พื้นมุขหน้าลดลงมาจากพื้นพร
ะอุโบสถ ประมาณสองขั้นบันใด
ด้านข้างทิศเหนือ ต่อชายคาออกมาคลุมทรงประตูเ
ล็กน้อย และเปิดทางออก เช่นเดียวกับด้านหลัง ซึ่งใช้ลักษณะต่อชายคา ออกมาคลุมเช่นเดียวกัน
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป
็นโบราณสถานเมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม 2524
ข้อมูลจาก สำนักงานจังหวัดน่าน
"ลุกไหนมานิ ? กิ๋นข้าวมาล่ะยัง มากิ๋นตวยกั๋นก่ะ" เสียงทักทายจากกลุ่มแม่บ้าน
ที่อยู่เฝ้าบริเวณวัดที่กำล
ังอิ่มอร่อยกับมื้อกลางวันน
ั้นทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากา
ศอันเอื้ออาทรในยามเด็กขึ้น
มาทันที
หลังจากได้ปฏิเสธไปเพราะเพิ่
่งอิ่มมื้อกลางวันไปแล้ว ยังได้ยินคำเชิญให้ดื่มน้ำค
ลายร้อนจากแดดที่กำลังแผดเผ
าอีกแน่ะ
จากรูปลักษณะอาคารของวัดและ
เจดีย์ที่ปรากฎอยู่ ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศในภาพ
ถ่ายแคว้นสิบสองปันนา
ประวัติความเป็นมาของวัดครั
บ
ขอเข้าไปนมัสการพระประธานใน
โบสถ์พื่อความเป็นศิริมงคลต
ามธรรมเนียม
พี่น้องชาวไตลื้อให้ความนับ
ถือเมล็ดข้าวมาก อันเป็นธัญญาหารให้ชีวิตแก่
สรรพสิ่ง จึงไม่แปลกใจ ที่มีรูปปั้นเมล็ดข้าวนี้เพ
ื่อบูชา
จากคำบอกของแม่บ้านที่เฝ้าว
ัดว่ามีเฮินโนราณไตลื้อตั้ง
อยู่บริเวณด้านหลัง น่าเข้าไปชมด้วย เป็นอันว่าไม่ผิดหวังล่ะ หลังจากที่พลาดโอกาสไปเมื่อ
ช่วงเช้าที่วัดภูเก็ต อ.ปัว
ก่อนอื่นใด ต้องเจอเสาแหล่งหมานี้ก่อน อันถือว่า เป็นกริ่งประจำบ้านสมัยโบรา
ณให้เจ้าของได้รู้ว่ามีใครม
าหา (แหล่ง = ล่ามเชือกผูก ถ้าหมาดุ)
จากนั้น จะเจอ "แง๊บคันได" (ประตูปิดบันไดบ้าน) ซึ่งจะเปิดเมื่อเจ้าของบ้าน
อนุญาตแล้ว
เจ้าของบ้าน จะมีที่นั่งประจำอยู่ "แป้นต่อง" เวลามีแขกมาหา หรือเฝ้าลูกสาวสวยแล้วแต่กร
ณี
ขอเป็นนายแบบประกอบ หากมี "แลว" (ดาบ) วางไว้ใกล้ตัว จะเห็นภาพได้ดีกว่านี้
พอถึงเวลาอาหาร พ่อแม่จะไปทานบนยกพื้นซึ่งล
ูกหลานจัดหาให้
หากบ้านใดลูกหลานหุงหาอาหาร
ไม่เป็น จะถูกติฉินนินทา อับอายไปทั้งหมู่บ้านนั่นแห
ละ เรียกว่าจำหน่ายไม่ออกทีเดี
ยว
จากโบมไม้ที่แขวนอยู่ ทำให้ทราบว่าพี่น้องที่นี่ชอบทานข้าวเหนียว
สมัยเด็ก ผมเคยถูกยายใช้ให้คนข้าวที่ปล
ดจากไหนึ่งเทลงโบมให้คลายคว
ามร้อนก่อนนำลงก่องข้าวไว้ท
านต่อไป คิดถึงยามนั้นจริงๆ
ใกล้ชานเรือน จะมี "ฮ้านน้ำหม้อ" (ชั้นวางโอ่งน้ำกิน) เป็นเป็นแหล่งน้ำดื่มประจำบ
้าน พร้อมกระบวยที่แขวนอยู่ข้าง
ๆ
จะให้เหมาะ ต้องเป็นโอ่งดินเผา เพื่อให้น้ำซึมออกมาระบายคว
ามร้อนแฝง ยิ่งเป็นโอ่งทีมีคราบตะไคร่
น้ำเกาะด้วย น้ำยิ่งเย็นเวลาดื่มโดยเฉพา
ะหน้าร้อน จะมีใบหรือสองใบก็แล้วแต่ หากมีน้อยใบ ต้องขยันตักน้ำใส่โอ่งเท่าน
ั้นเอง
ใต้ฮ้านน้ำหม้อ มิได้ว่างโดยเปล่าประโยชน์ จะมี "ฮ้านผักกินม่อ" (รางไม้ปลูกพืชผักสวนครัว) ไว้ด้วย ซึ่งน้ำที่รด มาจากน้ำที่เหลือในกระบวยนั
่นแหละ ผักที่ปลูก นำไปประกอบอาหารประจำวันได้
โดยไม่ต้องออกไปซื้อหาตามตล
าด เรียกว่าคุ้มค่า ไม่เสียประโยชน์จริงๆ
ในภาพ ชั้นปลูกพืชผักสวนครัวถูกนำ
ออกไปแล้ว เพราะไม่มีใครอยู่คอยรดน้ำใ
ห้ทุกวัน
เรือนข้างล่าง หรือใต้ถุนบ้าน จะเป็นที่ตั้งของ "มองตำข้าว" หรือครกกระเดื่อง เพราะสมัยก่อน ต้องตำข้าวกินเอง มาวายตอนที่โรงสีข้าว มามีบทบาทสำคัญในหมู่บ้านนั่นแหละ และกลายเป็นข้าวสารถุงในที่สุด
ขอเก็บภาพส่งท้ายก่อนกลับมา
ยัง อ.ปัว ครับ
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปชมเทศกา
ลขึ้นปีใหม่ของพี่น้องชาวม้
ง ที่ ต.ป่ากลาง แต่เห็นว่าคงไม่สะดวก เพราะผู้คนต่างไปชุมนุมกันท
ี่นั่น เลยมุ่งหน้าต่อไปยังวัดชัยม
งคล (วัดก๋ง) ต.ยม ปลายเขต อ.ท่าวังผา อันเป็นแหล่งสะสมเครื่องมือ
ของใช้ประจำวันของพี่น้องขา
วบ้าน จนสามารถตั้งพิพิธภัณฑ์พื้น
บ้าน เรียกนักท่องเที่ยวทั่วสารท
ิศเข้าไปชมดีกว่า
วัดศรีมงคล (วัดก๋ง) ตั้งอยู่ที่ ต.ยม อ.ท่าวังผา จ.น่าน เป็นวัดเก่าแก่ที่ได้รับพระ
ราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่ป
ี พ.ศ.2395 พระสงฆ์ที่มีชื่อที่สุดของว
ัดนี้คือ หลวงปู่ก๋ง (พระครูมงคลรังสี) เป็นพระสงฆ์ที่ชาวบ้านในแถบ
นี้ต่างให้ความเคารพนับถือ
เมื่อปี พ.ศ.2474 คณะศรัทธาชาวบ้านก๋งได้นิมน
ต์หลวงปู่มาอยู่ประจำที่วัด
บ้านก๋ง ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้าง ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา
เมื่อหลวงปู่ก๋งรับนิมนต์มา
อยู่วัดบ้านก๋ง ก็ได้เริ่มพัฒนาวัดโดยชักชว
นชาวบ้านบูรณะซ่อมแซมและสร้
างกุฏิ วิหาร อุโบสถ ฯลฯ รวมถึงอบรมสั่งสอนชาวบ้านให
้หมั่นเข้าวัด รักษาศีล ฟังธรรม มีความสามัคคี จนชาวบ้านต่างเคารพศรัทธา และวัดบ้านก๋งก็มีความเจริญ
รุ่งเรืองสืบมา
หลวงปู่ได้มรณภาพเมื่อ พ.ศ.2532 สิริรวมอายุ 88 ปี พรรษา 67
ปัจจุบันเจ้าอาวาสวัดบ้านก๋
ง คือ พระครูรังสีธรรมานันท์ ที่พัฒนาวัดบ้านก๋งสืบต่อมา
นอกจากจะเป็นแหล่งเผยแผ่พุท
ธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล
้ว ยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวท
ี่สำคัญของของ อ.ท่าวังผา เนื่องจากความงดงามของวัดแล
ะทิวทัศน์โดยรอบ
มี “พิพิธภัณฑ์มงคลธรรมรังสี” (หอคำหลวง) เป็นเรือนไม้สักทองทรงล้านน
า เมื่อขึ้นไปชมด้านบนจะได้พบ
กับหุ่นเหมือนหลวงปู่ก๋ง และข้าวของโบราณล้ำค่าต่างๆ
อาทิ พระพุทธรูป ตู้พระธรรม อาวุธ หม้อไหโบราณ ใบเกิดของคนล้านนาโบราณที่จ
ารึกบนใบลาน เป็นต้น
ด้านหน้ายังเป็นที่ตั้งของก
ระท่อมไม้ไผ่ ชื่อว่า "เฮือนมะเก่า" (เรือนโบราณ) ภายในบ้านมีข้าวของเครื่องใ
ช้โบราณ สามารถเข้าไปชมและถ่ายภาพได้
ไก่ตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้ ใส่สุ่มจะขังไว้ได้หรือ ?
ขอรำลึกถึงยามเด็กสักเล็กน้
อย แต่เป็น "มองตำข้าว" ที่บ้านเพื่อนนะ
สุขสันต์ย้อนวัยเต็มที่ล่ะ ฮ่า...
บรรยากาศย้อนยุคแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงที่บ้านยาย ซึ่งประดับด้วยเขาสัตว์แทบท
ุกต้นในบ้าน
มองจนเพลิน ฟังเสียงนาฬิกาไขลานติดต้นเ
สา ประกอบกับกระจกหลากสีเหนือบ
านประตู เผลอหลับไปแทบไม่รู้ตัว
ท้องนายามแล้ง มองเห็นทิวเขาภูคาอยู่ลิบๆ เลยจากนั้นเป็นเขต อ.สันติสุข จ.น่าน
บริเวณ "กาดอาเขต" จะสวยงามเรียกนักท่องเที่ยว
ช่วงเข้าหน้าฝนครับ
ขอโพสต์ที่หน้าร้านกาแฟสด "ฮักนาน่าน" สักหน่อย
กับเกวียนเมืองน่าน ซึ่งตัวเรือนเกวียนในแต่ละจ
ังหวัดทางภาคเหนือจะแตกต่างกัน ลองพิจารณาดูให้ดีเถิด
ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด
เราก็เข้าไปยังอุโบสถบ้างสิ
คงเพิ่งผ่านพิธีสวดมนต์ข้าม
ปีไปไม่กี่วันนี้เอง
ขอนมัสการพระประธานในวัดเพื
่อเป็นศิริมงคลตลอดปีใหม่ 2563
ตามคำขอของนางแบบครับ
เก็บภาพสุดท้ายสำหรับตัวเอง
และรับประทานมื้อเย็นจากร้า
นอาหารตามสั่งซึ่งตั้งอยู่ใ
กล้วัดนั่นแหละ ร้านอาหารติดแอร์ด้วยนะเออ.
.. ทำเป็นเล่นไป
ขากลับผ่านวังศิลาแลง - ฝายแก้ง แต่ขอรายการนี้ไว้ทีหลัง ผ่านไปตามถนนลูกรังขึ้นเนิน
ระหว่างสวนลำไยของชาวบ้าน ไปหยุดที่ลานพระธาตุศิลาแลง
พระธาตุศิลาแลง ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2546 เวลา 11.55 น. ได้ทำการบรรจุพระอรหันตธาตุ
วัตถุมงคลตลอดกิ่งไม้มงคล 9 อย่าง ลงไว้ใต้ฐานองค์พระเจดีย์ โดยมีนายอำเภอปัว เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2547 ได้ประกอบพิธีบรรจุพระพิมพ์
ดินเผา จำนวน 84,000 องค์ ไว้ในองค์พระเจดีย์ โดยมี พล.ท.เชิดชัย สร้อยทอง เป็นประธาน
วันที่ 26 ธันวาคม 2547 ได้บรรจุพระไตรปิฎก โดยมีนายศักดิ์ชัย จ.ผลิต เป็นประธาน
วันที่ 2 ธันวาคม 2548 ทำพิธียกฉัตร บรรจุพระอรหันตธาตุและอัญเช
ิญพระพุทธรูป จำนวน 8 องค์ เข้าประดิษฐานในซุ้มตามทิศท
ั้ง 8 ทิศ ขององค์พระเจดีย์ โดยมี พ.อ.บุญสิน นนทิจันทร์ ผบ.นพค.11 สทภ.3 เป็นประธาน
วันมาฆบูชาที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 11.09 น.ได้ประกอบพิธียกฉัตรและบร
รจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยนายมนตรี ชัยกาญจนกิจ นายอำเภอปัว เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
ในการประกอบพิธีทุกครั้ง ได้รับความเมตตาจาก พระเดชพระคุณ พระเทพนันทาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดน่าน เป็นประธาน พระครูวิทิตพิพัฒนาภรณ์ (ครูบามนตรี ธมฺมเมธี) วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี จ.แพร่ พระศรีสิทธิมุณี (พระมหาผล อาภากโร ป.ธ.9) วัดสังเวชวิศยาราม กรุงเทพมหานคร เป็นประธานอุปถัมป์ พระครูสุภัทรนันทคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าเหมือด เป็นประธานดำเนินงาน พร้อมพระภิกษุสามเณร กำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต.ศิลาแลง พร้อมพุทธศาสนิกชน นำโดยนายฐิติ วิริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บ้านพิณธนา อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ ร่วมกันก่อสร้างจนแล้วเสร็จ
โดยมีนายบุญช่วย ช่างเหล็ก บ้านหัวน้ำ ต.ศิลาแลง เป็นนายช่างดำเนินการก่อสร้
างตั้งแต่แรกจนสำเร็จ
ผมคิดว่าช่างปั้นสิงห์เฝ้าอ
งค์พระธาตุ ฝีมือไม่เบาเลย
ไม่ได้โฆษณารถยนต์นะครับ เพราะมีอายุใช้งานร่วม 10 ปีแล้ว แค่จอดประกอบฉากเท่านั้นเอง
เหอๆ
ถึงคราวช่างภาพ ถูกบันทึกไว้เป็นที่ระลึกบ้
างสิ
ต้นดิ๊กเดียม อันเป็นลูกหลานถูกเพาะเลี้ย
งจากต้นเดิมที่แพะเมืองผี จ.แพร่
ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gordenia turgid Roxb
ชื่อ : กระเบียน กระดานพน จิ๊เดียม มะกอกพราน มุ่ยแดง หมุยขาว กอกฟานซ้อม
ลักษณะต้น : เป็นต้นไม้ยืนต้นสูง 4-10 เมตร เปลือกต้นและกิ่งจะมีสีน้ำต
าลออกหม่นๆ และมีลักษณะตะปุ่ม ตะป่ำ ตามกิ่งจะมีหนามแหลม เป็นแบบ Thorn
ใบ : ใบเดี่ยว ยาว 3-10 เซนติเมตร รูปไข่กลับหรือรูปซ้อนใบสีเ
ขียวเข้ม เส้นใบสีเหลืองอมเขียว ออกตรงข้ามและจะออกเป็นกระจ
ุก 1-3 ใบ
ดอก : ดอกเดียว ออกเป็นกระจุกตามกิ่ง ดอกมีสีขาวครีม เป็นดอกที่สมบูรณ์เพศ รังไขเป็นแบบ Inferior ovary มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกจะบานประมาณเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม ดอกจะทยอยบานใช้เวลาประมาณ 10 วัน จึงร่วงหมดต้น
ผล : มีลักษณะกลมขนาด 2-2.5 เซนติเมตร ผิวผลอ่อนจะมีขนนุ่มสีน้ำตา
ลเข้ม ภายในมีเมล็ดขนาดเล็ก จำนวนมาก
ต้นดิกเดียม ในตำรับยาพื้นบ้านล้านนา
การสอบถามและสัมภาษณ์คนเก่า
คนแก่ในท้องที่ อ.ปัว จ.น่าน เกี่ยวกับต้นดิ๊กเดียมว่า รู้จักมาตั้งแต่เด็ก มีอายุถึงปัจจุบันประมาณ 100 ปีเศษ โดยการเล่าขานสืบต่อกันมา เป็นต้นไม้ที่ “หมอเมือง” (หมอพื้นเมือง) ใช้เป็นยารักษาโรค และเขียนไว้ในตำรายาพื้นบ้า
น ทุกส่วนของต้นดิกเดียว ทั้งราก ลำต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโร
คได้
เสน่ห์ของต้นดิ๊กเดียม ถ้ามีการเกา (ขูด) หรือถูกหยิก จะพบว่ากิ่งก้านบางกิ่งที่ต
อบสนองต่อสิ่งเร้า จะมีการสั่นระริก
สำหรับคนเดินป่าอีกประการหน
ึ่ง คือ เวลาออกดอก ใบจะร่วงเกือบหมดต้น จะส่งกลิ่นหอมเย็นๆ ในช่วงพลบค่ำ จนถึงรุ่งเช้า ดอกที่บานจะทยอยร่วงสู่พื้น
และดอกใหม่จะทยอยร่วงอีก ในช่วงพลบค่ำ เป็นเช่นนี้จนดอกบานหมดต้น
การขยายพันธ์ุ
พบทั่วไปในอินเดีย พม่า ซึ่งขึ้นประปรายตามป่าผลัดใ
บ ขยายพันธ์ุโดยการตอนกิ่ง สกัดราก
ประโยชน์
เนื้อไม้ ใช้ทำเครื่องเรือน
เปลือกต้น แก้ริดสีดวงทวาร
ราก แก้เสมหะเป็นพิษ แก้อาการไม่ย่อย ในเด็ก แก้พิษสุนักบ้า ใช้คุมกำเนิด
ใบ ตำพอกรักษาแผลสด
ดอก กินฆ่าพยาธิ์ ขยี้ทาแก้กลากเกลื้อน
ผล กินได้
น้ำมันในเมล็ด ทาแก้แผลมะเร็ง โรคเรื้อน
ดิ๊กเดียม ในตำรายาสมุนไพรล้านนา
ตำรายาสมุนไพรของชาวไทยล้าน
นาภาคเหนือ นิยมบันทึกไว้ในใบลานขนาดสั
้นหรือ "ปั๊ปสา" (สมุดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในอดีต ทำด้วยกระดาษสา) นั้น ชื่อของต้นดิ๊กเดียม เช่น ดิเดียม ดิบเดียม ดิกดอย ดิกเดียม
แต่ส่วนมากนิยมเรียกว่า ดิ๊กเดียม ดังปรากฏในใบลาน เช่น ยาขางสินบาดบนลูก สินบาดไฟ สินบาดลูกในเดือนไฟ หญ้าเยี่ยวหมู อ้อยดำ
ดิ๊กเดียม ลูกฝ้ายดิบ รากคา เอาเท่ากัน ตำแล้ว เอารางเย็น ชะเอม หอยทละ ฝนใส่ “น้ำข้าวจ้าว” ยาขางราก ขางซาง ขางลิดสีดวง ขางไฟ ขางเข้าใส่ ขางเลือด
“เอาถ่านไฟผี รากหมากดูก รางปา เรียวหมอง รากผักคันถง อ้อยช้าง รางเย็น งาช้างนอแรด เขาเยือง ฝนใส่น้ำข้าวจ้าวกินแล….. เป็นขางเลือด หื้อแถบ รากดิ๊กเดียม รากหมากแคว้งเข้าแถบ ”
Cr.เพจพระองค์ครู ไตรเทพ ไกรงู ,ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
https://
watprangschool.blogspot.com
/
เมื่อเจอของหาดูได้ยากแบบนี
้ ต่างคนต่างผลัดเข้าไปสัมผัส
ไปชมอย่างใกล้ชิดล่ะ
ผมลองเกากิ่งต้นดิ๊กเดีนมนี
ไม่ปรากฎอาการแฮะ อาจเป็นเพราะในช่วงนั้นมีลม
พัดก็ได้
จึงชวนกันกลับมาดูวังศิลาแล
ง - ฝายแก้ง ดีกว่า
วังศิลาแลง ได้รับการขนานนามให้เป็น “แกรนด์แคนยอนเมืองปัว” มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลผ่านซ
อกหินผาที่ลำน้ำกูนไหลผ่าน และกัดเซาะจนเป็นร่องรอยตาม
การหมุนวนของน้ำ
วังศิลาแลง มีอีกชื่อเรียกว่า "วังบอก" ที่ชาวบ้านเรียกขานกันนานมา
สาเหตุที่เรียกตามลักษณะของ
หิน ที่เป็นช่องทรงกระบอก ทำให้ชาวบ้านเรียกตามกันเรื
่อยมาว่า "วังบอก" แล้วภายหลังก็เปลี่ยนเป็นชื
่อ "วังศิลาแลง" นั่นเอง
เมื่อปี 2554 เกิดอุทกภัยน้ำป่า พักให้ฝายกั้นลำน้ำกูน ที่หล่อเลี้ยงฃุมชนบ้านหัวน
้ำ ต.ศิลาแลง อ.ปัว พังทลาย
ทางกลุ่มอนุรักษ์ป่าศิลาแลง
ซึ่งเป็นชุมชนท้องถิ่นที่เข
้มแข็ง ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดซ่อมแซมฝายแห่งนี้กลับใช
้งานได้อีกครั้งหนึ่ง นับเป็นผลงานที่ภาคภูมิใจ จนได้รับรางวัลลูกโลกสีเขีย
ว ประจำปี 2543
บอร์ดสรุปคำบรรยาย ที่ทำไว้ต้อนรับคณะดูงาน ยังคงอยู่ให้เห็นครับ
อีกมุมมองกับ "โขมง" ซึ่งผมขอเดาไว้ก่อนว่า เป็นคำท้องถิ่นเรียกสะพานข้
ามหัวยกุนที่มีหลังคามุงอยู
่ครับ
ชัดๆ กับ "โขมง" แห่งนี้
น้องขอให้ผมขับรถกลับที่พัก
เอง ส่วนเจ้าตัวนั้น ขอเดินเลาะตามทุ่งเก็บภาพริมทางไปเรื่อยๆ จนถึงที่พัก
ฝีมือจากน้องผม
ภาพสุดท้ายของฝายแก้ง ในเย็นวันนั้น
ขอพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อย
มองทวนแสงไปยังที่พักยามเย็
น
อีกรูปแบบของที่พัก แต่น้องผมชอบบรรยากาศแบบกระ
ต๊อบมากกว่า
Create Date : 22 มิถุนายน 2563
Last Update : 22 มิถุนายน 2563 10:46:21 น.
4 comments
Counter : 1618 Pageviews.
Share
Tweet
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณKavanich96
,
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย:
Kavanich96
วันที่: 23 มิถุนายน 2563 เวลา:4:27:01 น.
ครับผม
โดย:
owl2
วันที่: 23 มิถุนายน 2563 เวลา:7:28:50 น.
ไปเที่ยววัดภูเก็ตหน้าฝนได้บรรยากาศเขียวๆสวยมากครับ
โดย:
ทนายอ้วน
วันที่: 23 มิถุนายน 2563 เวลา:14:26:29 น.
ผมคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะรูปที่เห็นส่วนใหญ่มักเป็นรูปในช่วงหน้าฝนแทบทั้งนั้นครับ
โดย:
owl2
วันที่: 23 มิถุนายน 2563 เวลา:19:05:02 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [
?
]
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add owl2's blog to your web]
Links
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.