ผลงานกับค่าตอบแทน

เคยสงสัยมั้ยครับว่าลักษณะการให้ค่าตอบแทนแบบไหนที่จูงใจพนักงานได้ดีที่สุด คำว่าจูงใจในที่นี้ก็คือ การทำให้พนักงานรู้สึกว่าอยากทำผลงานให้ดีขึ้นกว่าวันนี้ เครื่องมือในการบริหารค่าตอบแทนตัวไหนที่น่าจะตอบแทนผลงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

• เงินเดือน คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเงินเดือนสามารถจูงใจให้พนักงานสร้างผลงานที่ดีขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเงินเดือนมันเอง ไม่ได้จูงใจให้พนักงานอยากทำงานให้ดีขึ้นเลยครับ แต่เงินเดือนเป็นแค่เพียงสิ่งตอบแทนในการทำงานที่พนักงานทำอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ลองคิดดูสิครับ ในแต่ละวันที่พนักงานทุ่มเททำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือวันที่พนักงานขี้เกียจสุดๆ ไม่อยากทำงาน เขาก็ยังคงได้รับเงินเดือนเท่าเดิม ดังนั้นเงินเดือนจะสามารถจูงใจได้ในระยะแรกๆ เท่านั้นที่ได้รับ หลังจากที่พนักงานได้รับในอัตราที่ตนเองอยากได้แล้ว แรงจูงใจจากเงินก้อนนี้ก็จะหมดไป

• การขึ้นเงินเดือนตามผลงาน เครื่องมือนี้น่าจะจูงใจพนักงานให้ทำผลงานได้ชัดเจนขึ้น เพราะเราผูกผลงานของพนักงานแต่ละคนให้เชื่อมกับอัตราการขึ้นเงินเดือน กล่าวคือ ถ้าพนักงานขยันขันแข็ง และสามารถสร้างผลงานที่ดีในปีที่ผ่านมา ก็จะมีการให้รางวัลผลงานโดยผูกไปกับการขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงาน แต่ข้อจำกัดของการขึ้นเงินเดือนก็คือ จะทำให้บริษัทมีภาระในการบริหารเงินเดือนซึ่งถือเป็น Fixed cost ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ถ้าเราเน้นไปที่การขึ้นเงินเดือนเพียงอย่างเดียวที่จะเป็นรางวัลผลงานพนักงาน

• โบนัสตามผลงาน พอการขึ้นเงินเดือนมีข้อจำกัดมากขึ้น ก็เลยหันมาจูงใจผลงานพนักงานด้วยอีกเครื่องมือหนึ่ง ก็คือ โบนัสตามผลงาน ซึ่งเครื่องมือนี้จะมีข้อดีตรงที่ ไม่เป็น Fixed cost ที่ทำให้ภาระในการบริหารค่าตอบแทนขององค์กรสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่จะเป็นเครื่องมือที่สามารถตอบโจทย์เรื่องของผลงานได้ดีกว่าการขึ้นเงินเดือน โดยเฉพาะถ้าผูกผลประกอบการของบริษัทกับโบนัส และมีการสื่อความให้พนักงานทราบว่า ถ้าช่วยกันทำงานจนบริษัทบรรลุเป้าหมายที่กำหนด ก็จะได้รับโบนัสในจำนวนหนึ่งๆ เป็นเงินจูงใจในการทำงาน ซึ่งในปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่หันมาใช้เครื่องมือตัวนี้ในการกระตุ้นการสร้างผลงานของพนักงานได้ดีกว่าการขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงาน

• Incentive ตามผลงาน เครื่องมือตัวสุดท้ายที่มักจะใช้กันมากสำหรับการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำผลงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ ค่าจ้างจูงใจ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Incentive ตามผลงานนั่นเองครับ เครื่องมือนี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานได้ตรงมากที่สุด เพราะเราใช้ปริมาณผลงานที่พนักงานทำได้มาเป็นตัวคำนวณ Incentive ให้พนักงาน พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าพนักงานทำงานได้สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่วนที่ได้มากกว่านั้นจะมีการคิดค่าจ้างจูงใจเพิ่มเติมให้ เพื่อให้พนักงานอยากที่จะสร้างผลงานให้ดีขึ้นไปอีก

ดังนั้นการที่บริษัทจะสร้างระบบค่าตอบแทนให้กระตุ้นการสร้างผลงานของพนักงานให้ได้ผลนั้น ตัวเงินเดือน และการขึ้นเงินเดือนเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอครับ จะต้องมีค่าตอบแทนเสริมอย่างอื่นด้วย เช่น โบนัสตามผลงาน หรือ Incentive ตามผลงานครับ แต่เครื่องมือที่เรียกว่า Incentive นั้นอาจจะสร้างยากหน่อยนะครับ อาจจะต้องมีข้อมูลต้นทุนการทำงาน และข้อมูลผลงานพนักงานที่ออกมา รวมทั้งเป้าหมายที่อยากให้ทำด้วย เพื่อที่จะได้คำนวณออกมาแล้วบริษัทไม่ขาดทุนครับผม

แต่เชื่อมั้ยครับ บางบริษัทมีค่าตอบแทนในรูปแบบต่างๆ มากมาย แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในการสร้างผลงานได้เลย แต่บางบริษัทมีแค่เงินเดือนกับโบนัส แต่กลับสามารถที่จะกระตุ้นให้พนักงานอยากสร้างผลงานที่ดีขึ้นอยู่เสมอ เพราะอะไรทราบหรือไม่ครับ

คำตอบก็คือ วิธีการจ่ายนั่นเองครับ ปัจจุบันนี้ วิธีการจ่ายแบบเท่าๆ กันหมดนั้น เริ่มไม่ค่อยมีใครเขาใช้กันแล้วครับ เพราะว่าไม่สะท้อนผลงานนั่นเอง แม้ว่าบริษัทจะให้ค่าตอบแทนที่สูงมากๆ แต่ถ้าให้เท่าๆ กันโดยไม่สนใจผลงานพนักงาน รับรองได้เลยครับว่า ไม่สามารถที่จะสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำผลงานให้โดดเด่นได้เลยครับ เพราะทำมาก หรือทำน้อย ก็ได้เท่ากันไปหมด (แล้วจะทำไปทำไม)

ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เราสร้างระบบค่าตอบแทนโดยผูกกับผลงาน เมื่อนั้น เราจะต้องมีเครื่องมือวัดผลงานที่ชัดเจน และจะต้องจ่ายให้สอดคล้องกับผลงานจริงๆ โดยไม่สนใจเรื่องของอายุตัว อายุงานมากนัก สนแต่ว่า ผลงานของใครที่ออกมาดีกว่ากันมากกว่า เพื่อที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กรให้หันมาสร้างผลงานกันอย่างจริงๆ จังๆ

มิฉะนั้นแล้วบริษัทจะต้องเสียต้นทุนทางด้านค่าจ้างที่สูงขึ้นทุกปี โดยที่ไม่มีมูลค่าเพิ่มทางด้านผลงานที่สูงขึ้นไปด้วย

Create Date : 01 สิงหาคม 2554		0 comments
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 6:13:26 น.
Counter : 1294 Pageviews.
Share Tweet