ไม่รู้ว่าซ้ำรอย "แก้ว พงษ์ประยูร" หรือเปล่า กับการประกวดมิสเวิลด์ 2012 ที่สาวงามจากเมืองไทย "วัลเณซ่า เมืองโคตร" เพราะดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลในเวทีขาอ่อนระดับโลก โดยมีกระแสโจมตีผ่านโลกออนไลน์ กระหน่ำทั้งเว็บไซต์ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งของไทยและต่างประเทศ
โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กจากแฟนเพจของมิสไทยแลนด์เวิลด์และมิสเวิลด์ ที่มีทั้งโพสต์และคอมเมนต์แสดงความไม่พอใจ เมื่อประเทศ "เจ้าภาพ" น.ส.หยู เวินเซียะ ได้ตำแหน่งเสียเอง กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ที่หลายคนมองว่าไม่เหมาะสม เพราะสาวงามชาวจีนผู้นี้พูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง โดยในรอบตัดสินช่วงกลางคืน เธอทักทายด้วยคำว่า กู๊ดมอร์นิ่ง (Good Morning)
เบื้องลึกเบื้องหลังการประกวดครั้งนี้มีเรื่องวุ่นๆ อย่างไรบ้าง ผู้ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดคือตัวแทนประเทศไทย น.ส.วัลเณซ่า เมืองโคตร หรือ ณฉัตร มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 ที่เดินทางไปเก็บตัว ณ อินเนอร์มองโกเลีย ในเขตปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม - 18 สิงหาคม เป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ
"ในวันที่เดินทางถึงโรงแรมคราวน์ พลาซ่า เมืองออร์โดส สถานที่หลักในการเก็บตัว ณฉัตรหาพี่เลี้ยงไม่เจอ ต้องนั่งรอจนเริ่มดึกมาก จึงถามคนอื่นจนรู้ว่าพักห้องเดียวกับผู้เข้าประกวดจากเกาหลีใต้ ซึ่งในการประกวดพี่เลี้ยงต้องดูแลผู้เข้าประกวด 6-7 ประเทศ แล้วไฟลต์ของณฉัตรช้ากว่าคนอื่นหนึ่งวัน จึงทำให้พี่เลี้ยงไปดูแลประเทศอื่นๆ เมื่อถึงห้องก็โชคดีที่เพื่อนเกาหลีใต้ให้ตารางกิจกรรมดูว่าวันต่อไปต้องทำอะไรบ้าง แต่โดยปกติแต่ละวันพี่เลี้ยงจะมาเคาะห้องบอกตารางกิจกรรมช่วงเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าประกวดส่วนใหญ่เข้านอนแล้ว" สาวงามจากประเทศไทย เล่าถึงวันแรกที่เริ่มเข้ากองประกวดมิสเวิลด์
ปัญหาหลักๆ ที่ทำให้ผู้เข้าประกวดไม่พอใจคือไม่มีใครรู้ตารางกิจกรรมล่วงหน้าจึงไม่สามารถคำนวณเวลาทำกิจธุระส่วนตัว หลังจากที่เคาะประตูบอกตารางกิจกรรมในวันถัดไปแล้ว ผู้เข้าประกวดจะได้พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าในเวลา 07.30 น. แต่หากวันไหนต้องเดินทางไปเมืองอื่นก็จะเลื่อนเวลาเร็วขึ้นเป็น 05.00 น.
"นอกจากเรื่องเวลาที่ไม่แน่นอนแล้ว กองประกวดมิสเวิลด์ยังเปลี่ยนสถานที่โดยไม่บอกล่วงหน้า หรือช่วงที่ต้องไปทำกิจกรรมที่ปักกิ่งมีกำหนดไปเพียง 4 วัน แต่กลับเดินทางไปเมืองฉางชุนต่อ นางงามก็ต้องใส่ชุดซ้ำเพราะเตรียมไปเพียง 4 วัน" ณฉัตรบอก แล้วเล่าต่อว่า เมื่อเดินทางกลับมาที่โรงแรมก็เจอปัญหาชุดราตรีหายอีก ซึ่งตอนแรกทางโรงแรมก็ยังไม่ดำเนินการให้ จึงบอกกับพี่เลี้ยงให้แจ้งกองประกวด แต่พี่เลี้ยงกลับไม่ได้แจ้ง จนต้องประสานกลับเมืองไทยให้ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล
ผู้จัดการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ ติดต่อให้กองประกวดช่วยติดตามชุดราตรีที่หายไปจนเจอปัญหาเรื่องการจัดการระบบของกองประกวดที่ดูจะไม่ค่อยมืออาชีพแล้ว ยังมีเรื่องความไม่ยุติธรรมในการประกวด โดยณฉัตรบอกว่า สิ่งที่ข้องใจคือการประกวดรางวัลพิเศษ "มิสเวิลด์ มัลติมีเดีย อวอร์ด" ที่ให้แต่ละประเทศทำแฟนเพจของตัวเองเพื่อโปรโมต ซึ่งหลังจากที่ดูแล้วแฟนเพจของเมืองไทยมีการกดไลค์ คอมเมนต์ และแชร์ลิ้งก์ ที่ณฉัตรทำ เป็นอันดับ 1 โดยมีเนปาลเป็นอันดับ 2 แต่ผู้ที่ได้ตำแหน่งกลับเป็นประเทศอินเดีย
"รู้สึกเสียกำลังใจมาก เพราะไม่รู้เลยว่าจะได้คะแนนจากตรงไหน กฎกติกาไม่ชัดเจน ไม่รู้กฎเกณฑ์การตัดสิน สำหรับผู้ที่ได้ตำแหน่งมิสเวิลด์ 2012 ณฉัตรมองว่าก็น่ารักดี แต่เรื่องความพร้อมประเทศอื่นๆ มีมากกว่า"
อีกหนึ่งรางวัลพิเศษ ที่ณฉัตรรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม คือ "มิส เวิลด์ แฟชั่น-ท็อป โมเดล" เพราะว่าตัวแทนจากประเทศไทยและอีกหลายประเทศ ได้สวมเพียง 1 ชุด เพื่อเดินอวดสายตากรรมการ ขณะที่ประเทศอื่นๆ ได้สวม 3 ชุด ซึ่งทางกองประกวดให้เหตุผลว่า ดีไซเนอร์จะเป็นคนเลือกว่าใครจะได้ใส่กี่ชุด
เมื่อเดินทางมาถึงครึ่งทาง ณฉัตรยอมรับว่าเคยคิดเก็บกระเป๋ากลับบ้านเพราะมองว่าเวทีนี้เริ่มไม่ชอบมาพากล แต่สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจอยู่จนถึงรอบตัดสินเพราะ "แม่"
"หลังจากคุยกับแม่และอ่านข้อความให้กำลังใจต่างๆ จากคนไทย ณฉัตรก็คิดได้ว่ามาตรงนี้เพื่อทำหน้าที่แทนประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เวทีนี้ทำให้โตขึ้น มีความอดทน กล้าคิด กล้าพูดมากขึ้น สอนประสบการณ์ที่มีค่าให้เข้มแข็งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น"
แม้จะพลาดตำแหน่งสำคัญ แต่เธอก็พร้อมยอมรับ"ณฉัตรเคยเป็นนักกีฬามาก่อน แพ้มาเยอะ ครั้งนี้ไม่ได้เสียใจที่ไม่ได้มงกุฎ แต่เสียความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าแพ้เพราะอะไร เสียคะแนนตรงไหนก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ได้ไปโปรโมตประเทศไทยแก่สายตาชาวโลก แม้ไม่ได้มงกุฎแต่ได้พานักท่องเที่ยวกลับมาก็คุ้มค่ะ"
หลังจากการประกวดครั้งนี้ คงต้องลุ้นว่าจะได้เชียร์ตัวแทนประเทศไทยในการประกวดมิสเวิลด์อีกหรือไม่ เพราะ "ณวัฒน์ อิสรไกรศีล" เปรยไว้ว่าไม่อยากเห็นผู้หญิงไทยร้องไห้เพราะเวทีนี้อีกแล้ว
ที่มามติชน
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [