“จุฑารัตน์ มณีธาดา” สาวผิวสวย จากเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2007 เธอคนนี้ แฟนสาวของ "เอกราช เก่งทุกทาง"


กลายเป็นข่าวเซอร์ไพรส์วงการอีกหนึ่งเรื่อง เมื่อ “เอกราช เก่งทุกทาง” เปิดตัวว่ากำลังคบหาอยู่กับสาวสวย ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงระดับนางงาม หลายคนแทบไม่เชื่อหู เพราะคาดไม่ถึงว่าผู้ชายที่ใครหลายคนมองว่า “ไม่หล่อ” จะมีแฟนสวยได้ขนาดนี้ พูดกันว่าผู้ประกาศข่าวผิวเข้มเอาชนะใจสาวได้เพราะคารมดี บ้างก็ว่าเป็นเพราะเขากระเป๋าหนัก จ่ายไม่อั้น เนื่องในสัปดาห์แห่งความรักอย่างนี้ เราจึงไม่พลาดโอกาส เป็นที่แรกที่ได้เปิดตัวและเปิดใจโฉมงาม “จุฑารัตน์ มณีธาดา” ให้รู้กันไปว่า อะไรทำให้ผู้หญิงสวยๆ อย่างเธอ แพ้เสน่ห์ผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง

หลังได้รับรางวัลสาวผิวสวย จากเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2007 และสิ้นสุดการทำกิจกรรมเพื่อสังคม เราก็แทบไม่ได้เห็นหน้า “นุช จุฑารัตน์ มณีธาดา” ทางหน้าจอโทรทัศน์อีกเลย เมื่อทีมงานโทรศัพท์ไปติดต่อขอสัมภาษณ์ คนปลายสายจึงมีน้ำเสียงลังเล ไม่แน่ใจว่าคนที่ไม่ใช่ดาราอย่างเธอ จะมีเรื่องราวอะไรในชีวิตที่คนอ่านอยากรู้ แต่พอได้ฟังคำอธิบายและรับรู้ว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้วางแผงในสัปดาห์แห่งวันวาเลนไทน์ เจ้าของเสียงหวานๆ จึงหันไปถามคนข้างๆ ว่า “เขาจะสัมภาษณ์นุช ได้มั้ยคะที่รัก?” เรานิ่งฟังด้วยใจระทึก ทันใดนั้นเสียงทุ้มๆ จากปลายสายก็ตอบกลับมาให้ได้ยินอยู่ไม่ไกลว่า “อื้ม ก็เอาสิ” สิ้นเสียงตอบตกลง เรามั่นใจว่าเสียงผู้ชายที่ได้ยินนั้น ไม่ได้มีแค่ทีมงานแน่ๆ ที่คุ้นหู แต่คือเสียงที่คนทั้งประเทศจะได้ยินทางทีวีอยู่ทุกๆ เช้า

ทีมงาน M-Lite นัดเจอ นุช จุฑารัตน์ ในบ่ายวันจันทร์ที่ร้านกาแฟบนอาคารมาลีนนท์ สถานที่ทำงานของหนุ่ย เอกราช ผู้ประกาศข่าวกีฬา นักพากย์ฟุตบอลเบอร์หนึ่งของเมืองไทยซึ่งคนทั้งประเทศรู้จักดี เธอบอกว่าจะมาเจอเราหลังทานข้าวกับแฟนหนุ่มเรียบร้อยแล้ว รอไม่กี่อึดใจทั้งคู่ก็มาถึง ฝ่ายหญิงแต่งหน้าบางๆ สวมเดรสสั้นสีชมพูอ่อน ส่วนฝ่ายชายใส่สูทเรียบร้อย เดินเคียงกันมา หลังจากทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ประกาศข่าวผิวเข้มจึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มให้แฟนสาว และปล่อยให้เราพูดคุยกันตามสบาย

“ขอถ่ายรูปคู่หน่อยได้มั้ยคะ” เราเอ่ยถามทันทีที่ฝ่ายชายเข้ามาเสิร์ฟนมอุ่นๆ ให้แก่หญิงสาว “เอ่อ... สักครู่นะครับ ขอตัวก่อน” คุณหนุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ แล้วเดินหายไป ทีมงานจึงหันมาเปิดบทสนทนากับสาวผิวขาวที่อยู่ตรงหน้าอยู่พักใหญ่ เพื่อลดอาการเกร็งของทั้งคนสัมภาษณ์และคนถูกสัมภาษณ์ คุยกันนานพอที่จะแน่ใจได้แล้วว่าวันนี้คงไม่ได้ภาพคู่ของคู่รักคู่นี้ เราจึงเริ่มเข้าเรื่อง


คบกันอย่างเปิดเผย

ถ้าไม่ได้ปาปารัซซี่มือดีถ่ายภาพทั้งคู่ออกเดตกันเอาไว้ คงมีคนไม่กี่หยิบมือที่รู้ว่า "หนุ่ย เอกราช เก่งทุกทาง" และ "นุช จุฑารัตน์ มณีธาดา" กำลังคบกันอยู่ในฐานะ “แฟน” เพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนในสังคมเท่าใดนัก แต่แล้วก็หนีความจริงไปไม่พ้น เมื่อเพื่อนร่วมงานอย่างสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวในสังกัดเดียวกัน หยิบเอาเรื่องนี้มาหยิกแกมหยอกอีกครั้งในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้คนทั้งประเทศได้รู้ความจริงอย่างเป็นทางการไปพร้อมๆ กัน เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถามว่าคนในข่าวอย่างนุชรู้สึกอย่างไรที่ถูกถ่ายภาพ จนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างระดับประเทศ เธอให้คำตอบว่า “รู้สึกเฉยๆ ค่ะ” พร้อมทั้งบอกเหตุผลแก่เราอย่างเปิดอก

“เราทั้งคู่ไม่ได้เป็นดารา เลยไม่เคยคิดว่าถูกถ่ายแล้วจะกระทบอะไรมากมาย ที่ถูกถ่ายคู่กับพี่เขาก็เคยเห็นบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีเยอะนะคะ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรกันมาก ถ้าบอกว่าคนอื่นไม่รู้ว่าเราสองคนคบกัน อาจจะหมายถึงคนทั้งประเทศมากกว่าที่ไม่รู้ เพราะคนอื่นที่เห็นก็น่าจะรู้นะ เราก็ไม่ได้ปิดบังอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดจะเปิดตัวมากมายค่ะ พอถูกถ่ายภาพเลยรู้สึกเฉยๆ มากกว่า เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีคนรู้จักหรือไม่รู้จัก เราก็คบกันปกติค่ะ”

“อีกอย่างภาพที่ถ่ายก็ไม่ได้ดูเสียหาย ไม่ใช่มาถ่ายตอนเรากระโปรงเปิด ถ้าเป็นอย่างนั้นถึงจะอับอายค่ะ ปกติแค่ยกขาพลาดนิดนึงก็รู้สึกแย่แล้ว ถ้าถูกถ่ายช้อนใต้กระโปรงคงเครียด เพราะเราไม่ได้อยากให้ใครเห็นส่วนนั้นไงคะ แต่ภาพที่ถูกแอบถ่ายคือภาพที่ไปกินข้าวกัน ก็เป็นเรื่องปกติค่ะ เราก็ใช้ชีวิตเป็นแฟนกันเหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ยให้มีคนมาถ่ายโปรโมตเป็นคู่รักกัน คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกเนอะ เราไม่ใช่ดารา แค่เป็นคนที่ชอบงานในวงการ ไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์ที่เดินไปไหนก็จะต้องถูกถ่าย”

แล้วตกลงเจอกันได้อย่างไร? เรายิงคำถามเข้าประเด็นทันที เพราะคิดว่าหลายคนคงอยากรู้เหมือนกัน ส่วนนุชเองพอได้ยินคำถามแล้วก็แสดงความรู้สึกอายออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างเห็นได้ชัด เธออิดออดตอบเลี่ยงอยู่นาน ก่อนค่อยๆ ตอบออกมาแบบอ้อมแอ้ม ไม่เต็มปากเต็มคำ ทีละประโยคสองประโยค ให้คนฟังมาเรียบเรียงกันเอาเอง

“ก็เจอกันที่นี่แหละค่ะ ประมาณ 4 ปีที่แล้ว กองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ของบีอีซีเทโร อยู่ชั้นเดียวกับที่พี่เขาทำงานอยู่ พอเจอกัน ก็สวัสดี พูดคุยกัน แต่เจอกันตอนแรกยังไม่ได้คบเลยนะ เริ่มจากคุยกันก่อน เป็นพี่เป็นน้องกันไป ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนพี่เขาเข้ามาคุยแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเขาเข้ามาจีบค่ะ แล้วก็คิดว่าพี่เขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้นด้วย แต่เหมือนช่วงหลังๆ ได้ปรึกษากันมากขึ้น คุยกันมากขึ้น ทำให้มีโอกาสได้ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไป พอหลังจากนั้นปี 2 ปีค่ะ ถึงเริ่มคบแบบแฟน”

ขณะที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้ หลายคนอาจยังนึกภาพไม่ออกว่าคนตอบเขินขนาดไหน ต้องบอกว่านุชฉีกกระดาษทิชชู่ในมือจนเละไปหมด พอพูดจบถึงได้รู้ตัวและพูดแก้เขินปนติดตลกให้แก่พฤติกรรมของตัวเองว่า “นี่เขินหรืออะไรเนี่ย (หัวเราะ)”




ใครว่าที่รักไม่หล่อ

ทันทีที่รู้ข่าวว่าโฉมงามจากเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์อย่างนุช จุฑารัตน์ คือแฟนสาวของหนุ่ย เอกราช ผู้ประกาศข่าวผิวเข้มแห่งครอบครัวข่าว 3 หลายคนแทบไม่เชื่อหูว่าเป็นความจริง เพราะคาดไม่ถึงว่าสาวสวยเพียบพร้อม เป็นที่ต้องการของชายหนุ่มอย่างนุช จะมาหลงเสน่ห์ผู้ชายที่ไม่ใช่ประเภทหล่อเลือกได้อย่างคุณหนุ่ย จนจุดชนวนให้เกิดเป็นข้อสงสัย ถกเถียงกันบนอินเทอร์เน็ตว่าที่ฝ่ายหญิงตกลงใจคบด้วย อาจเป็นเพราะฝ่ายชายกระเป๋าหนักและเจ้าบุญทุ่ม ในฐานะที่ถูกพาดพิง นุชจึงขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย

“ถ้านุชจะคบใครเพราะเขาเป็นเจ้าบุญทุ่ม คงไม่ได้ตั้งใจจะคบกับเขาแบบแฟนแล้วมั้งคะ มันคงเป็นความสัมพันธ์แบบอื่นแล้วล่ะ เพราะถ้าพี่เขาเข้ามาแบบทุ่มนั่นทุ่มนี่ให้จริง เราอาจจะต้องมานั่งคิดแล้วว่าเขาจะหลอกอะไรเราหรือเปล่า อีกอย่างถ้าเจอกันคุยกันแล้วมาในมาดเจ้าบุญทุ่มอย่างที่บอกนี่ คงน่ากลัวแย่ (หัวเราะ) แต่พี่เขาเข้ามาแบบใจดีค่ะ พูดคุย ยิ้มแย้ม ทักทาย ไม่ถือตัว ไม่เก๊ก ทำให้รู้สึกว่าสามารถพูดคุยกันได้เป็นปกติ พี่เขาจะไม่ใช่ประเภทที่ทำความรู้จักด้วยไม่ได้ หรือเข้าไปคุยด้วยแล้วแสดงท่าทีไม่อยากคุยกับเรา แต่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ เลยทำให้คุยกันได้อย่างสะดวกใจค่ะ”

แล้วรู้สึกยังไงที่คนอื่นมองว่าแฟนเราไม่ใช่คนหล่อ ดูไม่ค่อยเหมาะสมกัน? เราถามออกไปเพราะคิดว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างนุชคงมีมาตรฐานวัดความหล่อของผู้ชายในระดับสูง แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เราประหลาดใจ เธอบอกว่า “จริงเหรอคะ นุชไม่เคยคิดว่าพี่เขาไม่หล่อเลยนะ เชื่อป่ะ (หัวเราะ)” พอถามว่าเธอให้คะแนนความหล่อของพี่หนุ่ยกี่เปอร์เซ็นต์ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “เต็มร้อยค่ะ (นิ่งคิดนิดหนึ่ง) ให้เกินได้มั้ย เขาน่ารักออก” เธอหัวเราะแก้เขิน ก่อนอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ฟัง

“อาจจะเพราะความหล่อจากภายในในตัวพี่เขามันทะลุออกมาด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) หรืออาจจะเป็นเพราะนุชไม่ได้มองว่าต้องขาวตี๋ถึงจะเรียกว่าหล่อ การมองว่าหล่อไม่หล่อ มันคงเหมือนศิลปะ อย่างผู้หญิงก็มีสวยคนละแบบ ผู้ชายก็คงมีเหมือนกัน หล่อคนละแบบ นุชไม่ใช่คนที่จะมานั่งกะเกณฑ์ว่าสเปกฉันเป็นแบบไหน หรือแฟนเราต้องหล่อเลิศขนาดไหน คนที่จะเป็นแฟนกันได้คงต้องวัดจากคุยกันรู้เรื่องเป็นอันดับแรก แล้วก็ต้องให้เกียรติกันค่ะ”

ส่วนเรื่องที่แฟนหนุ่มถูกมองว่าหน้าตาไม่เหมาะสมกับเธอนั้น นุชบอกว่าฝ่ายชายก็ไม่ได้มานั่งน้อยเนื้อต่ำใจอะไร เพราะทั้งคู่เข้าใจดีว่าคบกันเพราะอะไร ที่สำคัญคือเธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนสวย ไม่เคยนึกเปรียบเทียบว่าหน้าตาดีกว่าฝ่ายชาย จึงไม่เคยเดือดร้อนไม่ว่าคนอื่นจะมองคู่ของเธอแบบไหน

“พี่เขาก็มีความภูมิใจในชีวิตของเขา นุชก็ภูมิใจในชีวิตของเราเองเหมือนกัน ก็เลยไม่ได้มานั่งคิดอะไรกันเรื่องนี้ค่ะ พี่หนุ่ยเขารู้อยู่แล้วว่าเราคลั่งไคล้เขาขนาดไหน (หัวเราะ) เขาน่ารักจะตาย อยู่ด้วยกันเราก็ชมเขาตลอด เพราะฉะนั้นคำพูดของคนอื่นมันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตคู่ของเราอยู่แล้ว เป็นเพราะเรารักในความเป็นเราสองคนอยู่แล้วด้วยมั้งคะ อย่างอื่นเลยไม่เป็นปัญหา” เธออธิบาย ก่อนเปิดใจพูดเรื่องหน้าตาในมุมมองของตัวเอง

“อีกอย่างนุชว่านุชก็ไม่ได้เป็นคนหน้าตาดีอะไรมากนะ แค่พอดูได้ ที่เห็นอยู่นี่ งามเพราะแต่งค่ะ (ยิ้ม) ให้ผู้หญิงคนไหนแต่งหน้า ทำผมก็สวยเหมือนกันแหละ ทุกอย่างมันเป็นอาร์ต จมูกที่เห็นเป็นสันนี่ก็ใช้แรเงาเอา จะอะไรมากมาย แก้มที่เห็นว่ามันหุบเข้าไป ก็เพราะมีการเฉดดิ้ง คิ้วที่เห็นว่าโก่งดั่งคันศร ก็เกิดจากการค่อยๆ กันคิ้ว ค่อยๆ แต่งทั้งนั้น นุชแต่งหน้าเก่งค่ะ” เธอพูดด้วยหน้าตาซนๆ ปนขี้เล่น





ชีวิตที่มีเอกราช

เวลานึกถึงคู่รัก เรามักคิดถึงภาพคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันหรือพยายามหากิจกรรมที่ชอบทำร่วมกัน สำหรับคู่นี้ฝ่ายชายทำงานอยู่ในแวดวงกีฬา จึงอดไม่ได้ที่เราจะนึกถึงภาพพี่หนุ่ยและน้องนุชนั่งดูบอลด้วยกัน ถามว่าความจริงแล้วทั้งสองคนมีโอกาสได้เชียร์กีฬาร่วมกันมากน้อยแค่ไหน ฝ่ายหญิงจึงค่อยๆ เผยช่วงเวลาส่วนตัวให้เราฟัง

“มีดูด้วยกันบ้างเหมือนกันค่ะ แต่ส่วนใหญ่พี่เขาจะไปพากย์สด จะแอบมีโทร.ไปแซวๆ เขาตอนเขาพากย์อยู่ (หัวเราะ) แล้วเวลานั่งดูด้วยกันนุชก็มีดูเป็นเพื่อนได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสว่าเขาอยากดูแล้วเราต้องดูด้วยตลอด แต่ที่ดูด้วยกันบ้างเพราะคิดว่าอยากมีกิจกรรมที่เอาไว้ทำร่วมกันได้ สนุกดีค่ะ เวลาดูด้วยกัน นุชจะเชียร์เป็นฝ่ายตรงข้ามบ้าง มีเชียร์ทีมเดียวกันบ้าง ส่วนใหญ่จะออกแนวแซวๆ พี่เขามากกว่า ถ้าเขาบอกว่าคนนี้เก่งนะ ทีมนี้เก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะเถียงไปข้างๆ คูๆ บอกว่าแต่คนนี้ก็มีสปิริตนะ อีกทีมก็เก่งนะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องหรอก แต่เราก็จะโม้ๆ ไป (หัวเราะ)”

เรื่องการแย่งรีโมตทีวีของคู่รักก็เป็นปัญหาที่หลายคู่ประสบ คือฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมีความต้องการต่างกัน อีกคนอาจจะอยากดูกีฬา สารคดี ส่วนอีกคนอยากดูละครมากกว่า ทำให้เกิดเป็นรอยร้าวเล็กๆ ของชีวิตคู่ ถามว่าคู่ของเธอประสบปัญหาทำนองนี้บ้างหรือเปล่า นุชนิ่งคิดแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่าเธอโชคดีมากที่ไม่เคยทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนั้นเลย

“คงเป็นโชคดีด้วยมั้งคะที่ค่อนข้างชอบอะไรเหมือนๆ กัน พี่เขาจะชอบซื้อหนังมาให้ดู ก็เลยดูด้วยกันได้ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งทะเลาะกัน ตีกันว่าเธอชอบอย่างนี้ ฉันไม่ชอบอย่างนั้น แต่มันกลายเป็นกิจกรรมนึงที่เราสามารถสนุกร่วมกันได้ ถ้าถามว่าเคยเถียงกันด้วยเรื่องแบบนี้มั้ยคงไม่มีนะ เพราะเราไม่เคยมองว่ามันเป็นปัญหา ถ้าเถียงกันจะออกแนวแกล้งกันมากกว่า คือจริงๆ แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่นุชจะชอบเอาคำพูดของพี่โน้ต อุดมมาเล่น ทำตัวเป็นอาร์ตตัวแม่แล้วพูดว่า “ใช่ซี้...” อย่างนั้นอย่างนี้ ทำเสียงให้เหมือนเลยนะ (หัวเราะ) แต่ความจริงไม่ได้มีปัญหาอะไรกันค่ะ”

พูดถึงความเป็นอาร์ตตัวแม่ นุชบอกว่ามีบ้างเหมือนกันที่เธออาจหงุดหงิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างโมโหหิว หรือนอนไม่พอ แต่ก็เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวและทั้งคู่ก็ไม่เคยเก็บเป็นอารมณ์เอามาทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว หนึ่งสาเหตุที่ทำให้คู่ของเธอเข้ากันได้ดี นุชเดาว่าอาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างคือคนที่ผ่านการเลือกมาอย่างดีแล้วก็ได้

“ถ้าเทียบกับครอบครัว จะเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ เกิดมาเราก็อยู่ในครอบครัวนี้เลย แต่คนที่เป็นเพื่อน เป็นคู่ชีวิตคือคนที่เราเลือกแล้ว และการเลือกก็ต้องผ่านการมองจากหลายๆ อย่าง ต้องดูว่าเข้ากันได้มั้ย เลือกคบแฟนก็เหมือนกับเลือกคบเพื่อนแหละค่ะ เพียงแค่เป็นเพื่อนผู้ชายที่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่พื้นฐานก็เหมือนๆ กัน คือเป็นคนที่อยากคุยกัน มอบสิ่งดีๆ ให้กัน แล้วก็เข้าใจกันค่ะ” จากที่นุชพูดมาทั้งหมด เราก็รู้แล้วว่าแฟนหนุ่มผิวเข้มคนนี้คงมีคุณสมบัติทุกข้ออยู่ในตัวอย่างครบถ้วน





เรื่องแต่งงาน ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่

คบกันมาก็หลายปี ทั้งยังเข้ากันได้ดีขนาดนี้ ถามว่าจะมีข่าวดีให้ได้ร่วมยินดีกันเมื่อไหร่ นุชตอบว่า “ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ค่ะ” คำตอบของเธอทำให้เรานึกไปว่าหมายถึงญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่ไหนได้ผู้ใหญ่ที่ว่านั้น หมายถึง “พระพุทธเจ้า” ที่เธอยึดถือเป็นผู้ใหญ่ เป็นแบบอย่างสูงสุดในชีวิต ก่อนจะตกลงปลงใจแต่งงานกันได้ นุชเชื่อว่าคู่รักทั้งสองคนควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

“พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนที่จะแต่งงานกันได้ต้องทำบุญร่วมกันมาก่อนตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถึงจะมาปิ๊งกันได้ และในชาติปัจจุบันก็ต้องเกื้อหนุนกัน ต่างฝ่ายต่างมีปัญญาเสมอกัน ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ความฉลาดนะคะ แต่คือความรู้เท่าทันสิ่งต่างๆ และต้องมีการให้ที่เสมอกัน แต่ไม่ใช่ว่าต้องให้เหมือนกันทุกอย่าง แล้วก็ต้องมีศีลเสมอกัน นุชเองก็ไม่เคยแต่งงานมีชีวิตคู่ ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเตรียมตัวยังไง ก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปค่ะ แต่นุชเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ครองคู่กันได้ยั่งยืน”

แล้วพี่หนุ่ยมีคุณสมบัติครบหรือยัง? นุชตอบว่า “หลักๆ ก็มีครบนะคะ” ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพร้อมจะแต่งงานกันแล้ว? เธอเอียงคอและหรี่ตาอย่างรู้ทัน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเขินๆ ว่า “ไม่เอาละๆ ชักจะถามเรื่องนี้ลึกเกินไปแล้ว (ยิ้ม) สรุปว่ายังต้องเรียนรู้กันไปก่อนค่ะ” มีคุณสมบัติครบขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่พร้อมแต่งงานกันอีกล่ะ? เรายังคงพยายามหยอดคำถามต่อไป จนได้คำอธิบายยาวๆ จากเธอ

“ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่นั้นไงคะ นอกจากจะต้องเรียนรู้กันแล้ว เรายังต้องรู้จักทั้งตัวเองทั้งเขาให้ลึกซึ้งด้วย เพราะสุดท้ายก็ต้องมาอยู่ร่วมกัน ไม่ได้วัดว่าคบกันกี่ปี ต้องแต่งงานกัน เพราะเราไม่ได้วัดความรักจากเวลา มันเป็นเรื่องของอนาคตค่ะ ไม่รู้จริงๆ ถ้าเกิดว่าเราพร้อมด้วยหลายๆ อย่าง ถึงเวลานั้นคงรู้เอง ถ้าจะได้แต่งก็คงได้แต่ง แต่ถ้าไม่ได้แต่งหรือถ้าจะเลิกกัน ก็เป็นเรื่องของอนาคตค่ะ ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว”

ถามว่าเธอรู้สึกกลัวบ้างไหมที่ยังไม่สามารถฟันธงให้กับเรื่องความรักได้ นุชรับฟังด้วยสีหน้าเรียบๆ ก่อนให้คำตอบว่า “ชีวิตคนเราถ้าไม่จากเป็นก็จากตายอยู่แล้วค่ะ เป็นความจริงของโลก ถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดแล้วก็คือดีที่สุด แต่ถามว่าทุกคนที่มีความรักแล้วอยากแต่งงานมั้ย มันก็ดีค่ะถ้าเราได้แต่ง แต่การแต่งงานก็ไม่ใช่ทุกอย่าง แต่งกันแล้วก็ยังต้องพยุงกันไป ถึงได้ชื่อว่าแต่งงานจริงๆ แต่ถ้าแต่งกันแล้วไม่ได้ดูแลกัน ไม่เข้าใจกัน มันก็ไม่ใช่ค่ะ”

ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสได้แต่งงาน จะจัดงานแบบไหน? เราถามเผื่อเอาไว้ เพราะรู้ว่าผู้หญิงทุกคนมักจะชอบวาดฝันวันแต่งงานเอาไว้ในหัว แต่คำตอบของเธอกลับทำให้เราแปลกใจอีกครั้ง “ไม่เคยคิดเอาไว้เลยค่ะ ผู้หญิงคนอื่นเขาชอบคิดกันเหรอคะ” เราพยักหน้าเพื่อบอกให้เธอรู้ว่าเป็นสิ่งที่สาวๆ ส่วนใหญ่ที่มีความเป็นผู้หญิงมากๆ ในตัว มักจะชอบทำกัน เธอยิ้มแบบขำๆ ก่อนทิ้งคำถามไว้ให้คิด “แล้วนุชดูเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงเหรอคะ” คงต้องรอให้แฟนหนุ่มมาดเข้มเป็นคนมาตอบคำถามนี้ จึงจะได้คำตอบที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด เหมือนกับที่ต้องรอให้ฝ่ายชายเป็นคนบอกข่าวดีของคู่รักคู่นี้เองในอนาคต




ไม่ผิดหวังที่ไม่ดัง

รู้จักเธอคนนี้ในมุมหวานๆ กันไปแล้ว เรามาทำความรู้จักตัวตนด้านอื่นๆ ของเธอกันบ้าง คนส่วนใหญ่รู้จักเธอจากตำแหน่งสาวผิวสวย เวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2007 ทั้งที่จริงแล้วนุชเข้าวงการด้วยเวทีนางแบบมาก่อน และชอบการเดินแบบมากด้วย แต่เธอตัดสินใจเบนเข็มมายังสายนามงาม เพราะอยากลองใช้โอกาสครั้งสุดท้ายดูสักตั้ง

“จริงๆ แล้วเป็นคนรักการเดินแบบมากค่ะ ตั้งแต่จำความได้ก็เริ่มแต่งหน้า เอาเครื่องสำอางคุณแม่มาเล่น เอาผ้าเช็ดตัวผ้าห่มมาพันเป็นชุดกรีกโรมัน แล้วก็เดินแบบผลัดกันกับพี่สาวน้องสาว (หัวเราะ) เดินโชว์ให้คุณพ่อคุณแม่ดูเล่นๆ อาจจะเป็นเพราะได้ดูรายการเดินแบบตั้งแต่เด็กๆ รู้สึกว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ รู้สึกอยากทำ พอโตขึ้น มีโอกาสก็เลยลองสมัครเวที Elite Model ดูค่ะ แล้วก็ติด 1 ใน 15 คนสุดท้ายด้วย หลังจากนั้นก็มีแคสต์งานอื่นเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็ได้เล่นเอ็มวีด้วย”

“พอถ่ายโฆษณาได้สักพัก โมเดลลิ่งเขาก็ชวนให้ประกวดนางงามดู แล้วตอนนั้นเป็นปีสุดท้ายที่จะประกวดได้ ถ้าปีถัดไปอายุก็จะเกินแล้ว แก่แล้ว (ยิ้ม) นุชแก่สุดเลยค่ะตอนประกวด มีแต่คนเรียกว่าเจ้ แต่สุดท้ายก็ได้รางวัลด้วย ดีใจค่ะ คิดว่าตำแหน่งที่ได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้สามารถทำงานได้มากขึ้น รับงานได้กว้างขึ้น ถ้าเป็นก่อนประกวด เราอาจจะทำได้แค่โฆษณา แต่หลังจากได้ตำแหน่ง นุชก็ได้ลองงานพิธีกร งานอีเวนต์ก็รับได้มากกว่าเดิม ไม่จำเป็นต้องเดินแบบอย่างเดียวแล้วค่ะ”

สำหรับบางคนอาจคิดว่าเวทีประกวดสาวงามคือหนทางสู่การเป็นดารา ถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่ได้ตำแหน่งแล้ว แต่กลับไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นดาราหรือได้แสดงละครเหมือนคนอื่นๆ สาวงามจากเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ตอบว่า

“ไม่เคยคิดว่าประกวดแล้วจะทำให้ดังหรือได้เป็นดาราอยู่แล้วค่ะ แต่ที่ประกวดเพราะอยากจะทำมากกว่า เหมือนกับที่เดินแบบเพราะอยากเดิน เลือกเรียนตกแต่งภายในเพราะอยากเรียน ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐานวาดรูปมาก่อนแล้วก็จบสายวิทย์-คำนวณมาด้วย แต่นุชจะชอบเลือกสิ่งที่อยากทำมาก่อนตลอดค่ะ และถ้าเลือกแล้วก็จะสู้เต็มที่ ส่วนคนที่เข้าประกวดเพราะอยากดังก็เป็นอีกความคิดนึง ถ้าความสุขในชีวิตของเขาคือขอแค่ชีวิตนึงได้เป็นดาราดัง แล้วจะดับไปตอนไหนก็ได้ ถ้าเขาคาดหวังแค่นั้น มันอาจจะดีสำหรับเขาก็ได้ แต่ความสุขของนุชคือแค่อยากทำงานที่ตัวเองรักค่ะ” นุชตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนยิ้มสบายๆ ปิดประโยค


ฝันสูงสุดคือนิพพาน

ปัจจุบันเธอยังคงรับงานโชว์ตัวและโฆษณาอยู่บ้างประปราย แต่ที่ทุ่มเวลาส่วนใหญ่ให้เห็นจะเป็นงานอาสาสมัครในยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้วยใจรักในการปฏิบัติธรรม เมื่อมีเวลาว่างนุชจะช่วยงานในสมาคมทุกครั้ง ทำหน้าที่ได้ทั้งพี่เลี้ยงเด็กๆ ที่เข้าค่ายและเป็นกรรมการ ช่วยตัดสินใจเรื่องต่างๆ หลายคนอาจยังไม่เชื่อว่าหญิงสาวอย่างเธอจะมุ่งเข้าสู่ทางธรรมเสียแล้ว แต่นุชยืนยันว่าเธอสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมฯ

“ตอนเด็กๆ แค่ไม่สมหวังอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึกมีความทุกข์แล้วค่ะ แค่หมาที่เลี้ยงตาย ถูกคุณพ่อดุ หรือเพื่อนไม่รัก แค่นี้เราก็ทุกข์แล้ว พอเรียน เขาบอกว่าพระพุทธศาสนาจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง เราก็สงสัยคำนี้ พยายามหาคำตอบด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ อ่านเยอะมากตั้งแต่ตอนม.ต้น พอตอนม.ปลายถึงได้อ่านพระไตรปิฎก ทุกวันนี้ก็ได้ทำวิปัสสนาเวลามาช่วยสมาคมค่ะ ถึงจะไม่ได้เงินตอบแทนก็จริง แต่นุชว่าสิ่งที่ได้เป็นประโยชน์กับเราจริงๆ ได้หัดมองดูปัญหา ลองแก้ แล้วก็รักษาจิตใจของตัวเอง คุ้มกว่าค่าตอบแทนอย่างอื่นอีก”

นุชบอกว่าความฝันสูงสุดของเธอคือ “นิพพาน” ถ้าตัดสินจากบุคลิกภายนอกแล้ว เราคงไม่เชื่อว่าผู้หญิงที่อารมณ์ดี ขี้เล่น ยิ้มง่าย และขยันยิงมุกอย่างเธอจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องธรรมะขนาดนี้ แต่พอได้ลองนั่งคุยกับนุชอย่างจริงจัง กลับทำให้เรารู้สึกว่าเธอยังมีตัวตนอีกด้านหนึ่งที่สงบนิ่ง และมองหลายๆ สิ่งด้วยสายตาที่เข้าใจโลก

“นิพพานคือความรู้เท่าทันทุกข์และสุข ไม่ยึดมั่นถือมั่น เราไม่จำเป็นต้องละทางโลก หรือห้ามมีความรักค่ะ นั่นเป็นการกดข่ม มันคือการเรียนรู้ธรรมชาติที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป นุชเชื่อนะว่าเราสามารถพ้นทุกข์ได้ แค่ต้องลองปฏิบัติ เพราะถ้าเราไม่ก้าวมันก็ไม่มีวันถึง” นอกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว นุชยังแนะนำให้ทำบุญด้วย ส่วนจะเลือกวิธีไหนก็ถือว่าดีทั้งนั้น โดยเฉพาะการทำบุญกับขอทาน เธอบอกว่าต้องหัดปล่อยวางและให้ทานด้วยจิตใจเป็นกุศลจึงจะดีที่สุด

“ต้องฝึกการให้โดยไม่คิดในแง่ลบค่ะ อย่าไปคิดว่าเขาพิการไม่จริง หรือไม่น่าสงสารพอ ให้คิดว่าเป็นการให้เพื่อตัดความตระหนี่ของตัวเราเอง ถ้าใครที่ชอบคิดว่าการให้เงินขอทานจะเป็นการไปช่วยกระบวนการขอทาน ก็อยากให้คิดว่าเราไม่ได้ให้เงินมากจนทำให้เขาล่ำซำได้ แต่เป็นแค่เงินเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ที่อาจจะมีค่ามากสำหรับเขาก็ได้”





ผิดศีล ให้เป็นแสนก็ไม่เอา

ถ้ามีเงินหลักแสนลอยอยู่ตรงหน้า จะมีสักกี่คนที่ตอบปฏิเสธ แต่สำหรับนุชเธอกลับปฏิเสธอย่างไม่รู้สึกเสียดาย ถ้าเงินจำนวนนั้นต้องแลกกับการทำร้ายคนอื่น หรือแค่สนับสนุนให้คนที่เธอไม่รู้จักต้องเบี่ยงเบนไปในทางไม่เหมาะไม่ควร นุชก็ยืนยันหนักแน่นว่าเธอไม่เอาดีกว่า

“นุชค่อนข้างมีขอบเขตเรื่องรับงานมานานแล้วค่ะ โฆษณาเหล้า เบียร์ จะไม่รับ ให้กี่ล้านก็ไม่เอา เคยมีคนมาเสนอ บอกว่าได้ออกอากาศเป็นสิบๆ ประเทศ ได้หลายแสนมาก เรียกเราไปแคสต์ นุชก็ไม่ไปค่ะ ถามโมเดลลิ่งดูได้ บอกเขาไว้เลยว่าไม่เอา ปกติเป็นคนไม่ดื่มมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แล้วจะไปโฆษณาให้คนอื่นเขาดื่ม มันไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างคงเพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ดี ไม่อยากให้คนอื่นทำ ไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้คนอื่นด้วย โฆษณายาฆ่าแมลงก็เหมือนกัน นุชจะไม่รับเลยค่ะ เพราะมันเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต” สาวใจบุญอธิบาย

ไม่คิดบ้างหรือว่าถึงเราไม่รับงานนี้ คนอื่นก็รับอยู่ดี ยังไงคนที่ได้ดูโฆษณาก็ได้รับผลเท่าเดิม? เราถามออกไปเพราะคิดว่าเหตุผลดังกล่าวเป็นข้ออ้างที่อีกหลายคนชอบใช้ เปรียบเทียบว่าในเมื่อคนอื่นทำได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้นุชให้คำตอบเอาไว้ว่า

“ก็เราไม่ได้ทำไงคะ อะไรที่ดีๆ เราก็ค่อยไปแข่งกันทำแล้วกัน แต่เรื่องไม่ดีๆ อย่าแย่งกันเลยดีกว่า ถ้าให้เปรียบเทียบ เวลาเรากินเหล้าเมาแล้วอาละวาด คนที่เดือดร้อนอาจจะแค่คนรอบๆ ตัวเรา มันไม่ขยายวงกว้างมาก แต่ถ้าเกิดเราไปโฆษณาให้คนวงกว้าง มันไม่ได้กระทบแค่เรากับคนรอบๆ ตัวแล้วไงคะ ถ้าเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ของมึนเมา มันกลายเป็นเราไปกล่อมเกลาให้คนอีกไม่รู้กี่ล้านคนหันมาดื่มเพราะเราเชิญชวน กลายเป็นเราไปทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งความคิดนุชมันไม่ใช่แบบนั้นไงคะ เลยเลือกที่จะไม่รับดีกว่า”

เราเชื่อแล้วว่าที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง เพราะขณะที่สัมภาษณ์อยู่ มียุงบินมาตัดหน้าแล้วเราพยายามใช้มือกำไว้ เธอยังขอร้องให้ปล่อยไป พร้อมกับพูดว่า “อยู่ต่อหน้านุช อย่าฆ่ายุงเลยค่ะ ขอร้อง” ส่วนเรื่องงานแสดงนั้น เธอมีข้อจำกัดแค่เรื่องฉากวาบหวิว นุชบอกว่า “ถ้าบทโป๊ๆ มากๆ เซ็กซี่เยอะๆ โดยไม่มีเหตุผลก็ไม่ไหวค่ะ ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากทำ” แต่ถ้าให้เป็นตัวประกอบหรือได้เห็นหน้าแค่ไม่กี่วินาที เธอก็ยินดีรับเล่น อย่างที่แสดงเป็นเพื่อนพระเอกมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “นางตะเคียน” ขอแค่ตัวบทดีก็พอแล้ว

ทั้งหน้าตาดี จิตใจดีแล้วก็วางตัวดีแบบนี้นี่เอง ผู้ประกาศหนุ่มมาดเข้มที่เคยมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับสาวๆ มาตลอด ถึงได้ยอมหยุดอยู่ที่เธอคนนี้คนเดียว หลังจากได้รู้จักและรู้ใจเธอคนนี้ไปแล้ว คงทำให้ผู้ชายหน้าตาบ้านๆ อีกหลายคนมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะว่าอาจมีสิทธิหาแฟนสวยๆ ได้แบบนี้สักคน แต่ในระหว่างที่ยังหาไม่ได้ คงต้องยอมอิจฉาวาสนาของคุณเอกราชไปก่อน เพราะเขา “เก่งทุกทาง” จริงๆ


รักแท้มันคืออะไร?

นิยามความรักของนุชเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามการเรียนรู้ที่มากขึ้น จากตอนเด็กๆ เคยมองว่าต้องเป็นสีขาว แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่ามันมีทั้งสีขาว สีดำ และสีเทาๆ ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าความรักคือทางสายกลางที่ควรเลือกเดิน ไม่ต่างไปจากเรื่องอื่นๆ ในชีวิต

“ตอนเด็กๆ อาจจะคิดว่าเป็นสีขาว ไม่ว่าจะรักพ่อรักแม่รักเพื่อน จะจริงจังมาก รักเพื่อนก็จะทุ่มเท กับคุณพ่อคุณแม่พอโดนตีครั้งนึงก็จะเสียใจมาก พอเพื่อนไม่รัก ถูกเพื่อนแกล้ง บางทีคนบางคนไม่ชอบเรา ทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่ชอบนะ แต่ตอนเด็กๆ ยังไม่เข้าใจ พยายามทำดี ทำให้เขารัก มานั่งคิดว่าทำไมเขาไม่รักเรา ก็ใช้การเรียนรู้เยอะเหมือนกันค่ะกว่าจะเข้าใจ ถึงคิดได้ว่าถ้าเรามอบความหวังดีให้ใครไปแล้วเขาไม่รับก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเราได้ทำส่วนของตัวเองอย่างดีที่สุดแล้ว ทำให้เข้าใจว่าทุกอย่างคือทางสายกลาง เหมือนความรักที่เป็นส่วนตรงกลางระหว่างสีขาวกับสีดำค่ะ”

ถามว่าเคยมีความรักแบบป็อปปี้เลิฟบ้างไหม เธอตอบว่า “ต้องถามว่าป็อปปี้เลิฟคืออะไร (ยิ้ม) ถ้าบอกว่าป็อปปี้เลิฟคือรักขำๆ ของวัยรุ่น นุชไม่เคยมีค่ะ เพราะเราเป็นคนรักใครรักจริงตลอด ไม่เคยรักเล่นๆ จริงจังกับความรักทุกครั้ง แต่ถ้าบอกว่าป็อปปี้เลิฟคือรักครั้งแรก ถ้าอย่างนั้นจะเคยมีตอนมหาวิทยาลัยค่ะ เขาเป็นอาจารย์ที่เราไปฝึกงานด้วย”

นุชบอกว่าเธอไม่เคยวางสเปกผู้ชายเอาไว้ในหัว “เป็นคนไม่ได้ซีเรียสเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกค่ะ ขอแค่คนที่รักเราแล้วก็ดีต่อเราก็พอแล้ว” ถ้าอยากรู้ว่าเธอชอบผู้ชายแบบไหน คงต้องพิจารณาจากคนที่ตกลงเป็นแฟนกัน “คุยกันรู้เรื่อง อบอุ่น ดูแลได้ และมีความคิดเป็นผู้ใหญ่” คือคุณสมบัติของแฟนคนแรกของเธอ ส่วนคนปัจจุบันก็มีนิสัยคล้ายกันคือ “พี่เขาเป็นคนอบอุ่นค่ะ รักครอบครัว คุยได้ ปรึกษาได้ แล้วที่ชอบเขา คงเพราะเป็นคนตลกด้วย เพราะเราก็เป็นคนตลกเหมือนกัน” นุชพูดถึงพี่หนุ่ยในสายตาของเธอ

ถึงแม้ทุกวันนี้ทั้งสองคนอาจไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากนักในแต่ละวัน เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ แต่ทั้งหนุ่ยและนุชจะคุยโทรศัพท์กันทุกวัน และพยายามเรียนรู้กันให้มากที่สุด เพราะเธอเชื่อว่า “คู่รักบางคู่มีโอกาสได้เจอกันเยอะ แต่ถ้าไม่เคยเอาเวลาตรงนั้นมาเรียนรู้อะไรกันเลย คู่นั้นก็อาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยก็ได้ค่ะ แต่ถึงเราไม่ได้มีเวลาเจอกันเยอะมาก แต่พยายามจะเรียนรู้กัน แคร์กัน เอาใจใส่กันและกัน นุชว่ามันอาจจะดีกว่าก็ได้”

-----------------------------------------------------------


ประวัติ
ชื่อ-สกุล : นุช จุฑารัตน์ มณีธาดา
วันเกิด : 4 มกราคม 2526
ส่วนสูง : 170 ซม.
น้ำหนัก : 50 กก.
การศึกษา : บัณฑิตคณะศิลปกรรม สาขาออกแบบภายใน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ความสามารถ : เดินแบบ, ร้องเพลง
ผลงาน : มิวสิกวิดีโอเพลง “ไม่มีเหตุผล” ของบอย ตรัย ภูมิรัตน์, ภาพยนตร์เรื่อง “นางตะเคียน” รวมทั้งงานถ่ายแบบ เดินแบบ และโฆษณาอีกหลายชิ้น
รางวัลที่ได้รับ : ตำแหน่งสาวผิวสวย เวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ ปี 2007

รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2554 14:16:29 น.
Counter : 6398 Pageviews.

1 comments
  
ชอบผู้หญิงคนนี้จังค่ะ ขอบคุณสำหรับข่าวนี้นะคะ
โดย: kongkwancafe วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:41:14 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Beauty-queen.BlogGang.com

ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]

บทความทั้งหมด