All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2560
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
20 ธันวาคม 2560
 
All Blogs
 
*** Star Wars: The Last Jedi *** คู่ตรงข้ามและความสมดุล

*** Star Wars: The Last Jedi ***






ภาคที่ 8 ของ Series อวกาศระดับตำนานอย่าง Star Wars กลับมาพร้อมกับผู้กำกับ/เขียนบท Rian Johnson ที่นำเสนอรูปแบบใหม่ในการตีความ Star Wars ให้ต่างไปซึ่งช่วยทำให้เรื่องราวระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ที่เป็นเหมือนขั้วสีที่ต่างกันชัดเจนแบบขาวกับดำที่สามารถแยกได้ง่ายดาย กลายเป็น "สีขาวขุ่น" และ "สีดำจาง" ที่แม้จะแยกออกได้อยู่ แต่ก็มีบางช่วงตอน ที่ผู้ชมเริ่มแยกไม่ออกว่าขาวขุ่นหรือดำจางในบางช่วงเวลา



จากนี้ไปเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ






หลังจากโดนอุบายแกมบังคับของท่านผู้นำสูงสุด Snoke (Andy Serkis) ให้ถอดหมวกออก Kylo Ren (Adam Driver) ก็ถูกเชื่อมจิตเข้ากับ Rey (Daisy Ridley) โดยไม่รู้ตัว เพื่อการเข้าถึงตัว Luke Skywalker (Mark Hamill) ผ่านตัว Rey ที่กำลังฝึก Force อยู่กับ Luke


ขณะเดียวกัน Finn (John Boyega) ก็ออกไปทำภารกิจกับ Rose (Kelly Marie Tran) เพื่อหาทางเข้าไปในห้องลับบนยานของฝ่าย First Order เพื่อทำลายเครื่องติดตามที่คอยตามยานของฝ่ายต่อต้าน



นี่คือเนื้อเรื่องในส่วนต้นของ The Last Jedi ที่จะพาผู้ชมไปสำรวจประเด็นที่น่าสนใจของหนัง ซึ่งมันว่าด้วย “สมดุล” ของขั้วตรงข้าม



เหมือนกับฉากที่ Luke สอนให้ Rey สัมผัสได้ถึงพลัง เราจะพบว่า Rey สัมผัสได้ทั้งความหนาวและความอบอุ่น สัมผัสได้ทั้งการเกิดและการตาย ซึ่งนี่เองที่เป็น “สมดุล” ของพลังในธรรมชาติ



ดังนั้นเราจะเห็นชุดตัวละครที่ถูกจับคู่ให้เป็นขั้วตรงข้ามมาเจอกันถึง 3 คู่ เพื่อรับใช้ประเด็นของหนัง ผ่านสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเจอ






1. Kylo Ren และ Rey กับการจัดการปัญหา



จากเนื้อเรื่องเราจะพบว่า Kylo และ Rey ต่างก็เป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งเหมือนกัน ต่างกันที่ทั้ง 2 คนเลือกที่จัดการกับปัญหาในจิตใจต่างกัน



- Rey ยังพยายามเติมเต็มช่องว่างในใจจากการขาดครอบครัวด้วยการพยายามตามหาคนที่จะมาเป็นตัวแทนของพ่อและแม่

Rey พยายามแก้ไขและเติมเต็มอดีต





- Kylo เลือกที่จะฆ่าพ่อ (Han Solo) พยายามที่จะกำจัดแม่ (Leia) พยายามที่จะกำจัดอาจารย์ของเขา (Luke) กระทั่งหัวหน้าของเขาคนอย่าง Snoke ก็ถูกกำจัด เมื่อไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ

Kylo พยายามกำจัดอดีตเพื่อเริ่มต้นใหม่





สรุปก็คือ



Rey ยังจมอยู่กับอดีตที่ไม่มีทางแก้ไข

Kylo พยายามลืมอดีตที่ไม่มีทางลืมได้






ซึ่งสิ่งที่หนังแสดงให้เห็นเหมือนอุปมาอุปมัยก็คือ แม้ Kylo จะกำจัดคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดในอดีตได้สำเร็จ คนเหล่านั้นก็ยังอยู่ในจิตใจของเขาตลอดเวลา เพียงแค่เขานึกถึงคนเหล่านั้น


[เหมือนกับฉากที่ Kylo ระดมยิง Luke ด้วยอาวุธทุกอย่างแต่ก็ทำอะไร Luke ไม่ได้ กระทั่งเดินลงมาฆ่า Luke ด้วยตัวเองก่อนที่จะพบว่านี่ไม่ใช่ Luke แต่เป็นเพียงภาพจำลองของ Luke]



ส่วนอุปมาอุปมัยในฝั่งของ Rey ก็คือการที่เธอพยายามตามหาพ่อแม่เพื่อเติมเต็มอดีตในการเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่เธอต้องการคือ คุณค่าและความหมายของตัวเธอเอง เพื่อชดเชยกับความรู้สึกไร้ค่าที่ถูกทอดทิ้ง


[เหมือนกับตอนที่ Rey เข้าไปในด้านมืด แล้วพยายามมองหาพ่อแม่ของตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเงาสะท้อนไม่รู้จบของตัวเธอเอง]






2. Finn และ Rose กับการเปลี่ยนความคิด



จากเนื้อเรื่อง Finn และ Rose ต้องมาร่วมมือกันในการทำภารกิจเพื่อให้ยานของฝ่ายต่อต้านรอดจากการทำลายของ First Order ด้วยการหาตัวนักถอดรหัสเพื่อลอบเข้าไปในยานของ First Order แล้วปิดระบบติดตาม จากนั้นให้ยานของฝ่ายกบฏเดินทางหนีด้วยพลังงานสุดท้ายก่อนยานจะหมดเชื้อเพลิง


อันที่จริงเราจะพบว่าแผนแรกของของ Finn คือการหนีไปจากยาน เพื่อที่เมื่อ Rey กลับมา จะยังได้พบกับเขาและมีโอกาสรอดมากกว่า แต่เธอถูกขัดขวางโดย Rose ที่ต้องการทำหน้าที่ของฝ่ายต่อต้านจนตัวตายตามปณิธานของพี่สาวที่ตายไปในการรบของเธอ



Finn พยายามหนีเพื่อคนที่เขารัก

Rose ยอมสู้จนตายเพื่ออุดมการณ์



แต่สุดท้ายที่ดาว Crait เราจะพบว่าทั้งคู่มีมุมมองที่เปลี่ยนไปเมื่อผ่านประสบการณ์ร่วมกัน

เมื่อ Finn พยายามที่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อโอกาสอันน้อยนิดในการทำลายปืนใหญ่ของศัตรู ส่วน Rose ที่ยอมตายได้เพื่ออุดมการณ์ แต่ตอนนี้เธอยอมตายได้เพื่ออย่างอื่นที่ไม่ใช่อุดมการณ์ นั่นคือคนที่เธอรัก



Finn ยอมสู้จนตายเพื่อฝ่ายต่อต้าน

Rose ช่วยคนที่เธอรักให้รอดต่อไป



น่าเสียดายที่หนังเล่าประเด็นของคู่นี้ได้ไม่ค่อยมีน้ำหนัก แถมพัฒนาการของทั้งคู่ก็ดูก้าวกระโดดเกินไป






3. Poe และ Holdo กับความผิดพลาดที่กลายเป็นบทเรียน



คู่นี้คือความแตกต่างทางความคิดที่น่าสนใจ แม้ Poe และ Holdo ต่างก็เป็นฝ่ายต่อต้านเหมือนกันแต่ก็มีความคิดที่ต่างกันโดยชัดเจน



หลังจาก Leia โคม่าจนไม่สามารถบัญชาการฝ่ายต่อต้านได้ Holdo ก็เข้ามารับหน้าที่นี้ตามลำดับยศ โดยแผนของ Holdo คือหนีไปตั้งหลัก แต่ Poe ไม่เห็นด้วยที่จะต้องทิ้งยานรบอันเป็นขุมกำลังสำคัญของฝ่ายต่อต้านจึงคิดก่อกบฏขึ้นมา



Poe เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ขอสู้จนตัวตาย

Holdo เลือกที่จะหนีไปตั้งหลัก



แต่นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Poe ที่ไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะทำ

โชคยังดีที่การก่อกบฏของ Poe ไม่สำเร็จ แผนที่ทำให้กลุ่มกบฏยังคงอยู่รอดได้ของ Holdo ยังไม่ถูกทำลาย






เมื่อการสู้รบระหว่างฝ่ายต่อต้านและ First Order ที่ดาว Crait ในตอนสุดท้ายจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายต่อต้าน


Poe ที่ได้เรียนรู้แล้วว่า บางครั้งการหนีเพื่อไปตั้งหลักไม่ใช่เรื่องเสียหาย แม้จะสูญเสียทุกอย่างหากแต่ยังมีชีวิตและไฟในการต่อสู้ ก็ยังมีโอกาสกลับมาสู้ใหม่ได้


ดังนั้นเขาจึงสั่งถอยเมื่อรู้ว่าจะแพ้ จนขนาด Leia ที่ไม่เห็นด้วยกับเขาในทุกครั้ง ยังยอมให้ Poe เป็นผู้นำในครั้งนี้



อันที่จริงประเด็นนี้ถูกพูดถึงอย่างทรงพลังมาแล้วในช่วงกลางเรื่องจากตัวละครรับเชิญอย่าง อาจารย์ Yoda (ที่มาในรูปของหุ่นเชิดแบบหนังต้นฉบับ) พูดสอน Luke ในฐานะอาจารย์ว่า



บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความผิดพลาด



ซึ่งประเด็นนี้นี่เองที่ถูกนำเสนอให้เห็นในส่วนของเรื่องราวของ Poe






The Last Jedi นำเรื่องราวของคู่ตรงข้ามมารับใช้การถ่ายทอดประเด็นของหนังได้อย่างน่าสนใจ

เราจะพบว่าหลายตัวละครมีความเหมือนกันในหลายด้าน แต่เลือกที่จะมองปัญหาและทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม



หนังยังทำได้ดีในการทำลายเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างขาวกับดำในแบบที่ Star Wars ภาคก่อนหน้านี้เคยทำเอาไว้

ซึ่งก็เหมือนอย่างที่หนังแสดงให้เห็นว่า ความดี-ความชั่วก็อยู่ใกล้กันมาก ต่างกันแค่เส้นบางๆ

(ซึ่งหนังย้ำประเด็นนี้ด้วยประเด็นความกลัวและการตัดสินแบบง่ายๆ ไม่ขาวก็ดำ ไม่ดีก็ชั่ว ของ Luke ทำให้เรื่องเกิดลุกลามเป็นปัญหาในท้ายที่สุด)



ไม่แน่ใจว่าผู้สร้างตั้งใจหรือเปล่าแต่การออกแบบพื้นผิวของดาว Crait ก็รับใช้ประเด็นนี้ได้อย่างดี


ผิวเกลือสีฟ้าขาว (หมายถึงความสงบ/สี lightsaber ของ Rey) ที่ปกคลุมดินสีแดง (หมายถึงความชั่วร้าย/สี lightsaber ของ Kylo)


นี่คือสีวรรณะตรงข้ามและเป็นเหมือนตัวแทนของ Rey และ Kylo
มันแตกต่างกันมาก แต่กลับอยู่ใกล้กันมากเช่นกัน






แม้ประเด็นจะสดใหม่น่าสนใจ แต่ The Last Jedi ก็ยังขาดความเข้มข้นในบางส่วนของเรื่อง อย่าง part ของ Finn และ Rose ที่ดูจะทำได้ไม่ดีนัก ไร้ซึ่งความต่อเนื่องในพัฒนาการของตัวละคร และดูจะยืดเยื้อในบางตอน


อีกอย่างหนึ่งที่เหมือนจะเป็นปัญหาของหนัง (อันที่จริงก็ Star Wars แทบทุกภาค) ก็คือ ปัญหาต่างๆมักจะถูกคลี่คลายได้ง่ายดายเกินไป บางครั้งก็อาศัยความบังเอิญและความผิดพลาดของฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป



ในฐานะที่ไม่ใช่แฟนประจำของ Series นี้ ค่อนข้างชอบการ (ปรับ)ปรุงแบบนี้ของหนังมากกว่าแบบเก่าๆ

แม้จะไม่ใช่หนังที่ดีเยี่ยม แต่เป็นหนึ่งในตอนที่น่าสนใจของ Series นี้






8 / 10 ครับ





Create Date : 20 ธันวาคม 2560
Last Update : 21 ธันวาคม 2560 6:30:13 น. 3 comments
Counter : 2747 Pageviews.

 
กระทู้ที่ตั้งใน Pantip

https://pantip.com/topic/37205734


โดย: navagan วันที่: 23 ธันวาคม 2560 เวลา:1:21:35 น.  

 
อยากให้รีวิวหนัง godfather ทั้ง 3 ภาคครับ


โดย: don IP: 134.196.44.247 วันที่: 27 ธันวาคม 2560 เวลา:21:02:23 น.  

 
เดี๋ยวถ้ามีเวลาจะเขียนถึงนะครับ


โดย: navagan วันที่: 29 ธันวาคม 2560 เวลา:21:44:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.