All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
20 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
*** The Taking of Pelham 1 2 3 *** ห้องสารภาพบาป

*** The Taking of Pelham 1 2 3 ***






The Taking of Pelham 1 2 3 เป็นงาน remake จากหนังปี 1974 เรื่อง The Taking of Pelham one two three ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ John Godey อีกทีหนึ่ง



หนังเล่าเรื่องของ Ryder (John Travolta) และพรรคพวกที่เข้ายึดรถไฟใต้ดิน ขบวน Pelham 1 23 (หนึ่ง ยี่สิบสาม) เพื่อจับตัวประกันเรียกค่าไถ่จากเทศบาลเมือง New York

โดย Ryder ได้ติดต่อและยื่นข้อเสนอผ่านทาง Walter Garber (Denzel Washington) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของการรถไฟใต้ดิน ที่บังเอิญในวันนั้นถูกลดตำแหน่งมาเป็นพนักงานควบคุมการจราจรชั่วคราว เนื่องจากเขาเข้าไปพัวพันกับคดีรับสินบน




The Taking of Pelham 1 2 3 เวอร์ชั่นนี้ได้ Tony Scott มาเป็นผู้กำกับ และ ได้มือเขียนบทฝีมือดีอย่าง Brian Helgeland (Mystic River, L.A. Confidential) มาดัดแปลงบท


ด้วยเรื่องราวที่ดูซ้ำๆ และไม่น่าจะมีอะไรแปลกใหม่ให้เล่นอีกแล้ว ทำให้พาลคิดไปว่าหนังคงต้องมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าหนังสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ ถึงได้ถูกสร้างขึ้นมาในยุคสมัยนี้


ซึ่งเมื่อได้ชมข้อสงสัยทั้งหลายก็หมดไป นั่นก็เพราะหนังมีบางแง่มุมที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีพอสมควร (เนื่องจากไม่เคยดูเวอร์ชั่นเก่า จึงไม่ทราบความแตกต่างของเรื่องราวมากนัก) อย่างเช่น เรื่องปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน หรือ ความหวาดวิตกต่อการก่อการร้ายที่มีผลต่อตลาดหุ้น ในช่วงหลังเหตุการณ์ 11 กันยา






นอกจากนี้หนังยังมีประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว



นั่นก็คือ เรื่องของ “ความผิดติดตัว” และ “การสารภาพบาป”



ซึ่งหนังแนะนำประเด็นนี้กับผู้ชมกันชัดๆ ผ่านบทสนทนาระหว่าง Ryder และ Garber ด้วยการเปรียบเทียบว่า ห้องคนขับในรถไฟใต้ดิน ก็ไม่ต่างจาก “ห้องสารภาพบาป”


และไม่ใช่แค่ห้องคนขับในรถไฟเท่านั้น ศูนย์ควบคุมการเดินรถ ก็สามารถเป็น “ห้องสารภาพบาป” ได้เช่นกัน



ทั้ง Ryder และ Garber ต่างก็เป็นคนที่มีความผิดติดตัวเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อการสนทนาของทั้งคู่เริ่มขึ้น การสารภาพความผิดของคนทั้งคู่ก็ตามมา


เพียงแต่ว่า ใครกันแน่ที่จะเป็นคนรับฟังคำสารภาพนั้นของพวกเขา







กรณีของ Garber ปลายสายที่รับฟังคำสารภาพอาจเป็น “พระเจ้า” ผู้ที่พร้อมจะให้อภัย



หลังจากที่ถูกบังคับจาก Ryder ให้เลือกว่า จะยอมรับผิด และเล่ารายละเอียดของ “การรับสินบน” ของตัวเอง เพื่อแลกกับชีวิตตัวประกัน หรือ จะไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียด แล้วปล่อยให้ตัวประกันตาย


ที่สุดแล้ว Garber ก็ยอมรับผิด และสารภาพทุกอย่าง เพื่อช่วยชีวิตตัวประกัน


ซึ่งผลของการกระทำในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยชีวิตตัวประกันได้แล้ว มันยังเป็นการช่วยคลี่คลายปัญหาเรื่องคดีรับสินบนของเขาให้เบาลง และยังเป็นการสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง หลังจากต้อง แบกรับความผิด และปกปิดเอาไว้ตลอดเวลา






กรณีของ Ryder ปลายสายที่รับฟังคำสารภาพอาจเป็น “ยมทูต” ผู้จ้องจะลงโทษในทุกการกระทำของเขา



การสารภาพบาปของ Ryder ถึงความผิดที่เขาเคยก่อไว้ในอดีต จนต้องถูกจับเข้าคุก และเรื่องราวเล็กๆน้อยๆอื่นๆ กลับกลายเป็นข้อมูลที่ฝ่ายตำรวจใช้ในการสืบหาตัวเขา และค้นหาแผนการแท้จริงที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา


จนในที่สุดแผนการของ Ryder และพรรคพวกก็ต้องล้มเหลว







เราอาจเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ได้ดังนี้



สำหรับ Garber แล้ว Ryder เปรียบเหมือน “ทูตจากสวรรค์” สำหรับเขา

การมาของ Ryder ในครั้งนี้ ช่วยให้เขาได้มีโอกาสไถ่บาป เคลียร์เรื่องคดี และทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น





แต่สำหรับ Ryder แล้ว Garber น่าจะเปรียบเหมือน “ทูตจากนรก” มากกว่า

เนื่องจากการมาของ Garber ทำให้แผนของเขาพังไม่เป็นท่า และยังรวมไปถึงชีวิตของเขาด้วย



แต่ในท้ายที่สุด Ryder ก็ยังบอก Garber ว่าเป็น “นายเป็น Hero ของฉัน”

เพราะอย่างที่ Ryder ได้บอกไว้ว่า Garber น่าจะเป็นเพื่อนที่เข้าใจตัวเขามากที่สุดแล้ว


หรือจริงๆแล้ว Garber เป็นทูตสวรรค์ที่มาปลดปล่อยเขากันแน่ ด้วยการให้เขาได้มีโอกาสสารภาพบาป






นอกจากนี้ประเด็นที่ว่า ยังไปมีบทบาทกับตัวละครอย่าง นายกเทศมนตรี (James Gandolfini) อีกด้วย เนื่องจาก ตัวนายกเทศมนตรีเอง ก็มีความผิดติดตัวเช่นกัน ในกรณีที่เขา นอกใจภรรยา ไปมีภรรยาน้อย ซึ่งก็ไม่วายโดนนักข่าวตามขุดคุ้ยเรื่องนี้ตลอดเวลา กระทั่งอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้


แม้จะดูเหมือนเป็นแค่มุขมุขหนึ่งในหนัง แต่มันก็ไม่ใช่มุขดาดๆ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าความผิดนั้นจะเล็กหรือใหญ่ มันก็ติดตัวคุณตลอดไป ซึ่งก็สอดรับกับ Theme ของเรื่องได้อย่างดี





ถึงแม้ว่าเรื่อง “ความผิดติดตัว” และ “การสารภาพบาป” จะเป็นประเด็นที่หนังใส่เข้ามาได้อย่างน่าสนใจก็ตาม แต่ตัวหนังกลับไม่สามารถลงลึก หรือ ไปได้ไกลมากกว่านี้


นั่นทำให้ประเด็นเหล่านี้ เป็นได้แค่ “ประเด็นที่น่าสนใจ” แทนที่จะสามารถยกระดับเป็น “ประเด็นที่น่าจดจำ” ของหนังเรื่องนี้ได้


จึงเป็นไปได้ที่หลายคนดูแล้วจะไม่นึกถึงประเด็นนี้ เนื่องจากมันยังไม่หนักแน่นพอ






The Taking of Pelham 1 2 3 ทำให้นึกไปถึงหนังเก่าๆของผู้กำกับ Tony Scott หลายเรื่อง

ทั้งการเล่นกับสถานการณ์ในพื้นที่จำกัด เหมือนใน Crimson Tide หรือเวลาจำกัด เหมือนใน Spy Game อีกทั้งอารมณ์ของหนัง ก็คล้ายกับงานส่วนใหญ่ของ Scott ทั้งสิ้น



ที่สำคัญ โทนสีฉูดฉาด และ สไตล์การตัดต่อแบบฉวัดเฉวียน ที่เป็นลายเซ็นในยุคหลังๆของ Scott ก็ยังมีอยู่ แต่คราวนี้มาแบบพอดีๆ ไม่ล้นเกินไปแบบใน Domino ที่ล้นจนเละ



ในส่วนของนักแสดง ฝีมือของ Denzel Washington และ John Travolta นั้นเชื่อถือได้อยู่แล้ว แม้ว่านี่จะไม่ใช่งานที่ Top Form ของทั้งคู่ก็ตาม แต่การแสดงของทั้งคู่ในฐานะตัวละครหลักก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน






The Taking of Pelham 1 2 3 จัดว่าเป็นหนัง Drama-Thriller ที่อยู่ในระดับ "ค่อนข้างดี"

หนังค่อยๆแนะนำตัวละครและรายละเอียดของเรื่องราว ผ่านการสนทนาของ Garber และ Ryder แถมค่อยๆเพิ่มระดับความตึงเครียดของเรื่องราวอย่างมีชั้นเชิง


ขณะที่อารมณ์ขันร้ายๆของหนัง ก็เข้าท่าเข้าทางและถูกใส่มาอย่างถูกที่ถูกเวลา



นั่นทำให้กราฟความสนุก และน่าติดตามของตัวหนัง ค่อยๆเพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงช่วงกลางของเรื่อง กราฟความสนุก และน่าติดตามของตัวหนังกลับนิ่ง และค่อยๆลดระดับลงมา



อาจเป็นเพราะบทหนังที่เต็มไปด้วยความบังเอิญ จนทำให้ความสมจริงของเรื่องราวลดลงไปมากในช่วงครึ่งหลัง แต่นี่ก็ไม่น่าจะใช่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ช่วงครึ่งหลังของหนังอ่อนพลังลงไป



สาเหตุจริงๆน่าจะมาจาก อาการตีบตันของผู้เขียนบทมากกว่าที่ไม่รู้จะจบเรื่องราวให้น่าสนใจได้อย่างไร (หรือว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เวอร์ชั่นนิยายแล้ว)



ผู้เขียนบทเลยเลือกบทสรุปแบบเดิมๆ ที่ง่าย และไม่ค่อยสมเหตุสมผลในบางเหตุการณ์ แถมเป็นการจบเรื่องที่ค่อนข้างซ้ำซาก ไม่ต่างจากสูตรสำเร็จทั่วไป






สรุปว่า The Taking of Pelham 1 2 3 เป็นหนังที่ดูได้สนุกพอสมควร ถ้าคิดว่ามันเป็นหนังที่สร้างเพื่อความบันเทิงเท่านั้น และไม่ติดใจในเรื่องความไม่สมเหตุสมผลบางประการ


ใครที่เป็นแฟนของ Tony Scott ก็คงไม่ผิดหวัง(แต่ก็คงไม่ถูกใจมากนัก) เพราะถือว่าเป็นงานที่ได้มาตรฐานของลุงแก ส่วนตัวแล้วให้คะแนนอยู่ในระดับเดียวกับ Déjà vu หนัง "Scott-Washington" อีกเรื่อง (คู่นี้ร่วมงานกันบ่อยมาก )


นอกจากนี้หนังยังมีประเด็นเล็กๆน้อยๆให้เก็บไปคิด แม้ว่าจะไม่ได้ลึกซึ้งมากก็ตาม




7 / 10 ครับ





Create Date : 20 สิงหาคม 2552
Last Update : 20 สิงหาคม 2552 12:01:21 น. 7 comments
Counter : 5970 Pageviews.

 
ยังไม่ได้ดูครับ

แต่อ่านประเด็นเปรียบเทียบแล้ว ท่าจะไม่ใช่หนังธรรมดา

ผมยังเข็ดกับ Domino อยู่เลยครับ 555+


โดย: Seam - C IP: 58.11.30.106 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:13:23:41 น.  

 
ผมว่าจะดูๆ ก็ไม่ได้ดูสักทีจนมันออกจากโรงไปแล้ว
สงสัยต้องรอดูแผ่นอีกตามเคย





ปล. เขียนรีวิวน่าอ่านดีครับ ชอบจัง


โดย: ไอซ์คุง (ปีศาจความฝัน ) วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:13:54:26 น.  

 
เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูเลย ต้องบอกว่าตอนนั้นไม่คิดที่จะดู แต่พออ่านแล้วก็ว่าจะไปหามาดูแล้วล่ะ อิอิ

ถูกต้องนะคะ ที่ศิลปากร เราเด็กอักษรจ้ะ


โดย: ioio IP: 58.8.104.238 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:13:16:20 น.  

 
ตัวร้ายเป็นคนประเภทมั่นใจในตัวเอง แต่หมดศรัทธาในชีวิต เคยติดคุก และอยากออกมาพิสูจน์ว่าตัวเองทำได้ แค่นั้น บวกกับมาเจอพระเอกเลยประทับใจ เหมือนศรัทธาในหลายๆสิ่งกลับมา เงินมันเป็นแค่ปัจจัยเสริม หนังเลยจบแบบนั้นครับ ไม่ได้แย่ แต่ไม่หักมุมเท่านั้นเอง และก็ไม่จำเป็นต้องหักมุมถึงจะเรียกได้ว่าหนังดีนะ



โดย: Pick IP: 110.164.86.235 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:4:37:04 น.  

 
^
^
^

ไม่ได้พูดเลยนะครับว่า "หนังแย่" เพราะ "ไม่หักมุม"


"ความน่าเชื่อถิอ" ในตอนหลังๆ และการ "พึ่งพาเหตุบังเอิญ" มากไปต่างหากครับ ที่ทำให้หนังลดระดับลงไปครับ (ผมไม่ได้บอกว่า "จบแย่" เช่นกัน)




ไม่ทราบว่าสับสนกับ Blog อื่นหรือเปล่า


โดย: navagan วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:2:17:29 น.  

 
ตอนท้าย น่าจะหักมุม ดีกว่า แทนที่การ์เบอจะยิง ไรเดอร์
(ฉากจบที่ผมคิดนะ การ์เบอ กับ ไรเดอร์ น่าจะเป็นพวกเดียวกัน พอการ์เบอ ขึ้นจากทางฉุกเฉิก แล้วค่อยหนีไปกับไรเดอร์ น่าจะเป็นการจบที่ดีกว่านะ)


โดย: มาเลเซีย IP: 180.180.138.150 วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:21:57:32 น.  

 
ผมว่าเรื่องนี้ขึ้นต้นได้สวยครับ ชอบมากๆที่หนังใช้เหตุการณ์ก่อการร้ายพ่วงไปถึงการสารภาพผิดเพื่อแลกชีวิตคนไม่รู้จัก


แต่พอดันเซล วอชิงตันลงไปรถไฟปุ๊บ กลายเป็นหนังห่วยไปเลย ไม่นับไอเรื่องกล้องwebcamจากNotebookที่แบบ โห โจรไม่เห็นเลยหรอฟะ อะไรอย่างนั้นอีก


ขึ้นต้นสวย แต่ยิ่งนานไปยิ่งดรอปลงๆๆ


โดย: Nutonline วันที่: 9 สิงหาคม 2554 เวลา:18:59:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.