All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
31 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
*** Red Cliff *** สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ (รวมสองภาค)

*** Red Cliff ***



ความทะเยอทะยานในการสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ของ จอห์น วู (John Woo) ครั้งนี้ ให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด
แม้ วู จะเคยทำหนังที่ Scale การสร้างใหญ่ไม่แพ้กันมาแล้วใน Hollywood อย่าง Windtalkers

แต่กับผลลัพธ์ที่ได้เทียบไม่ได้เลยกับ Red Cliff






ด้วยเรื่องราวของ สามก๊ก (Romance of the Three Kingdoms) พงศาวดารจีน ที่เล่าถึงยุคปลายของราชวงศ์ฮั่น (ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 700 - 900 ) ที่แผ่นดินจีน แตกออกเป็น สามก๊ก นั่นคือ วุยก๊ก, จ๊กก๊ก และ ง่อก๊ก ก่อนที่จะกลับมารวมเป็นอาณาจักรเดียวกันอีกครั้ง


ซึ่งเต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย และ กินเวลานาน ทำให้การจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ คงต้องเลือกมาสักเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น






ซึ่ง วู เลือกที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “ศึกผาแดง” (หรือ Red Cliff ตามชื่อเรื่อง) เพราะเป็นการรบที่ยิ่งใหญ่ และ มีความสำคัญมากตอนหนึ่งในพงศาวดาร สามก๊ก


แต่ถึงแม้จะเลือกมาแล้ว หนังก็ยังใช้เวลาในการเล่าเรื่องไปกว่า 5 ชั่วโมง อยู่ดี (สำหรับเวอร์ชันที่ฉายในเอเชีย และ ออสเตรเลีย) จึงจำเป็นต้องแบ่งเรื่องราว ออกเป็น 2 ส่วน

ออกตัวไว้ก่อนเลยว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับสามก๊กน้อยมาก เพราะฉะนั้น การวิจารณ์ในครั้งนี้ จะไม่คำนึงถึงความคล้ายคลึงกับ ประวัติศาสตร์จริง หรือ พงศาวดารของผู้แต่งแต่ละท่าน (ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันในรายละเอียด)



แต่จะวิจารณ์ในฐานะที่เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง






เอาหล่ะ มาเริ่มกันทีละภาคเลย








*** Red Cliff Part I ***






หนังเปิดเรื่อง ด้วยภาพของฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่งีบหลับบนบัลลังก์ อย่างไร้บารมีของผู้มีอำนาจ ก่อนที่นกตัวหนึ่ง(ไม่ใช่นกพิราบนะครับ ) จะบินมา พร้อมกับการปรากฏตัวของ โจโฉ (Fengyi Zhang) สมุหนายก ที่มาขออนุญาต แกมบังคับ จากฮ่องเต้ ในการยกทัพไปปราบกบฏทางใต้


ซึ่งในฉากนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้ โจโฉ คือ ผู้ที่คุมอำนาจทั้งหมดอย่างแท้จริง และยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรนี้



โจโฉ พร้อมด้วยกำลังทหาร ยกทัพไปปราบ จ๊กก๊ก ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ เล่าปี่ (Yong You) ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของ ฮ่องเต้ ปกครองอยู่






ด้วยจำนวนทหารของ โจโฉ ที่มากมายหลายแสน ทำให้ เล่าปี่ ต้องสั่งอพยพชาวเมืองเป็นการเร่งด่วน โดยมี ขงเบ้ง (Takeshi Kaneshiro) เป็นที่ปรึกษาสำคัญ



หนังใช้ช่วงเวลาสั้นๆนี้ ในการแนะนำตัวละครต่างๆ ในฝ่ายของเล่าปี่ และความสัมพันธ์ของพวกเขา


ซึ่งก็ได้แก่ จูล่ง (Jun Hu) แม่ทัพฝีมือดี ที่โชว์ฝีมือ ด้วยการ “ฝ่าทัพรับ อาเต๊า” ซึ่งเป็นลูกชายของเล่าปี (ตามแบบเรียนสมัยมัธยมนั่นแหล่ะ)

เตียวหุย (Zang Jinsheng) พี่น้องร่วมสาบานของเล่าปี่ ที่ออกจะเลือดร้อน บ้าพลัง

และ พี่น้องร่วมสาบานของเล่าปี่อีกคน กวนอู (Ba Sen Zha Bu) ที่ลุยเดี่ยว กับทหารแทบทั้งกอง เรียกได้ว่าเก่งกาจแบบไร้เทียมทานจริงๆ






ในเมื่อถูกรุกอย่างหนัก ขงเบ้ง จึงต้องหาทางออก ด้วยการไปเจรจากับ ซุนกวน (Chen Chang) ผู้ซึ่งปกครอง ง่อก๊ก ดินแดนทางตอนใต้ ให้ร่วมมือกับฝ่ายของตน ในการต่อต้าน โจโฉ



ซึ่งในช่วงนี้ หนังก็จะแนะนำตัวละครที่เรียกได้ว่า เป็นตัวเอกจริงๆของเรื่องสักที (หลังจากกินเวลาไปแล้วกว่า 40 นาที) นั่นคือ จิวยี่ (Tony Leung Chiu Wai) แม่ทัพใหญ่แห่ง ง่อก๊ก


พร้อมกับตัวละครสำคัญฝ่ายซุนกวน ได้แก่ กำเหลง (Shido Nakamura) แม่ทัพคนสำคัญของ ง่อก๊ก และตัวละครหญิง สองตัว คือ เสียวเกี้ยว (Chiling Lin) ภรรยาของ จิวยี่ ที่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของศึกครั้งนี้ และ ซุนหยิน (Wei Zhao) น้องสาวของ ซุนกวน ผู้พยายามพิสูจน์ตัวเองกับพี่ชาย






สำหรับภาคแรก หนังจบลงด้วยการ ปะทะกันของกองทัพทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นการรบภาคพื้นดิน ที่เต็มไปด้วยแผนการ และกลอุบาย ที่ทำได้เห็นภาพ และ เต็มไปด้วยรายละเอียด ซึ่งการศึกครั้งนี้เป็นเหมือนการเรียกน้ำย่อย ก่อนจะได้ดูกันเต็มๆใน ภาคสอง



โดยรวมแล้ว ภาคนี้ หนังใช้เวลาไปกับการปูเรื่อง และ แนะนำตัวละครเป็นส่วนใหญ่


หนังเฉลี่ยน้ำหนักไปที่ตัวละครต่างๆได้ดี ซึ่งในครึ่งแรก บทเด่นจะอยู่ที่ ขงเบ้ง ซึ่ง Kaneshiro ผู้รับบทนี้ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทีเดียว


จากนั้น จิวยี่ และ ซุนกวน ก็เข้ามาร่วมแชร์ความเด่นในครึ่งหลัง โดยบทบาทของ ขงเบ้ง ก็จะถูกลดลง







แม้ว่า จะโผล่มาช้า และ ยังไม่ได้เป็นบทนำที่ชัดเจนนักในครึ่งหลัง แต่ก็รู้สึกได้เลยว่า ตัวละครที่หนังวางให้เป็นตัวเอก จริงๆของเรื่อง ก็คือ จิวยี่ ของ เหลียงเฉาเหว่ย ซึ่งมาตรฐานการแสดงของ เหลียงเฉาเหว่ย ก็เชื่อถือได้อยู่แล้ว

สำหรับตัวละครหญิงในภาคนี้ ยังไม่มีบทบาทมาก


มิติของตัวละครต่างๆ ยังไม่ซับซ้อนนัก เพราะ หนังสร้างให้แต่ละฝ่าย มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน


ฝ่าย โจโฉ เป็นฝ่ายร้าย ก็ร้ายกันเต็มพิกัด ส่วน ฝ่ายซุนกวน และ เล่าปี ที่เป็นฝ่ายดี ก็ดีตามแบบฉบับ


แต่มันก็มีข้อดี นั่นคือ ทำให้ผู้ชมเอาใจช่วยตัวละครฝ่ายดี แบบที่หนังต้องการได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ร่วมอย่างได้ผลดีทีเดียว






สรุปแล้วภาคนี้ เป็นการปูเรื่อง ที่ดูสนุก และ ชวนติดตาม แม้จะมีบางช่วง บางตอน ที่ สามารถตัดทอน ย่นย่อลงไป โดยที่ยังสามารถเข้าใจเรื่องราวได้อยู่ดี ที่สำคัญมันประสบความสำเร็จ ในการสร้างความน่าติดตามสำหรับภาคสอง




7 / 10 ครับ










*** Red Cliff Part II ***






หลังจากที่ภาคแรกทิ้งท้ายได้อย่างน่าติดตาม คราวนี้เปิดเรื่องมาหนังก็เดินหน้ากันเต็มที่



หนังเปิดเรื่องด้วยการเท้าความถึงภาคแรกเล็กน้อย ช่วงแรกของหนังเป็นช่วงเวลาของการวางแผนการรบของทั้งสองฝ่าย เราจะเห็นการวางแผน และกลอุบายต่างๆของทั้งสองฝ่าย ที่ชิงไหวชิงพริบกันไปมา ซึ่งหนังก็นำเสนออกมาได้สนุกน่าติดตาม และแฝงด้วยอารมณ์ขัน


ทั้งการทำสงครามจิตวิทยาของทั้งสองฝ่าย ที่โจโฉ ข่มขวัญศัตรูด้วย ศพทหารที่ติดโรคระบาดอย่าง ในขณะที่อีกฝ่าย ก็มี อุบายยืมธนูแสนดอกของ ขงเบ้ง หรือ อุบายที่ใช้ในการกำจัด แม่ทัพเรือฝ่ายโจโฉ ของจิวยี่






อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเพิ่มเรื่องราวความสัมพันธ์ของ ซุนหยิน ที่เข้าไปเป็นสายสืบในกองทหารของ โจโฉ และได้สานสัมพันธ์กับ นายทหารฝ่ายโจโฉคนหนึ่งที่เล่น “ฉูจู้” (คล้ายๆฟุตบอล) ได้เก่ง (หน้าตาละม้ายคล้าย “คุณปลื้ม” อย่างที่เขาว่าจริงๆ) จนได้เป็นหัวหน้ากองพัน



ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้ ทำให้เราได้รับทราบมุมมองของทหารชั้นผู้น้อย เกี่ยวกับสงครามยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ที่หลายคน มาเข้าร่วมทัพ ก็เพื่อ ความเป็นอยู่ที่ดีกว่าของครอบครัว หรือ มีความจำเป็นอื่นๆ






นอกจากนี้ หนังยังให้น้ำหนักการเล่าเรื่องไปที่ฝ่ายของโจโฉมากขึ้น นั่นทำให้เรามองเหล่าทหารของโจโฉรวมถึงตัว โจโฉ เอง ดูเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้ร้ายที่มีมิติเดียว (แต่ก็ผู้ร้ายอยู่ดี)


ซึ่งทำให้ จางเฝิงอี้ ผู้รับบทโจโฉ ได้แสดงฝีมือทางการแสดงให้ได้เห็นกัน



แน่นอน การเพิ่มเรื่องราวของฝ่ายโจโฉลงไป ซึ่งเป็นเหมือนกับการสร้างความผูกพันกับผู้ชม ซึ่งทำให้ผู้ชมได้รับรู้ว่า เหล่าทหารไม่ว่าจะฝ่ายไหน ก็มีเลือดเนื้อ มีจิตใจเช่นกัน


อีกทั้งยังส่งผลให้ผู้ชม ได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของสงครามด้วย ซึ่งเมื่อภาพการล้มตายของทหารไม่ว่าจะฝ่ายไหนเกิดขึ้น ผู้ชมก็คงรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาบ้าง






ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้เป็นการเพิ่มมิติความลึกให้กับ Red Cliff ในแบบที่ภาคแรกไม่มี ได้เป็นอย่างดี


ที่สำคัญ วู ให้น้ำหนักเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้อย่างพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ไม่งั้นมุมมองเหล่านี้ ย่อมส่งผลถึงอารมณ์ของผู้ชมที่มีต่อหนังแน่นอน


ต้องชม วู และ ทีมผู้เขียนบทจริงๆ ว่าคุมอารมณ์ผู้ชมได้เก่งมาก



สำหรับตัวละครหญิงอีกคนของเรื่อง อย่าง เสียวเกี้ยว ที่แม้ภาคแรกจะไม่ค่อยมีบท แต่มาในภาคนี้ได้กลายมาเป็นตัวละครสำคัญ ซึ่งเป็นเหมือนที่เครื่องมือที่สะท้อนให้เห็นลักษณะนิสัยของ โจโฉ มากขึ้นด้วย






และแล้วในที่สุดฉากการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายที่ทุกคนรอคอย มาถึง
หนังทำได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ซึ่งฉากรบครั้งใหญ่นี้ กินเวลานาน และ ลากยาวไปจนจบเรื่อง


เริ่มด้วยฉาก การโจมตีของเรือไฟ ในเวลากลางคืน ที่น่าตื่นตา ตื่นใจ และยิ่งใหญ่ ก่อนจะเป็น ฉากการรบบนพื้นดิน ที่แสดงให้เห็น กลยุทธ์ต่างๆ อย่างละเอียด ซึ่งเหล่านี้ กลายเป็นไฮไลต์ สำคัญของภาคนี้


ถือว่าคุ้มค่าแก่การรอคอยจริงๆ






สำหรับ Red Cliff ภาคปิดท้ายภาคนี้ ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกเล็กน้อย ซึ่งต้องชมไปที่บทภาพยนตร์ ที่มีมิติ มีความลึกเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเหล่านักแสดงทั้งหลาย ก็ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งทำให้หนังมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


กับฉากสงครามก็ทำออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้น และยิ่งใหญ่ ตระการตา แต่ที่พิเศษคือ ไม่ใช่แค่ดูยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว


หากแต่หนังยังสร้างอารมณ์ร่วมที่หลากหลายกับผู้ชม ทั้งความรู้สึกฮึกเหิม สะใจ เมื่อฝ่ายตรงข้ามถูกทำลาย แต่ขณะเดียวกัน ก็ให้ความรู้สึกหดหู่ ด้วยการนำเสนอภาพความโหดร้ายของสงคราม ด้วยเลือดที่สาดเป็นสาย หรือศพทหารที่ถูกกองทิ้งมากมาย บ้างก็จมทะเล ของเหล่าทหารของทั้งสองฝ่าย

ซึ่งหนังจงใจแสดงภาพเหล่านี้ออกมา อย่างพอเหมาะพอเจาะกำลังดี







แต่จุดด้อยของหนัง ที่ยังคงต่อเนื่องมาจากภาคแรกคือ การให้น้ำหนัก ความเก่งกาจของทั้งสองฝ่าย ไม่สูสีกันเท่าไหร่นัก


ซึ่งฝ่ายโจโฉ มักจะโดนเล่นงานด้วยกลอุบายของ ขงเบ้ง และ จิวยี่ เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งถ้าให้ทั้งสองฝ่าย ฉลาดสูสีกัน หนังน่าจะ สนุกกว่านี้เยอะ



โดยภาพรวม Red Cliff Part II ทำหน้าที่ของตัวเองในการเป็นภาคที่เป็นบทสรุปได้อย่างสมบูรณ์




8 / 10 ครับ











*** บทสรุป ***



Red Cliff หรือ สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ ที่เป็นการตีความของ จอห์น วู ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นหนังที่ทำออกมาได้ถึงคุณภาพ



หนังถูกสร้างออกมาเพื่อเป็น หนังที่ขาย ความยิ่งใหญ่ และ ความบันเทิง อย่างเห็นได้ชัด


ด้วยการวางตัวละคร ที่แบ่งฝ่ายดี ฝ่ายร้ายอย่างชัดเจน ฉากแอ๊คชั่นที่เน้นความยิ่งใหญ่ ตระการตา และแม้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสงคราม แต่หนังก็ยังผ่อนอารมณ์ตึงเครียด ด้วยมุขตลกเล็กๆน้อยๆ จากลักษณะนิสัยของตัวละคร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ







หนังมีความเป็นแฟนตาซีมากกว่าจะเน้นที่ความสมจริงทางประวัติศาสตร์ นั่นทำให้เรื่องราวมีกลิ่นของความเป็นนิยายอยู่บ้าง


และแม้จะขายความบันเทิงเป็นหลัก แต่บทหนังก็ยังพอมีมิติ ไม่แบนราบ และ มีประเด็นที่น่าสนใจ แม้จะเป็นประเด็นเดิมๆ ที่เห็นกันมาบ่อยแล้วจากหนังสงครามเรื่องอื่นๆก็ตาม



ซึ่งความสำเร็จของหนัง ต้องยกเครดิตให้กับ ผู้กำกับ จอห์น วู และทีมเขียนบท ที่สร้างเรื่องราวขึ้นมา (แม้อาจจะขัดใจแฟนหนังสือบางคน)


และการวางตัวเหล่านักแสดง ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแทบทุกคน โดย เฉพาะ เหลียงเฉาเหว่ย ในบท จิวยี่ Kaneshiro ในบท ขงเบ้ง และ จางเฝิงอี้ ในบท โจโฉ ที่เป็นตัวเดินเรื่องหลัก


อีกทั้งฝ่ายเทคนิคต่างๆ ที่สร้างสรรค์งานออกมาได้เยี่ยมยอด






เมื่อพิจารณาว่า สามก๊ก เป็นวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ และโด่งดัง ระดับโลก ถ้าจะให้เทียบกับวรรณกรรมทางฝั่งตะวันตก จะถือว่าสูสีกับ The Lord of the Rings ก็คงได้



ถ้าพูดกันในแง่ของความยิ่งใหญ่ และความบันเทิง แม้ Red Cliff จะไม่ได้ถูกคาดหวังในระดับเดียวกับ The Lord of the Rings เวอร์ชั่นภาพยนตร์ เพราะ ทุนสร้างที่น้อยกว่ากันเกินครึ่ง


แต่กับผลลัพธ์ที่ได้ออกมาถือว่าเยี่ยมกว่าที่คาดไว้เยอะ และสามารถเอาไปเทียบกับ The Lord of the Rings ได้อย่างไม่อาย





คะแนนเมื่อพิจารณารวมสองภาคครับ

7 / 10





Create Date : 31 มกราคม 2552
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 0:53:11 น. 15 comments
Counter : 21948 Pageviews.

 
อ่านแล้ว คิดว่าข้อมูลที่ได้รับผิวเผินเกินกว่าจะเรียกว่าการวิจารณ์หนัง

ออกจะเป็นการเล่าเรื่องจากหนัง จากเพื่อนคนหนึ่งที่ได้ไปดูมามากกว่า


โดย: บอลย์ IP: 125.24.131.186 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:19:28 น.  

 
^
^
^
^

รับทราบครับ


ขอทราบความหมายของคำว่า "วิจารณ์" ของคุณ บอลย์ ด้วยครับ




ผมคิดว่าบทความนี้มีส่วนที่เป็นการ "วิจารณ์" อยู่ด้วยนะครับ

เช่น วิจารณ์ เกี่ยวกับ บทภาพยนตร์ วิจารณ์ เกี่ยวกับการวางตัวละคร และ ฝีมือการแสดงของนักแสดง วิจารณ์ด้านการคุมจังหวะของหนัง



แต่ส่วนที่ขาดไป หรือ มีน้อยมากๆ คือ การ "วิเคราะห์" ครับ (ซึ่งการวิเคราะห์ เป็นเหมือนการตีความหนัง หรือ วิเคราะห์ สัญลักษณ์ หรือ วิเคราะห์ ตัวละคร)




ผมว่าบทความนี้มีส่วนที่เป็นการ "วิจารณ์" แน่นอนครับ ไม่ใช่การเล่าเรื่องย่อ เพียงอย่างเดียว

แต่อาจขาดการวิเคราะห์ในเชิงลึก


เพราะฉะนั้น เลยอยากทราบความหมายของคำว่า "วิจารณ์" ในความหมายของคุณน่ะครับ



หมายเหตุ : "วิจารณ์" ต่างกับ "วิเคราะห์" นะครับ


โดย: navagan วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:50:43 น.  

 
เพิ่งดูภาคแรกเมื่อเช้าเองค่ะ ขอคุยด้วยนะคะ

เสียวเกี้ยวนี่มาจากไหนเนี่ย ไม่รู้สิคะ ตอนอ่านหนังสือไม่ได้สนใจมั้ง

กวนอูดูงิ้วไปหน่อยไม่ค่อยชอบเลย ออกรบแต่ละทีเหมือนอยู่บนเวที

ขงเบ้ง เราว่าทำท่าเวอร์ๆไปหน่อยค่ะ น่าจะดูสุขุมและฉลาดกว่านี้

ตอนอ่านฉบับการ์ตูนเราว่าจิวยี่ต้องหมั่นไส้ขงเบ้งไม่ใช่เหรอ แต่ในเรื่องนี้สามัคคีกันจัง

เล่าปี่แก๊แก่อ่ะ เสียดายซุนฮุหยิน

ชอบจิวยี่มากค่ะ พี่เหลียงเล่นได้เข้มดี

หล่อสุดเราว่าซุนกวนนะ

ภาคสองกำลังชั่งใจอยู่ค่ะว่าจะรอดูแผ่นดีไหม เพราะส่วนตัวไม่ประทับใจมากเท่าไร


โดย: Galilee วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:45:41 น.  

 
^
^
^

ตอบคุณ Galilee ครับ



ภาคแรกผมดูแผ่น เหมือนกันครับ

ดูเสร็จ วันถัดไปก็ดูภาคสองในโรงภาพยนตร์ทันที


ผมว่าดูในโรงภาพยนตร์ น่าจะ อลังการ และได้อารมณ์เต็มที่กว่านะครับ


อ่อ เห็นด้วยครับ ซุนกวน (จางเจิ้น) หล่อที่สุดแล้ว


โดย: navagan วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:33:13 น.  

 
เกริ่นนำไว้ก่อน เพื่อความเข้าใจอันดีต่อกัน
ก่อนจะมีพวกกล่องๆ เกรียนๆ มาต่ออีก ว่า "เก่งนัก ทำไมไม่ทำเองเล่าฮึ" (แต่มีก็ช่างนะ ผมไม่ใส่ใจ)
เพราะถือว่า คนเราเกิดมา มีพื้นฐาน การใช้ชีวิต ความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ที่ต่างกัน มีไม่เหมือนกัน และจะให้เหมือนกันเลยไม่ได้
แต่สิ่งที่ดีสิ่งหนึ่ง เมื่อได้อยู่ในสังคม คือการได้แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นที่แตกต่างกัน
นั่นทำให้เราไม่จมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองในแง่เดียว ทำให้เรามองสิ่งต่างๆ ได้รอบด้านมากขึ้น

เวลาดูหนัง ผมไม่ได้ดูเพื่อจับผิด (หนังที่คนดูจับผิดได้กันกระจาย อย่างเรื่อง the matrix ผมดูตั้งหลายรอบ ยังหาที่ผิดกับเขาไม่ได้เลย)
แต่ถ้าหนังมันสร้างมาขาดๆ เกินๆ หรือ ขัดแย้งจนไม่สมเหตุสมผลในตัวเอง แบบให้สามัญชนคนทั่วไปรู้สึกได้
มีหรือ ที่ผมจะไม่รู้สึกสะดุด และขัดเคือง กับเขาบ้าง (เหตุผลที่ผมมีสิทธิ์บ่น ก็คือ ผมเสียเงิน และเสียเวลา เพื่อดูหนังนะครับ)

อย่างไรก็ตาม หากผมได้อ่านความคิดเห็นจากคนอื่นๆ
ที่เคยรู้สึกสะดุด หรือขัดเคือง ก็อาจลดน้อยลงไป เพราะผมได้เห็นหนังในแง่มุมอื่น

เมื่อเห็นคุณวิจารณ์หนัง ผมก็ไม่รีรอที่จะเข้ามาอ่าน เผื่อว่าจะได้ทัศนะ ต่อหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้น
ผมไม่อายเลยที่จะบอกว่า ผมเข้ามาเพราะอยากได้ความรู้จากคุณ

แต่เมื่อเข้ามาอ่านแล้ว รู้สึกผิดหวังหน่อยๆ ก็ท้วงติงกันไป ตามธรรมดาของคนที่เห็นว่าคุณเคยทำได้ดีกว่านี้

ต่อๆ ...

ตามความหมายของผม
การวิจารณ์คือการแสดงให้เห็นว่า ภาพยนตร์นั้นมีลักษณะเช่นไร และตัดสินว่า มีดีอย่างไร และ/หรือ บกพร่องอย่างไร
เพื่อจะบอกกล่าวตามข้างต้นได้ ก่อนการวิจารณ์จึงต้องผ่านการวิเคราะห์มาก่อน
วิเคราะห์ เพื่อที่จะสามารถบอกถึงลักษณะของมันได้ ก่อนที่จะชี้ลงไปว่า มีดี หรือไม่ดี อย่างไร

เมื่อก่อน เคยมีคนวิจารณ์เรื่อง ดึกดำดึ๋ย เสียไม่มีดี ... แสงก็ห่วย บทก็ห่วย มุมกล้องก็ห่วย แถมยังมีจุดผิดๆ ให้เห็นอยู่เต็มตา ตลอดเรื่อง
แต่ยังมีคนที่เข้ามาให้ความเห็นต่อบทวิจารณ์นั้นว่า
"ป๋าเทพ ตั้งใจ จะทำหนัง ให้เป็นหนังที่ คนดูจบแล้ว อยากจะถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่จอ
หนังเรื่องนี้ จึงเต็มไปด้วยฉากรั่วๆ และการประชดตัวหนังเองอย่างร้ายกาจ "
และยังเสริมว่า บางที ที่หนังออกมาอย่างนั้น เพราะต้องการประชดนายทุนก็ได้
หลังจากที่ผม กับแฟน ได้อ่านความคิดเห็นดังกล่าว วันรุ่งขึ้นพากันไปดูเลย
แล้วเราสองคนก็ฮากันกระจาย เพราะความรั่วของผู้กำกับ จนทำให้ผมคิดว่ามันเป็นหนังที่ฮาที่สุดในรอบปีทีเดียว

มันทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมไม่ได้อ่านความคิดเห็นนั้น
ผมก็เหมือนคนที่วิจารณ์ในทีแรก คือดูแล้วก็รู้สึกว่าเสียเงินเข้าไปดูหนังเห่ยๆ เรื่องหนึ่ง ไม่คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป

ต่อๆ...

ที่ผมเขียนว่า ผิวเผินเกินกว่าจะเป็นการวิจารณ์นั้น เพราะ...

อ่านภาคแรกแล้ว เห็นว่าคุณเขียนน้อยเกินไป จนผมไม่ได้ทัศนะ หรือความคิดเห็น ต่อความดี และความบกพร่องของหนังจากคุณเลย

###
หนังเฉลี่ยน้ำหนักไปที่ตัวละครต่างๆได้ดี ซึ่งในครึ่งแรก บทเด่นจะอยู่ที่ ขงเบ้ง ซึ่ง Kaneshiro ผู้รับบทนี้ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทีเดียว
###
^
ดีทีเดียว แล้วดีอย่างไร? ...
ทาเคชิ สามารถทำให้คนดูเชื่อว่า เขาคือ ขงเบ้งผู้เรืองปัญญา มีลิ้นสามนิ้วไม่เน่าแค่อันเดียวก็ สยบฝ่ายตรงข้ามได้หมด อย่างนั้นหรือ?
หรือว่าเขาทำให้ภาพลักษณ์ของขงเบ้งวัยละอ่อน ปรากฏชัดขึ้นมา ด้วยการแฝงท่าทีเงอะๆ งะๆ ตามอย่างที่บทหนังต้องการให้เป็น อย่างนั้นหรือ?
ผมไม่อาจทราบได้ว่า เป็นเช่นไร...

###
แต่มันก็มีข้อดี นั่นคือ ทำให้ผู้ชมเอาใจช่วยตัวละครฝ่ายดี แบบที่หนังต้องการได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ร่วมอย่างได้ผลดีทีเดียว
###
^
อย่างนี้พอฟังได้ แต่ก็ยังคลุมเคลือ ... ในหนังเราต้องเอาใจช่วยฝ่ายดีอยู่แล้ว
แต่ฝ่ายดีมันรันทด หรือโดนตัวร้ายกลั่นแกล้ง ขนาดไหน
หรือบทมันส่งให้เราเกิดความเกลียดตัวร้ายมากแค่ไหน
จนเราจะเข้าไปร่วมก๊วนกับฝ่ายดีอย่างเต็มตัว ขนาดฮึกเฮิม หรือเศร้าใจ แทนกันได้

ส่วนอื่นๆ ผมไม่เห็นว่าเป็นการวิจารณ์ เกี่ยวกับบทภาพยนตร์ การวางตัวละคร ฝีมือการแสดง การคุมจังหวะของหนัง
เพราะเป็นการเล่าตามที่เห็น หนังเป็นอย่างไร ก็ถ่ายทอดมาอย่างนั้น
แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ดีๆ คุณจะตัดสรุปซะงั้น

ต่อๆ...

เมื่ออ่านภาคสอง ก็เห็นว่าคุณยังคงเล่าหนังไปเรื่อยๆ

มีช่วงหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นการวิจารณ์ ก็คือช่วงนี้
###
หนังยังให้น้ำหนักการเล่าเรื่องไปที่ฝ่ายของโจโฉมากขึ้น...
... เหล่าทหารไม่ว่าจะฝ่ายไหน ก็มีเลือดเนื้อ มีจิตใจเช่นกัน ...
... ซึ่งเมื่อภาพการล้มตายของทหารเกิดไม่ว่าจะฝ่ายไหนเกิดขึ้น ผู้ชมก็คงรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาบ้าง
###
^
อันนี้เด่น แต่ไม่ชัด ด้วยคำว่า ก็คง...ขึ้นมาบ้าง เพราะการแบ่งรับแบ่งสู้ ทำให้ความหนักแน่นในความหมายมันลดลง
ถ้าคุณหมายความอย่างที่เขียนแล้วล่ะก็ ผมก็ตีความเป็นว่า
"ฉากการสูญเสียทำได้ดีในระดับหนังสงครามทั่วไป
ที่สะเทือนใจก็เนื่องจากลักษณะเฉพาะของสิ่งที่เรียกว่าสงครามอยู่แล้ว ไม่มีอะไรโดดเด่นมากกว่านั้น
มันจึงทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาบ้าง"

แต่จะให้ตีความเป็น "ถ่ายทอดความสูญเสียในการรบ จนสามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่า สงครามเป็นสิ่งที่เลวร้ายเหลือเกิน
จนอยากจะลุกขึ้นมาถือป้าย No War!!! กับเขาบ้าง" อย่างนั้นก็ไม่ไหว

###
แต่จุดด้อยของหนัง ที่ยังคงต่อเนื่องมาจากภาคแรกคือ การให้น้ำหนัก ความเก่งกาจของทั้งสองฝ่าย ไม่สูสีกันเท่าไหร่นัก
ซึ่งฝ่ายโจโฉ มักจะโดนเล่นงานด้วยกลอุบายของ ขงเบ้ง และ จิวยี่ เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งถ้าให้ทั้งสองฝ่าย ฉลาดสูสีกัน หนังน่าจะ สนุกกว่านี้เยอะ
###
^
อ่านแล้วรู้ว่า นี่คือจุดด้อยของหนัง เพราะอะไร
ถือว่าเป็นส่วนที่ดีในบทความของคุณ ที่ตำหนิ โดยมีข้อเสนอแนะไว้ด้วย

แต่การที่เขียนแบบเปล่าๆ เช่น ...
- หนังก็นำเสนออกมาได้สนุกน่าติดตาม
- การโจมตีของเรือไฟ ในเวลากลางคืน ที่น่าตื่นตา ตื่นใจ และยิ่งใหญ่
- อีกทั้งเหล่านักแสดงทั้งหลาย ก็ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม
...น่าจะเป็นการเขียนในบทสรุปมากกว่า
การที่ไม่แสดงให้เห็นว่าดีอย่างไร ทำให้ผมสงสัยว่า อะไรถึงทำให้คุณบอกว่าดี สนุก และยิ่งใหญ่ แล้วที่ดี สนุก ยิ่งใหญ่ มันแค่ไหน
ถ้าคุณอธิบายไว้ ผมเชื่อว่าคนที่อ่านจะได้ประโยชน์จากความเห็นของคุณมากกว่านี้

สุดท้าย...
อีกเรื่องหนึ่งก็คือรูปแบบของบทความที่คุณเขียน ค่อนข้างจะเปิดเผยเนื้อเรื่อง
พวกตัวแปร หรือช่วงที่ตัวละครจะโผล่ออกมา ฉากที่จะมี ถูกไล่ลำดับไปเรื่อยๆ จนจบ
จนผมคิดว่า ถ้าไปดู คงไม่ต้องมีลุ้นแล้วว่าต่อไปจะได้เห็นอะไร
ผมจึงบอกว่า เหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งเข้าไปดูหนังแล้ว ออกมาเล่าให้ฟัง

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า คุณสามารถแสดงลักษณะของหนังได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเนื้อเรื่องเป็นฉากๆ เลย


โดย: บอลย์ IP: 125.24.104.164 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:14:40 น.  

 
^
^
^
^
^

ขอบคุณคุณบอลย์มากเลยครับ ที่ให้คำแนะนำ และให้ความกระจ่าง

แล้วบทความต่อไปจะปรับปรุงนะครับ

ถ้าอย่างนั้นจะถือว่าเพื่อนคนหนึ่ง เล่าให้ฟังก็ได้ครับ


ไม่อยากแก้ตัวนะครับ (แต่ขอนิดหนึ่ง อิอิ)
บอกเลยว่า บทความนี้รีบเขียนไปหน่อย ไม่ค่อยได้ ตรวจสอบ หรือ เจาะลึกมากน่ะครับ ดูเสร็จ เขียน แล้ว ก็โพสต์เลย




เอ่อ จากที่อ่านมา แสดงว่าคุณบอยล์ก็เข้ามาอ่าน Blog ผมเป็นประจำหรือเปล่าครับ

ชอบ หรือ ไม่ชอบบทความใหน ช่วยวิจารณ์ทีสิครับ ลองยกตัวอย่างบทความที่คุณว่าดี กับ ไม่ดีมาหน่อยครับ

จะได้มาพัฒนาการเขียนของตัวเอง


ขอบคุณมากๆครับผม ที่วิจารณ์ผมงานของผม
รอฟังคำตอบอยู่นะครับ


โดย: navagan วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:16:38 น.  

 
ผมชอบอ่านบทความวิเคราะห์ วิจารณ์ และการ review หนังของคุณ เพราะทำให้ผมเข้าใจในตัวหนังมากขึ้น เกิดมุมมองใหม่ๆ ไม่พลาดหนังดีที่ดูเหมือนจะไม่น่าสนใจ และไม่เสียเวลาไปกับหนังที่ข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง

มีบทความของบางเรื่อง(อย่าง Little Miss Sunshine หรือ Spiderwick) ที่ผมอ่านจนจบแล้วรู้สึกว่าตัวหนังมีความน่าสนใจมากขึ้น ทั้งที่แต่ก่อนไม่ได้อยู่ในสายตาเลย

หนังบางเรื่องที่ผมดูแล้ว จึงเข้ามาอ่าน(อย่าง The forbidden kingdom) แล้วก็เกิดอารมณ์ร่วมไปด้วย บางทีก็อ่านไปหัวเราะ หึหึ พร้อมกับส่ายหัวไปด้วย "เออ มันจริงว่ะ"

หนังบางเรื่องที่ผมอยากดู แต่ก้ำกึ่งว่าจะดูดีหรือเปล่า (อย่าง Tomb of the Dragon Emperor) ก็ได้บทความของคุณนี่แหละ ช่วยตัดสินใจ จัดระดับความสำคัญ ว่าจะเก็บไว้ดูช่วงไหน

บางบทความ สังเกตุเห็นว่าคุณเป็นคนที่เข้าใจหนังได้ลึกซึ้ง อย่าง The Strangers - *ขออธิบาย*
แต่เดิมผมดูเรื่องนี้จบแล้วก็บ่นว่า "นี่มันหนังอะไรของมันฟระ" เพราะไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับต่อที่มาที่ไปของพวกฆาตกรได้

เมื่อผมได้อ่านจากผู้ที่ post ตอบกระทู้คนหนึ่งว่า
ผู้กำกับ ได้แรงบันดาลใจจากการที่เขาอยู่บ้านตอนกลางคืน แล้วมีคนมาเคาะประตูถามว่านี่ใช่บ้านของคุณxxx หรือไม่
เมื่อรวมเข้ากับคำพูดของพวกโรคจิต ตอนท้ายเรื่อง จึงทำให้ที่มาที่ไปของพวกนั้น ชัดเจนขึ้นมาทันที

ในบทความของคุณ แม้ไม่ได้อ้างถึง แรงบันดาลใจในการทำหนัง แต่เมื่ออ่านข้อความด้านล่างแล้ว ก็คิดว่าคุณได้ทำการวิเคราะห์จนเข้าถึงเนื้อ ถึงกระดูก จริงๆ

###
ดูเหมือนว่า ผู้กำกับ Bertino ต้องการใช้ “ความสมจริง” ของบรรยากาศของสถานที่ในเรื่อง เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูรู้สึกว่า “มันน่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ”
###
การกระทำของ พวกโรคจิต จะ ดูไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องนำมาคิด หรือ กลายมาเป็นจุดบกพร่องของหนัง ที่จะเอามาว่าว่า หนังขาดความสมเหตุสมผลได้
###
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้อ่านบทความของคุณทั้งหมด เพราะเมื่อใดที่ผมอ่านๆ ไป แล้วรู้สึกว่า กำลังจะโดนแฉเงื่อน แฉปม ภายในหนัง (อย่างเรื่อง Solaris) ผมจะหยุดอ่าน (ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ผมเริ่มสนใจหนังเรื่องนี้ขึ้นมา)

และ...

ส่วนตัวแล้ว อะไรที่มันเล็กๆ น้อยๆ ผมจะมองไม่เห็นไปโดยอัตโนมัติ (ผมถึงไม่เคยจับผิด the matrix ได้เลยนิ) และเมื่อสิ่งที่ดีมันเด่นกว่า จึงกล่าวได้ว่า ผมพอใจ ชื่นชม และได้ประโยชน์ จากงานเขียนของคุณที่แล้วๆ มา เป็นอย่างมาก

Red Cliff นี้ ผมบังอาจวิจารณ์มา ก็เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับงานเก่าๆ ของคุณแล้ว ได้ข้อมูลจากการวิจารณ์น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ยังยืนยันคำเดิมครับ ผมชื่นชมงานของคุณ ส่วนที่ท้วงติงกันไป ก็ตามประสาของคนที่เห็นว่าคุณเคยทำได้ดีกว่านี้ เท่านั้น

ปล. เขียนมาตั้งเยอะ รู้สึกผิดเหมือนกันนะ ที่ผมเป็นต้นเหตุ ในการพา Red Cliff ออกทะเล ผมหวังว่าจะได้กลับเข้าฝั่งในอีกไม่ช้า


โดย: บอลย์ IP: 125.24.133.174 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:10:06 น.  

 
^
^
^

ขอบคุณมากๆครับ คุณบอลย์

ที่เสียสละเวลา มาแจกแจงรายละเอียด และให้คำแนะนำ


ผมถือว่าการถูกวิจารณ์ แบบมีเหตุผล หรือ ได้รับคำแนะนำเป็นสิ่งที่ดีครับ


เพราะจะได้ช่วยให้เราห็นข้อบกพร่อง ที่เรามองไม่เห็น

จะได้เก็บไปพัฒนางานครั้งต่อๆไป


และดีใจครับที่มีคนติดตามอ่าน และได้ประโยชน์จากงานของผม

ปล. ต่อไปจะพยายามเขียนให้ดีขึ้นครับ


โดย: navagan วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:43:18 น.  

 
เห็นใจคุณ navagan นะ เพราะคิดว่านั่นคือคำวิจารณที่ถือว่าดีแล้วสำหรับคนดูหนัง ถ้าต้องการให้มีรายละเอียดตีความลึกขนาดนั้นน่าจะให้คนสร้างมาร่วมแสดงเหตุผลด้วย

ผมมองว่าไม่ต้องแคร์เหตุผลที่ให้มามันหยุมหยิมเกินไป

ถ้าคุณเป้นคนดูหนังและให้เหตุผลในระดับนี้ได้ (ต้องในระดับนี้นะ) ผมถือว่ามุมมองของคุณอยู่ในเกณท์ไม่แพ้ใครแน่


โดย: ตรงๆ IP: 58.9.112.227 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:45:22 น.  

 
ภาคแรก สิ่งที่ดีที่สุดคือ เหลียงเฉาเหว่ย
ภาคสอง สิ่งที่ดีที่สุดคือ หลินจื้อหลิง (555555)

หนังยิ่งใหญ่ดีครับ แต่ขาดๆเกินๆ พอสมควรเลย
เสียดายว่ายังไงๆ ทาเคชิ คาเนะชิโร่ ก็เป็นการแคสต์ที่ผิดพลาดสำหรับบท "ขงเบ้ง" อยู่ดี


โดย: nanoguy IP: 125.24.172.9 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:07:01 น.  

 
โห ไปๆมาๆกลายเป็นการวิจาร์ณวิจาร์ณกันไปเลย -,.- ถ้าคุณความเห็นข้างบนโน้นมาอ่านรีวิวของผมน่ะ รับรองว่าจะต้องรู้สึกปวดตับฉับพลันอย่างแน่นอน 555+

ส่วนสามก๊กสองนี้... คือแบบว่ายังไม่ได้ดูเลยครับ !! คือด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ยังไม่มีโอกาสดูซะที (เอ๊ะ... คิดไปคิดมา โอกาสหน่ะมี แต่กลายเป็นไปดูเรื่องอื่นแทน -*-)

อ๋อ ขอบคุณที่ไปอ่านกันนะครับ ^^


โดย: BdMd IP: 124.122.166.142 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:18:44 น.  

 
แม้ว่าเจ้าของ Blog บอกว่าไม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่พอเห็นรูปแผนที่ตำแหน่งของผามออีแดง เอ้ย.. ผาแดง ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่งครับ ในรูปนั้นแสดงถึงตำแหน่งของ วุยก๊ก จ๊กก๊ก และ ง่อก๊ก และเจ้าของ Blog บอกว่า

"โจโฉ พร้อมด้วยกำลังทหาร ยกทัพไปปราบ จ๊กก๊ก ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ เล่าปี่ (Yong You) ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของ ฮ่องเต้ ปกครองอยู่"

ซึ่งผู้อ่านบทวิจารณ์นี้ อาจจะเข้าใจผิดได้ครับ ผมจึงอยากจะขยายความนิดหนึ่งครับ

เหตุการณ์ในศึกผาแดง เล่าปียังรวบรวมแผ่นดินไม่ได้ครับ ยังเป็นก๊กเร่ร่อนครับ และเวลานั้นก๊กของเล่าปีไม่ได้อยู่ที่ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ครับ (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางระหว่าง วุยก๊ก กับ ง้อก๊ก)

กว่าเล่าปีจะได้ครองเขต ตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นไปตามรูปที่แสดงนี่ก็หลังศึกผาแดงนี่หลายปีครับ

(สารภาพเพิ่งดูจาก CD ครับ เพราะผิดหวังในภาคแรก ซึ่งดูแล้วอึดอัดเพราะรับไม่ได้หลายตอน ภาคสองเลยเช่า CD มาดูดีกว่า)


โดย: SA-I IP: 124.120.183.73 วันที่: 1 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:06:08 น.  

 
^
^
^

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับผม


โดย: navagan วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:14:16 น.  

 
*** Red Cliff *** สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ (รวมสองภาค) replica bags
replica bags //www.itbag-china.com


โดย: replica bags IP: 192.99.14.36 วันที่: 5 มีนาคม 2557 เวลา:6:40:44 น.  

 
Hi there, the whole thing is going well here and ofcourse every one is sharing information, that's really excellent, keep up writing.
gilet moncler uomo //www.scitotalfitness.com/wp-content/plugins/it-moncler/c4dmehL6td/


โดย: gilet moncler uomo IP: 192.99.14.36 วันที่: 2 ธันวาคม 2557 เวลา:15:31:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.