All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
27 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

ธรรมชาติสั่งให้มนุษย์ทำลายตัวเอง

นวกานต์ กับ บุราณกานต์

ตอนที่ 4 "ธรรมชาติสั่งให้มนุษย์ทำลายตัวเอง"






ในพื้นที่ที่มืดสนิทมองไม่เห็นสิ่งใด เสียงสนทนาในภาษาไทย ของ นวกานต์ และ บุราณกานต์ ดังขึ้นมา



นวกานต์ : สวัสดี

บุราณกานต์ : สวัสดี เช่นกัน



นวกานต์ : ช่วงนี้กระแสเรื่อง “โลกร้อน” กำลังมาแรงเลยนะ

บุราณกานต์ : ใช่แล้ว อาจเป็นเพราะว่า มนุษย์เริ่มกลัว หลังจากเริ่มเห็นผลลัพธ์ในสิ่งที่ตนเองได้ก่อไว้ การหันมาใส่ใจธรรมชาติจึงกลายเป็นกระแส



นวกานต์ : ใช่ตามสัญชาติญาณของมนุษย์ ที่ถูกกระตุ้นด้วยความกลัว

บุราณกานต์ : อืม เห็นด้วย



นวกานต์ : นี่ พอมาคิดเรื่องนี้ มันทำให้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

บุราณกานต์ : เล่ามาเลยพวก



นวกานต์ : ขณะที่มนุษย์กำลังกล่าวหากันเองว่าพวกตนเริ่มทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง

แท้จริงแล้วธรรมชาติเองไม่ใช่หรือที่เป็นตัวการทั้งหมด


บุราณกานต์ : หมายความว่ายังไง?



นวกานต์ : มนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของ ธรรมชาติใช่ไหม?

บุราณกานต์ : เข้าใจแล้ว จะบอกว่า “ก็ธรรมชาติเองไม่ใช่เหรอ ที่เป็นคนสร้างสรรค์มนุษย์ขึ้นมาแบบนี้”



นวกานต์ : เข้าใจถูกต้อง ก็เพราะธรรมชาตินั่นเองที่สร้างให้มนุษย์มีพฤติกรรมแบบนี้


อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่มนุษย์บอกว่า “แย่ลง” หรือ “เลวร้ายขึ้น” นั้น

คำว่าแย่ลงนี่เป็นความหมายสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์นะ แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ อาจส่งผลดีต่อธรรมชาติโดยรวมก็ได้


บุราณกานต์ : หมายความว่าไง หรือจะบอกว่าธรรมชาติต้องการกำจัดมนุษย์เหรอ



นวกานต์ : ไม่ได้บอกแบบนั้น

แท้จริงแล้ว ธรรมชาติ อาจไม่ได้มี “เจตจำนง” อะไรเป็นพิเศษ มันก็แค่เป็นไปตามหลักของเหตุและผล


พูดง่ายๆว่า “มันก็แค่เป็นไปตามธรรมชาติ”


บุราณกานต์ : เห็นด้วย แล้วไอ้ที่บอกว่าให้หันมา “อนุรักษ์ธรรมชาติ” ด้วยการลดโลกร้อน น่าจะเปลี่ยนเป็น หันมา “อนุรักษ์เผ่าพันธุ์มนุษย์” น่าจะตรงประเด็นมากกว่า












นวกานต์ : สรุปว่า สิ่งที่มนุษย์ทำทั้งหลาย ไม่ว่าจะ “การทำลาย” หรือ “การอนุรักษ์” มันก็เป็นไปตาม “ธรรมชาติ” ของมนุษย์สินะ

เคยได้ยินไหม ว่าหลักการของธรรมชาติ คือการรักษาสมดุล


บุราณกานต์ : คุ้นๆ ขอแหล่งอ้างอิง



นวกานต์ : ไม่รู้แหล่งอ้างอิง original แต่นึกออกเพราะหนังเรื่อง Avatar

บุราณกานต์ : พูดถึง Avatar หนังอิงกระแส อนุรักษ์ธรรมชาติอยู่ไม่น้อย แต่มีตอนไหนเหรอ ที่พูดถึงสมดุลทางธรรมชาติ



นวกานต์ : จำไม่ได้ว่าฉากไหน แต่ที่จำได้คือ หนังบอกแบบอ้อมๆว่า การกระทำของมนุษย์ต่อธรรมชาติ คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขณะที่การกระทำของชาว Na’vi ที่เป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมชาติ คือ สิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งการใช้ชีวิตของชาว Na’vi เป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล


เอาหล่ะ แม้ว่าจะเป็นหนัง แต่มันก็มีนัยยะเปรียบเทียบถึงพฤติกรรมมนุษย์จริงๆ

ซึ่งจากสิ่งที่เราคุยกันไปแล้ว ทำให้เกิดข้อขัดแย้งว่า


“ถ้าการกระทำของมนุษย์เป็นภัยต่อธรรมชาติ ทำไมธรรมชาติถึงสร้างให้มนุษย์มีพฤติกรรมเช่นนั้น”


บุราณกานต์ : อืม ขัดแย้งทั้งในจักรวาลของหนัง และจักรวาลนี้



นวกานต์ : แล้วถ้ามนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปจริงๆ ก็เป็นไปตามหลักเหตุผลไม่ใช่หรือ ถือเป็นผลกรรม

บุราณกานต์ : ใช่ ถือเป็นกรรมของธรรมชาติ และกรรมของมนุษย์ด้วย ต่างกันที่ ธรรมชาติไม่สน แต่มนุษย์สน



นวกานต์ : กลับมาที่เรื่อง การรักษาสมดุลของธรรมชาติ ดีกว่า

รู้ได้อย่างไรว่าการกระทำของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นการทำลายสมดุล แท้จริงการมีอยู่ของมนุษย์ในตอนนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมชาติไม่อยู่ในสภาวะสมดุล และพฤติกรรมทั้งหลายที่มนุษย์กระทำเป็นวิธีกลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว


หรือว่า การกำจัดมนุษย์ทิ้งต่างหาก ที่เป็นการเข้าสู่สมดุลที่แท้จริง


บุราณกานต์ : หรือมองในมุมตรงข้าม พฤติกรรมที่มนุษย์ได้ทำลายสิ่งแวดล้อม จนส่งผลกระทบต่อตนเอง ก็เป็นกลไกหนึ่งในการสร้างความกลัวให้กับมนุษย์ จนหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง



เรื่องนี้เราคงไม่มีทางรู้คำตอบที่แท้จริง




นวกานต์ : ใช่ และตอนนี้ก็ได้แต่คอยดูผลลัพธ์ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร มันก็แค่การดำเนินไปตามธรรมชาติของมัน ด้วยหลักเหตุและผล


บุราณกานต์ : พูดง่ายๆว่า ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร มันก็แค่เป็นไปตามธรรมชาติ


และถ้าสมมติว่า ธรรมชาติมีเจตจำนง ก็สามารถพูดได้ว่า “ทุกการกระทำเป็นไปตามความต้องการของธรรมชาติ”




นวกานต์ : ใช่ เราอาจพูดได้ว่า “ธรรมชาติต้องการเช่นนี้” ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดำเนินไปในทิศทางนี้ เราไม่ได้ตัดสินใจอะไรเองเลย

มันก็เป็นแค่กลไกที่ต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ













บุราณกานต์ : นี่ ถ้าชายคนหนึ่งฆ่าคนตาย แล้วญาติของเหยื่อจับตัวเขาได้ เขาพูดกับญาติของเหยื่อว่า



“จะโทษผมคนเดียวไม่ได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะธรรมชาติสร้างผม และเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหลาย มีส่วนโดยตรงที่ก่อให้เกิดการฆาตกรรมครั้งนี้ ซึ่งมันเป็นไปตามหลักเหตุและผล”

“ผมก็แค่เหยื่อ ที่เปรียบเหมือนร่างทรงของธรรมชาติ”


“ผมไม่มีอิสระในการตัดสินใจที่แท้จริง ผมไม่มีเจตจำนงเสรี”




นวกานต์ : อืม “ร่างทรงของธรรมชาติ” พูดแล้ววกเข้า Avatar ได้อีกนะ


เอาอย่างนี้ ถ้าเกิดเราเป็นญาติของเหยื่อ เราอาจตอบกลับทางวาจา ว่า



“โปรดสงสารผมด้วย ในฐานะเหยื่อ ที่ต้องกระทืบคุณให้จมดินด้วยความโมโห”

“ผมก็แค่ร่างทรงของธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปตามหลักเหตุและผล อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้”


“แท้จริงแล้วผมไม่มีเจตจำนงเสรี เช่นเดียวกับคุณ”




จากนั้นก็เป็นเรื่องทางกาย ดีไหม


บุราณกานต์ : ฮ่าฮ่าฮ่า



นวกานต์ : ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่า

บุราณกานต์ : วันนี้ขอตัวนะ ลาก่อน



นวกานต์ : ลาก่อน เช่นกัน




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2553
4 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2553 2:27:43 น.
Counter : 3178 Pageviews.

 

ชอบจังครับ มองทุกอย่างด้วยเหตุและผล ที่สำคัญเป็นกลางมากๆ

อ่านแล้วสมองทำงานดีจัง ^^

 

โดย: Seam - C IP: 203.144.144.165 27 กุมภาพันธ์ 2553 12:44:47 น.  

 

นอนรึยังครับ

 

โดย: beerled IP: 203.144.144.164 1 มีนาคม 2553 2:28:40 น.  

 

+ แหะๆ ขอสารภาพว่าเปิดเข้ามาหน้านี้หลายรอบแล้วแหละครับ แต่ไม่มีเวลาว่างพอที่จะเม้นต์ได้เสียที ต้องขอโทษด้วยครับ

+ ไอเดียหลักของเอนทรี่นี้น่าสนใจทีเดียวครับ และผมก็เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้ในหลายๆ ประเด็นเช่นกัน

+ ผมเชื่อตามหลักศาสนาพุทธนะครับว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้นการเรียนรู้หลักธรรม ก็คือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วม และเข้าใจธรรมชาติให้มากที่สุด โดยไม่ไปเปลี่ยนแปลงหรือเบียดเบียนจนทำให้ธรรมชาติเสียสมดุลย์ไป

+ และจริงๆ แล้วโลกใบนี้ก็มีอายุตั้งหลายร้อยหลายพันล้านปีแล้ว ภัยธรรมชาติหนักๆ ก็เกิดมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง เพียงแต่ช่วง 2-3 ร้อยปีล่าสุดที่พวกเรามีชีวิตอยู่กันเนี่ย มนุษย์มันมีจำนวนมากเกินกว่าทรัพยากรของโลกที่มีอยู่จะรองรับได้ มันเลยกลายเป็นตัวเร่งให้ธรรมชาติทำการ "ปรับสมดุลย์" เพื่อให้มนุษย์มีปริมาณลดลงจนเหมาะสมที่จะอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเสียสมดุลย์อ่ะครับ

+ ผมเคยเล่นเกมส์ Sim Earth เมื่อนานมาแล้ว ยังเคยสร้างดาวที่มี มนุษย์ปลา หรือ มนุษย์นก ครองโลกด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นไม่แน่ว่าเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์สูญสิ้นลง อีกสัก 200 ล้านปีข้างหน้า ก็อาจมีสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่ขึ้นมาครองโลกต่อจากไดโนเสาร์และมนุษย์ก็เป็นได้

+ ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ โลกแพนดอร่า ของชาวเนวี่นะครับ ใช้ชีวิตแบบนั้นแหละดีสุดแล้ว ไม่เบียดเบียนต่อสถานที่ที่คุณอยู่อาศัย แต่ทำตัวกลมกลืนกับมัน ไอเดียป๋าเจมส์แกสุดล้ำจริงๆ ในเรื่องนี้

+ เป็นการถก (กับตัวเอง) ที่เก๋ไก๋ทีเดียวเจียวครับ ไว้จะรออ่านว่าหัวข้อต่อไปเป็นเรื่องอะไรเน้อ

+ อ้าว! เด็กประจวบฯ หรอกเหรอครับนี่ ผมชอบเขาช่องกระจกนะครับ ปีนขึ้นไปบนวัดแล้วมองลงมา วิวสวยจนแทบจะหยุดหายใจ (แต่กลัวลิง!)

 

โดย: บลูยอชท์ 5 มีนาคม 2553 0:46:15 น.  

 

๕๕๕+

ขอสมัครเป็นแฟนบล๊อกนะคะ

 

โดย: คนสองภาค 27 กรกฎาคม 2554 18:52:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.