|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ในห้วงแห่งความคิด มีเราสองคน
นวกานต์ กับ บุราณกานต์
ตอนที่ 3 "ในห้วงแห่งความคิด มีเราสองคน"
ในพื้นที่ที่มืดสนิทมองไม่เห็นสิ่งใด เสียงสนทนาในภาษาไทย ของ นวกานต์ และ บุราณกานต์ ดังขึ้นมา
นวกานต์ : สวัสดี
บุราณกานต์ : สวัสดี เช่นกัน
นวกานต์ : เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่เรา คิดในใจ เราจะคิดเป็น ภาษาพูด
บุราณกานต์ : อืม ไม่เคยสังเกตนะ อ้าว แล้วถ้าเป็น คนใบ้ หรือ คนหูหนวก หล่ะ
นวกานต์ : ก็คงเป็น ภาษามือ มั้ง ไม่มีความรู้ด้านนี้แฮะ
บุราณกานต์ : แล้วคนตาบอดหล่ะ จะคิดอย่างไร ฝันอย่างไร
นวกานต์ : เคยได้ยินว่า คนตาบอดจะฝันเป็น เสียง หรือ สัมผัสน่ะนะ
บุราณกานต์ : อืม
นวกานต์ : เอาเป็นว่ากรณีคนธรรมดาแล้วกัน ลองนึกดูเวลาเราคิดอะไรในใจ เราจะคิดเป็น ภาษาพูด ใช่ไหม
บุราณกานต์ : อืม
นวกานต์ : อย่างเราเป็นคนไทยเวลาคิดในใจก็จะได้ยิน เสียง ภาษาไทย โดยเสียงนั้นก็เป็นเสียงของเรานั่นเอง
บุราณกานต์ : อืม คนจีนก็คงคิดในใจเป็น เสียงภาษาจีน สินะ อันนี้ค่อนข้างเห็นด้วยนะ
นวกานต์ : ทีนี้มันก็น่าคิดว่า ในยุคที่ยังไม่มีภาษาพูด หล่ะ มนุษย์เราคิดในใจอย่างไร
บุราณกานต์ : คิดเป็นภาพหรือเปล่า
นวกานต์ : คงใช่
นี่หรือเปล่านะที่ทำให้มนุษย์ไม่ฉลาดขึ้น เพราะการคิดแบบเป็นภาษาพูด มันง่ายกว่าที่จะคิดเป็นภาพ
การคิดเป็นภาพ เป็นการฝึกทักษะทางสมองที่ดีกว่าการคิดเป็นคำพูด เพราะมันซับซ้อนกว่า
บุราณกานต์ : ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?
นวกานต์ : ลองคิดดู คนที่นั่งกดรีโมตเปิดทีวีทุกวัน กับคนที่เดินไปเปิดทีวีทุกวัน ใครจะมีขาที่แข็งแรงกว่ากัน
บุราณกานต์ : อืม เห็นภาพเลย เหมือนกำลังจะบอกว่า ภาษา เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสาร และมันก็ส่งผลต่อวิวัฒนาการของสมอง
นวกานต์ : อีกอย่างคือ เคยอ่านเจอว่าความสามารถของสมองมนุษย์ใน ยุค ค.ศ. 2000 เนี่ย ไม่ได้ต่างกับยุคหลายพันปีก่อนคริสตกาลเลย บุราณกานต์ : อ้าวแล้วการเดินทางไปนอกโลก หรือ เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคของเราหล่ะ มันแตกต่างกับสมัยก่อนมากนะ
นวกานต์ : นั่นเป็นเพราะเรา สะสม ความรู้ต่างๆมาจากอดีต แล้วนำมาต่อยอดไปเรื่อยๆต่างหาก
ระดับสติปัญญาของเราไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
บุราณกานต์ : เดี๋ยวก่อนนะ นึกออกแล้ว บางทีเวลานึกอะไรในใจก็ไม่ได้นึกเป็นภาษาพูดนะ
อย่างเวลาหิวข้าว ก็จะนึกถึงภาพสิ่งที่อยากกินนะ เช่นอยากกินผัดไทย ก็คิดถึงภาพผัดไทยแบบที่ชอบกิน
ไม่ได้คิดเป็นเสียงว่า ฉัน-อยาก-กิน-ผัดไทย นะ
นวกานต์ : อืม แต่นี่คงเป็นแค่การคิดแบบง่ายง่ายแค่นั้นมั้ง ที่คิดเป็นภาพ
บุราณกานต์ : ไม่จริง ไม่จริง เวลาคิดอะไรที่ซับซ้อน อย่างการแก้ปัญหาเราก็จะคิดเป็นภาพ ลองนึกดู เวลาเข็มกลัดตกลงไปในท่อแล้วเอามือล้วงเก็บไม่ได้ เราต้องคิดเป็นภาพว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรใช่ไหม
นวกานต์ : เออแฮะ อันนี้เห็นด้วย เราคงไม่คิดเป็นภาษาพูดว่า
เราจะเอาแม่เหล็กก้อนเล็กๆ ติดไว้กับปลายไม้เสียบลูกชิ้น แล้วหย่อนลงท่อ เพื่อให้ดูดติดกับเข็มกลัด แล้วดึงขึ้นมา
สมองเราจะคิดมันเป็นภาพ แล้วก็คงคิดได้เร็วกว่าที่จะคิดเป็นภาษาพูดอีกนะ
บุราณกานต์ : ใช่ไหมหล่ะ ฉะนั้นการที่เราจะสรุปว่า ภาษา เป็นตัวการทำลายพัฒนาการทางสมองนั้น มันเป็นการคิดที่ตื้นเกินไป
นวกานต์ : เออแฮะ พอมานึกดูแล้วเวลาเราคิดในใจก็ไม่ได้คิดเป็นภาษาพูดอย่างเดียวนี่นา
บุราณกานต์ : นี่ ถ้าพูดถึงทุเรียนแล้ว คงนึกถึงภาพผลไม้สีเขียวมีหนาม ไส้ในสีเหลืองใช่ไหม
นวกานต์ : ก็อาจจะใช่ อยากจะบอกอะไรงั้นหรือ
บุราณกานต์ : การคิดอะไรในใจเนี่ย บางทีมันเป็นการดึงข้อมูลต่างๆในสมองออกมาประมวลผลใช่ไหม
นวกานต์ : อืม เห็นด้วย
บุราณกานต์ : ซึ่งข้อมูลแบบต่างๆที่สมองเราจดจำไว้ ก็จะถูกดึงมาใช้ อย่างเราเลือกที่จะจดจำคุณสมบัติของแม่เหล็กว่า ดูดติดโลหะได้ สมองจะจำเป็น ภาพของการที่มันดูดติดกับวัตถุอื่น มากกว่าจะเป็นเสียงพูดว่า ดูดติดได้
นวกานต์ : จะบอกว่าการที่เราจะคิดเป็นเสียงหรือภาพนั้น ขึ้นอยู่กับว่า สมองเก็บข้อมูลของวัตถุดิบที่เรานำมาคิดในรูปแบบไหนเหรอ
บุราณกานต์ : ใช่
นวกานต์ : แล้วทำไมเราไม่คิดทุกอย่างเป็นภาพไปเลยหล่ะ มนุษย์เรา เห็นง่ายกว่า และ เห็นบ่อยกว่าได้ยินเสียงพูดนะ เพราะเราแทบจะใช้ตามองตลอดเวลา
บุราณกานต์ : อืม อาจเป็นเพราะว่า ส่วนใหญ่แล้วภาษาพูดมันมีความซับซ้อนน้อยกว่าน่ะสิ มันจึงจดจำได้ง่ายกว่า
นวกานต์ : ลองยกตัวอย่างได้ไหม
บุราณกานต์ : ง่ายๆ ลองเปรียบเทียบดู ถ้าเราต้องจดจำวัตถุชิ้นหนึ่ง ที่รายละเอียดเยอะมาก อย่าง คีมปอกสายไฟ ถ้าเราต้องจำรายละเอียดมันทั้งหมดจากการเห็น กับการ จำแค่รูปร่างคร่าวๆ และชื่อของมันที่เขียนไว้ว่า คีมปอกสายไฟ
อันไหนที่สมองจะจดจำและดึงออกมาใช้เวลาคิดในใจ ได้ง่ายกว่ากันหล่ะ
นวกานต์ : อืม เวลาคิด ถ้ามัวนั่งนึกภาพของมันคงช้ากว่าคิดเป็นเสียงพูดสินะ จะเว้นก็แต่เราเห็นมันบ่อยจนนึกออกเป็นภาพได้ง่ายกว่าเสียงพูด
จะบอกว่าที่คนเราส่วนใหญ่จะคิดเป็นภาษาพูด เพราะ ภาษาพูดถูกออกแบบมาให้ซับซ้อนน้อยกว่า และสามารถจดจำได้ง่ายกว่าใช่ไหม
บุราณกานต์ : ใช่ แต่ในบางกรณีที่สิ่งๆนั้นมี ภาพ ของมันชัดเจนกว่า เสียงพูด เราก็จะจำเป็นภาพ
นวกานต์ : แต่เดี่ยวก่อน ตะกี๊นี้บอกว่า มันเขียนว่า คีมปอกสายไฟ แล้วทำไมสมองถึงไม่บันทึกภาพของคำว่า คีมปอกสายไฟ ไปแทนหล่ะ
บุราณกานต์ : มันจะต่างอะไรกับการจำภาพหล่ะ ตัวหนังสือตั้งกี่ตัว ดังนั้นเพื่อให้ง่ายสมองเลยบอกให้เราอ่านมัน แล้วจัดการจำเสียงที่เราอ่านไว้ในหัว แม้ว่ามันจะเป็นการอ่านในใจก็ตาม
แต่ก็มีนะ คนที่จำตัวหนังสือเป็นภาพ
เคยมีเพื่อนบางคนบอกว่า ตอนสอบมันอ่านหลายรอบจนจำได้ว่าหน้านี้เป็นอย่างไร บรรทัดนี้เขียนว่าอะไร
สามารถนึกออกมาเป็น ภาพ ของหน้าหนังสือนั้น ในหัวได้เลย ขณะที่บางคนที่อ่านเพียงไม่กี่รอบ ก็จะจำได้เป็น เสียงพูด ซึ่งเกิดจากการอ่านนั่นเอง
นี่เป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า การจดจำในรูปแบบ เสียงพูด ทำได้ง่ายกว่า การจดจำในรูปแบบ ภาพ
นวกานต์ : อืม
บุราณกานต์ : ใช่ แต่เห็นด้วยนะที่ว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่จะคิดเป็นเสียงพูด
นวกานต์ : ไม่ใช่แค่เสียง แต่ต้องเป็น เสียงที่มาจากภาษาพูด
บุราณกานต์ : อืม นั่นหมายความว่ามนุษย์เราโดน ภาษา ครอบงำอยู่สินะ
นวกานต์ : ใช่ ไม่ว่าจะภาษาไทย ภาษามือ ภาษากาย หรือ ภาษาพูด
บุราณกานต์ : อาจเป็นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การสื่อสารจึงเป็นเรื่องจำเป็น และกระทำบ่อยจนเป็นความเคยชิน
นวกานต์ : ใช่ ภาษาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสาร เพื่อให้ง่ายและสะดวก ที่สำคัญมันยังทำให้เราเข้าใจเรื่องยากๆได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องจินตนาการเป็นภาพ
บุราณกานต์ : ใช่ อย่างเราอยากจะอธิบายเรื่องการหลุดของอิเล็กตรอนจากอะตอม เราจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด และไม่ผิดเพี้ยน
นอกจากจะใช้ ภาษา เป็นสื่อกลาง
นวกานต์ : ทำเป็นภาพอนิเมชั่น?
บุราณกานต์ : มันทำยากกว่าเขียนอธิบายน่ะสิ และถึงจะมีภาพก็ต้องมีการอธิบายประกอบอยู่ดี ถ้าจะให้เข้าใจลึกซึ้ง และถูกต้อง
อืม ดังนั้นภาษาน่าจะช่วยให้เกิดการแชร์ความรู้ และเป็นตัวกลางสำคัญในการเก็บรักษา และส่งถ่ายความรู้สินะ
นวกานต์ : อืม ในการสื่อสาร มันต้องประกอบไปด้วยผู้รับสาร และ ผู้ส่งสาร ใช่ไหม
บุราณกานต์ : ถูกต้อง
นวกานต์ : ดังนั้นถ้าเราเริ่มใช้ภาษา หมายความว่าเราต้องการสื่อสาร
บุราณกานต์ : ใช่ และถ้าเราเป็นผู้ส่งสาร ย่อมต้องมีผู้รับสาร
นวกานต์ : แล้วการที่เรา พูดในใจ กับตัวเองหล่ะ เราพูดกับใคร ก็ในเมื่อเราเป็นผู้ส่งสาร เราย่อมรู้ เนื้อสาร แล้วจะพูดอีกทำไม?
บุราณกานต์ : และก็เป็นเราเองอีกเช่นกัน ที่เป็นผู้รับสาร ซึ่งเราในฐานะผู้รับสารย่อมไม่รู้ เนื้อสาร จนกว่าผู้ส่งสารซึ่งก็คือตัวเราเอง จะพูดจบด้วยซ้ำ
มันเป็นไปได้อย่างไรที่มีตัวเราที่ทั้ง รู้ และ ไม่รู้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
นวกานต์ : หรือว่ามันเป็นกระบวนการในการ "จดบันทึก" ของสมอง เพื่อให้สมองได้เก็บข้อมูลสิ่งที่เราคิดในรูปแบบเสียงพูด
หรือว่าในบางครั้งกระบวนการคิดต้องทำผ่านการใช้ภาษา ซึ่งการ พูดในใจ เป็นกระบวนการดึงข้อมูลออกจากสมอง บุราณกานต์ : ก็เป็นไปได้
ที่แน่ๆ ขณะพูดกับตัวเอง ในความคิดเราจะมี 2 ตัวตน นั่นคือ ผู้ส่งสาร กับ ผู้รับสาร
นวกานต์ : อืม พูดอย่างนี้เหมือนบอกว่า ความเป็นตัวตนของเราเนี่ย แท้จริงแล้วคือ ข้อมูลทั้งหลายที่อยู่ในสมอง ไม่ใช่ตัวสมอง
งั้นเราจะสรุปอย่างชัดเจนได้ไหมว่า ในห้วงขณะหนึ่งของความคิด เรามี 2 ตัวตน นั่นคือ ผู้ส่งสาร และ ผู้รับสาร
บุราณกานต์ : หรือว่า มีตัวตนเดียวแต่ทำได้สองหน้าที่ พร้อมกัน
นวกานต์ : อืม น่าสนใจ คิดไม่ตก และคงต้องคิดนานๆ
ขอตัวไปคิดก่อนก็แล้วกัน
บุราณกานต์ : ลาก่อน
นวกานต์ : ลาก่อน เช่นกัน
Create Date : 05 ธันวาคม 2552 |
|
12 comments |
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 4:27:48 น. |
Counter : 1634 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:31:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:32:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:32:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:32:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:32:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:33:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:33:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:33:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:33:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:33:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: navagan 14 ธันวาคม 2552 0:34:11 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]
|
นวกานต์ ราชานาค Navagan Rachanark
สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ
สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน
ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ
|
|
เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม Time 09:00 Date 31/01/2010
by Histats.com
ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog
ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ
ขอบคุณครับ
|
|
|
|
|
|
|
|
ขบกันไปอีกนาน ^_^