All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2563
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 พฤษภาคม 2563
 
All Blogs
 
*** The Half of It *** ครึ่งไหนที่ใจต้องการ

*** The Half of It ***






หนังรางวัลยอดเยี่ยมจาก Tribeca Film Festival 2020 โดยผู้กำกับ/เขียนบท Alice Wu เรื่องนี้ มีความเป็นหนัง Romantic Comedy มากกว่าจะเป็นหนัง Drama เคร่งเครียด ทั้งที่หากพิจารณาจากเรื่องย่อที่ว่าด้วย "เรื่องราวความรักที่ไม่มีข้อจำกัดทางเพศของวัยรุ่น 3 คน" แล้ว หนังน่าจะเป็น Drama หนักๆได้ไม่ยาก



หนังเปิดเรื่องด้วยการอ้างอิงถึงตำนานกรีกโบราณที่บอกว่า

“เดิมทีมนุษย์มี 4 แขน 4 ขา 2 หัวติดกัน ก่อนจะถูกพระเจ้าทำให้แยกจากกัน นั่นทำให้มนุษย์ถวิลหาอีกครึ่งหนึ่งที่เคยเป็นคู่ของเราเสมอ”

ซึ่งตำนานที่ว่านี้ นอกจากจะเป็นที่มาของเรื่องแล้ว ยังเป็น theme หลักที่อธิบายตัวละครทั้ง 3 ของหนังได้อย่างตรงไปตรงมา



*** จากนี้ไปเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ เหมาะสำหรับผู้ที่ชมแล้วเท่านั้น ***






Ellie Chou (Leah Lewis) เด็กสาวชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานตามพ่อกับแม่มาอยู่ที่เมืองเล็กๆในอเมริกา ต้องรับหน้าที่เป็นมันสมองให้กับ Paul Munsky (Daniel Diemer) นักกีฬาประจำโรงเรียน ในการเขียนจดหมายรักถึง Aster Flores (Alexxis Lemire) สาวสวยประจำโรงเรียน ที่เป็นแฟนกับผู้ชายที่ popular ที่สุดในเมืองนี้



หากอ้างอิงจากตำนานกรีกข้างต้น เราจะพบความสัมพันธ์ของตัวละครดังนี้



ทั้ง Ellie และ Paul ต่างก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นคนคนเดียวกัน (ในมุมมองของ Aster) เมื่อทั้งคู่มีจุดประสงค์ร่วมกัน (เพื่อเอาชนะใจ Aster)

โดยทั้งสองเหมือนแบ่งครึ่งกันทำงาน



Ellie คือส่วนของความคิด

Paul คือส่วนของร่างกาย



นั่นหมายความว่า

ทั้งคู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ด้วยอิทธิพลของความรักที่มีต่อ Aster






การที่หนังวางเงื่อนไขให้ตัวละคร Aster คือตัวละครที่ต้องเลือกระหว่าง Ellie และ Paul เป็นการแสดงให้เห็นถึงคำถามที่ว่า



แท้จริงแล้วคนเราจะรักคนอื่นที ความคิด (Ellie) หรือ กายภาพ (Paul) กันแน่ ?



คำตอบที่หนังให้กับผู้ชมนั้นค่อนข้างชัดเจนว่า Aster สนใจในความคิดที่เป็นของ Ellie มากกว่าตัวตนของ Paul



ซึ่งคำตอบนี้เป็นการก้าวข้ามเงื่อนไขเรื่องเพศสภาพและกายภาพอย่างสิ้นเชิง






อย่างไรก็ตามมนุษย์ยังอยู่ในสังคม และสังคมก็มีค่านิยมที่ถูกสั่งสมกันมานาน

ซึ่งหนังเลือกนำเสนอภาพเมืองสมมติในเรื่องที่ชื่อว่า Squahamish ให้เป็นเมืองชนบทที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังหัวโบราณและเคร่งในศาสนา

การรักคนเพศเดียวกัน ยังเป็นเรื่องผิดบาปในสังคมนี้
(แม้แต่ในเด็กรุ่นใหม่อย่าง Paul เองก็ยังเผลอพูดออกมาว่า "มันไม่บาปเหรอที่ Ellie จะไปชอบ Aster ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน")



ฉาก climax สุดท้ายของหนังที่ Ellie เผยความในใจออกมากลางโบสถ์ หลังจากที่แฟนหนุ่มของ Aster ขอ Aster แต่งงาน คือความกล้าหาญที่จะแหกกฎเกณฑ์ค่านิยมเดิมๆ รวมถึงความเชื่อทางศาสนา ที่ยังยึดติดในเรื่องเพศสภาพกับเรื่องความรัก



ดังนั้นการประกาศกร้าวอย่างกล้าหาญต่อทุกคนในโบสถ์ของ Ellie จึงเป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านค่านิยมแบบเดิม

และมันยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า Ellie (ความคิดและจิตวิญญาณ) ได้หลุดจากกรอบของ Paul (ร่างกายและเพศสภาพ) ไปแล้ว



เหมือนกับนิยามความรักที่ Ellie บัญญัติขึ้นมาเองว่า



“ความรักคือความยุ่งเหยิง เลวร้าย เห็นแก่ตัว และกล้าหาญ”






หากพิจารณาในมุมของ Paul เราจะพบว่าหนังเองก็ใส่ประเด็นเรื่อง “เรารักคนที่ความคิดและจิตใจ หรือ รักที่รูปร่างหน้าตา” ด้วยเช่นกัน



โดยหนังให้ตัวละคร Paul หลงรัก Aster จากการได้เห็นเธอ ได้ยินเสียงเธอ แม้จะยังไม่เคยพูดคุย (รักที่รูปร่างและกายภาพ)

ก่อนที่ Paul จะเปลี่ยนใจมารัก Ellie หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมาพักใหญ่ (รักที่ความคิดและนิสัยใจคอ)




ซึ่งเรื่องราวของ Paul ก็เป็นส่วนสำคัญในการเสริมประเด็นหลักของหนัง






พูดถึงเรื่องสัญลักษณ์ เราจะพบว่าหนังแทรกสัญลักษณ์ต่างๆไว้มากมาย

หลักๆเลยก็คือการสร้างเงื่อนไขผ่าน "สถานที่" ที่ตัวละครใช้ชีวิตอยู่
โดยเฉพาะเมือง Squahamish ที่เป็นสัญลักษณ์ของกรอบค่านิยมเดิมๆที่ยังไม่เปิดรับความรักของเพศที่หลากหลาย


การที่ทั้ง Paul และ Ellie ไม่เคยออกไปไหนนอกจากเมืองนี้ ก็เปรียบเสมือนกับการที่ตัวละครทั้งสองยังติดอยู่ในค่าค่านิยมแบบเดิม



หนังยังให้ Ellie ทำงานแทนพ่อผู้เป็นนายสถานีรถไฟ เพื่อให้ตัวละคร Ellie มองดูรถไฟพาผู้คนเคลื่อนย้ายไปยังที่อื่น

แต่เธอกลับไม่เคยได้ไปไหน ทั้งที่เธออยู่ที่สถานีรถไฟซึ่งง่ายมากต่อการเดินทางไปที่อื่น

เหมือนช่วงแรกที่ครูวิชาปรัชญาพยายามแนะนำให้ Ellie ไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ แต่เธอก็ปฏิเสธ



แต่ในตอนจบเมื่อ Ellie ตัดสินใจบอกความในใจว่าเธอรัก Aster โดยไม่สนใจค่านิยมและกรอบของสังคม
ภาพสุดท้ายของหนังที่เราเห็น จึงเป็นภาพของ Ellie นั่งรถไฟไปเรียนต่อที่เมืองอื่น



นี่จึงเป็นสัญลักษณ์ถึงการหลุดพ้นทางจิตใจจากค่านิยมเก่าของสังคม






แม้ The Half of It จะวางตัวเองเป็นหนัง Romantic Comedy ที่ไม่จริงจังกับตัวเองมากนัก แต่หนังก็ยังมีประเด็นที่หนักแน่นให้ผู้ชมจับต้องได้



ส่วนที่ดีของหนังคือทีมนักแสดงนำทั้ง 3 ที่ทำให้เชื่อได้จริงๆว่า ทำไมพวกเขาถึงรักกัน

ซึ่งก็ต้องชมไปที่บทหนังที่สร้างตัวละครเหล่านี้ให้มีมิติความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้


แต่ในขณะที่ 3 ตัวละครหลักมีมิติความลึก ตัวละครอื่นกลับกลายเป็นตัวละครที่แบนราบ และดูเหมือนถูกใส่เข้าเพื่อมาเป็นเงื่อนไขให้ตัวละครหลักโดยขาดที่มาที่ไป หรือบางทีก็กลายเป็นตัวตลก

อย่างเช่นบทแฟนของ Aster ที่เป็นตัวละครที่แบนราบ ถูกใช้งานเพื่อสร้างเงื่อนไขให้ตัวละคร และเพื่อเป็นความตลกขบขันเท่านั้น






โดยภาพรวมแล้ว The Half of It อาจไม่ใช่หนัง Romantic Comedy ตามสูตร แต่ก็เป็นหนังที่ดูสนุกได้เรื่องหนึ่ง

สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของหนังคือการมีประเด็นที่หนักแน่น โดยที่ไม่ต้องทำตัวเครียดหรือจริงจังจนเกินไป


และที่สำคัญก็คือ หนังสื่อสารประเด็นเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าจดจำ





7 / 10 ครับ





Create Date : 11 พฤษภาคม 2563
Last Update : 11 พฤษภาคม 2563 0:57:52 น. 7 comments
Counter : 3200 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse, คุณหอมกร, คุณอุ้มสี, คุณ**mp5**


 
กระทู้ที่ตั้งใน Pantip

https://pantip.com/topic/39885809


โดย: navagan วันที่: 11 พฤษภาคม 2563 เวลา:1:06:50 น.  

 
navagan Movie Blog ดู Blog
รีวิวได้ยอดเยี่ยมแต่ประเด็นหนังค่อนข้างหนักจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 11 พฤษภาคม 2563 เวลา:7:31:15 น.  

 

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ปรศุราม Literature Blog ดู Blog
ทุเรียนกวน ป่วนรัก Art Blog ดู Blog
navagan Movie Blog ดู Blog

ปรบมือสิคะพี่น้อง
รออ่านบทวิเคราะห์หนังแบบนี้ค่ะ
มาทีไรได้ใจไปเต็มเต็ม
โหวต


โดย: อุ้มสี วันที่: 11 พฤษภาคม 2563 เวลา:9:32:00 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ


โดย: **mp5** วันที่: 11 พฤษภาคม 2563 เวลา:13:26:22 น.  

 
ฉากสุดท้ายที่นางเอกมองทุกคนในรถไฟแล้วหันมามองกล้องก่อนตัดจบต้องมีความหมาย อยากรู้ว่าหมายถึงอะไรครับ ใครพอทราบบ้าง


โดย: The Love IP: 223.24.92.53 วันที่: 12 พฤษภาคม 2563 เวลา:2:25:43 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ


โดย: **mp5** วันที่: 18 พฤษภาคม 2563 เวลา:9:45:07 น.  

 
ฉากที่Aster ถามพอลว่าเชื่อในพระเจ้ามั้ยพอพอลตอบว่าเชื่อ asterจูบพอลก่อน กำลังสื่อให้เห็นว่า asterชอบพอล หรือเปล่า


โดย: The half of it IP: 49.49.241.39 วันที่: 19 สิงหาคม 2563 เวลา:10:29:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.