All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
17 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
Mini Reviews 22 : ทริปอันตราย วันโลกสลาย หมากลายพันธุ์ คนเห็นผี ประธานาธิบดีฉาว

เก็บตกหนังที่ได้ดูเดือนกันยายนครับ





Transsiberian






ทริปอันตราย



Trip ท่องเที่ยวผ่านทางรถไฟสาย Trans-Siberian ที่กินพื้นที่ตั้งแต่ ตอนเหนือของจีน แล้วข้ามทวีปไปจนถึง Moscow ของสองสามี-ภรรยา Roy (Woody Harrelson) และ Jessie (Emily Mortimer) ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวธรรมดา เพราะ Trip นี้เต็มไปด้วยอันตราย และความไม่น่าไว้วางใจ



Transsiberian เต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดเดาไม่ได้ ขณะที่ตัวละครทั้งหลายในเรื่องก็ไม่น่าไว้วางใจเช่นกัน ตลอดเวลาที่หนังดำเนินไปอารมณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นตลอด ซึ่งนี่คงเป็นอารมณ์เดียวกันกับที่ Jessie ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชม ต้องเผชิญ


นอกจากนี้ประเด็นเกี่ยวกับ “ความผิดติดตัว” อันเป็นประเด็นหลักในผลงานเก่าของ ผู้กำกับ Brad Anderson อย่าง The Machinist ก็อบอวลอยู่ในตัวละคร Jessie อีกด้วย


แม้หนังจะเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ และสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ แต่ตอนจบของหนังก็ยังเป็นไปตามสูตรสำเร็จอยู่ดี ด้วยการจบที่ค่อนข้างจะ Happy และคลี่คลายทุกอย่างลงด้วยดี


อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Transsiberian จะตีแผ่ด้านมืดของจิตใจมนุษย์ และมอง Russia ในแง่ร้าย แต่พอหนังจบ มันกลับทำให้รู้สึกอยากเดินทางไปเที่ยวผ่านทางรถไฟสายนี้เสียแล้ว เพราะภูมิประเทศมันดูมีเสน่ห์แบบประหลาดซึ่งไม่น่าจะมีส่วนไหนในโลกนี้เหมือน




7 / 10 ครับ








Knowing






วันโลกสลาย



เมื่อพิจารณาจาก “หน้าหนัง” แล้ว Knowing อาจไม่ต่างจากหนัง “โลกาวินาศ” เรื่องอื่นๆมากนัก แต่ทันทีที่เห็นชื่อผู้กำกับอย่าง Alex Proyas ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ทันที



ผลงานของผู้กำกับ Alex Proyas ไม่เคยเป็นเพียงแค่งานเพื่อความบันเทิงดาดๆ หรือไร้ซึ่งจุดเด่นใดๆ แม้กระทั่งหนัง Action ตลาดจ๋า อย่าง I’Robot Proyas ยังสอดแทรก “คำถามเชิงปรัชญา” ลงไปได้อย่างแนบเนียนและเหมาะสมกับเรื่องราวของหนัง


และคำถามเชิงปรัชญาที่ Proyas มักจะถามผู้ชมก็คือ “คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่และลักษณะของชีวิตหรือจิตวิญญาณ”

อย่างใน Dark City กับคำถามที่ว่า “เราเป็นเจ้าของวิญญาณเราเองจริงหรือ” หรือใน I’Robot ที่ว่า “อะไรคือวิญญาณ ถ้าหุ่นมีความคิดและความทรงจำเป็นของตนเอง ถือว่า มีวิญญาณไหม”



แน่นอนว่าใน Knowing ยังมีคำถามแบบนี้อยู่ แต่ครั้งนี้ Proyas เล่นกับประเด็นที่หนักข้อขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งหนังยิงประเด็นนี้ใส่ผู้ชมกันตรงๆผ่านการสอนนักศึกษาของ John Koestler (Nicolas Cage) อาจารย์ทางด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ด้วยคำถามที่ว่า “สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความเป็นเหตุเป็นผลที่ต่อเนื่องกัน หรือว่า มันได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”



แม้จะมีประเด็นหนักๆ แต่ Knowing ก็ยังทำหน้าที่เป็นหนัง “โลกาวินาศ” ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ด้วยฉากหายนะฉากใหญ่สองฉาก ที่ทำได้ยิ่งใหญ่ และตื่นเต้น (นี่ยังเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้ดูในโรง )

และกับการคลี่คลายเงื่อนปมความลับต่างๆนั้น หนังก็ทำได้สนุกและชวนติดตาม
ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีเลยสำหรับหนังหายนะสักเรื่อง ที่ไม่จำเป็นต้องเน้น Effect อลังการ หรือฉากวินาศสันตะโรใหญ่โต มาสร้างความตื่นเต้นเพียงอย่างเดียว


กับบทสรุปที่หนังให้มานั้น แม้จะน่าชื่นชมในความ “กล้า” ที่จะเล่นกับ “ความเชื่อ” ขั้นสูงสุดของคนส่วนใหญ่ แต่การที่มันสรุปแบบชัดเจน ก็กลายเป็นการปิดกั้นจินตนาการของผู้ชมเกินไป นี่ถ้าหนังปล่อยให้ผู้ชมต่อยอดความคิดเอาเอง (แต่จะแอบชี้นำนิดๆก็ได้ ) น่าจะทำให้หนังมีตอนจบที่น่าประทับใจกว่านี้




7 / 10 ครับ








X-Men Origins: Wolverine






หมากลายพันธุ์



X-Men Origins: Wolverine ถือเป็นหนึ่งใน Project ต้นกำเนิด ของสมาชิกกลุ่ม X-men เรื่องแรก ซึ่งก็ตามชื่อ หนังเล่าถึงต้นกำเนิดของ Wolverine ที่ได้ Hugh Jackman กลับมารับบทเดิม


แต่ถึงจะเล่าเรื่องกำเนิดของ Wolverine หนังกลับใส่ตัวละครหลายตัวในโลกของ X-men ทั้งหน้าเก่าจากหนังสามภาคแรกอย่าง Cyclops และหน้าใหม่ที่ถูกละเลยจากหนังสามภาคแรกอย่าง Gambit หรือ Deadpool เป็นต้น


และแทนที่จะเล่าถึงที่มาที่ไปของตัวละคร Wolverine อย่างละเอียด หนังกลับให้รายละเอียดเพียงแค่ช่วงที่ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำเท่านั้น ไม่ได้ลงลึกไปถึงจุดกำเนิดในวัยเยาว์มากนัก แต่ก็โอเคถือว่าเป็นต้นกำเนิดเหมือนกัน



X-Men Origins: Wolverine เดินเรื่องด้วยความเร็วที่สูงมาก จนไม่มีช่วงเวลาให้ซึมซับอารมณ์ไปกับตัวละคร ขณะที่งานตัดต่อของหนังถือว่าแย่มาก เพราะไม่ต่อเนื่อง โดดไปโดดมา อย่างฉากที่ Wolverine ต่อย Gambit ลงไปนอนกอง แล้วหันไปซัดกับ Vector อยู่ดีๆ Gambit วิ่งกระโดดลงมาจากยอดตึกที่ไกลไปหลายช่วงตึกซะงั้น ไม่รู้มายังไง


ยิ่งดูไปเรื่อยๆ หนังก็ยิ่งมั่วยิ่งเละ พอมาถึงตอนจบ หนังยังใส่การหักมุมแบบไม่จำเป็นเข้ามาอีก แถมบทหนังในช่วงท้ายๆก็เริ่มมึน และการกระทำของตัวละครทั้งหลายก็ดูไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะตอนที่ Wolverine ไปถึงฐานลับบนเกาะในตอนท้ายๆเรื่อง เล่าไม่ถูกลองไปดูเอาเองครับ


และที่น่าเสียดายคือ หนัง “ฆ่า” ตัวละครที่มีศักยภาพทั้งหลายให้ “ตาย” ไปอย่างไร้คุณค่า (แม้จะไม่ได้ตายจริงๆในเรื่องก็ตาม) ด้วยการนำตัวละครเหล่านั้นมาโผล่ในหนังในบทที่ไม่เข้าท่า และไม่จำเป็นเลย


อย่างไรก็ตามหนังยังมีฉาก Action และงาน Stunt ที่พอเรียกความตื่นเต้นได้บ้าง


กับผลลัพธ์ของหนัง ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นหนังที่กำกับโดย Gavin Hood ที่เคยมีผลงานกำกับเป็นหนังรางวัล Oscar อย่าง Tsotsi ซึ่งจะว่าไปผมเองก็ไม่เคยดูผลงานของ Hood มาก่อนสักเรื่อง



ไม่รู้ว่าจะมีการสร้าง Series X-Men Origins ออกมาอีกหรือเปล่า ถ้ามีเรื่องต่อไปคงจะไม่กดดันมากนัก ก็ในเมื่อ X-Men Origins: Wolverine ทำมาตรฐานได้ต่ำมากๆ




5 / 10 ครับ








Rule #1






คนเห็นผี



Rule #1 เล่าเรื่องของนายตำรวจ Lee (Shawn Yue) ที่มีความสามารถพิเศษในการเห็นผี ก่อนจะถูกส่งไปประจำการในหน่วยงานลับของตำรวจฮ่องกง ที่คอยสืบคดีที่เกี่ยวข้องกับภูตผี และต้องปกปิดหรืออำพรางคดีในรูปแบบอื่นไม่ให้ประชาชนรู้ โดยจะพยายามหาคำอธิบายที่เป็นไปได้มาให้ประชาชน


โดยที่กฎข้อแรกของหน่วยงานลับนี้ก็คือ “ผีไม่มีในโลก”


หนังเปิดเรื่องได้อย่างน่าติดตาม ด้วยภาพชาย 2 คนวิ่งไล่จับกันอยู่ ก่อนที่จะเผยให้เห็นความจริงว่ามันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ก่อนที่หนังจะถามผู้ชมว่า “คุณตีความสิ่งที่คุณเห็นถูกต้องแล้วหรือ”


หลังจากปูพื้นตัวละครนานกว่า 1 ชั่วโมง หนังถึงจะเริ่มต้นเดินเรื่องไปข้างหน้าเสียที เมื่อผีร้ายตัวหนึ่งที่ชอบเข้าสิงเด็กสาววัยรุ่นแล้วฆ่าเด็กสาวคนนั้น ก่อนที่จะย้ายไปสิงร่างใหม่เรื่อยๆ โดยการสัมผัสร่างกาย ซึ่งพล็อตเรื่องทำให้นึกไปถึงหนังเรื่อง Fallen (1998, Gregory Hoblit) ที่นำแสดงโดย Denzel Washington


หนังทำได้ตื่นเต้นดีทีเดียวในช่วงครึ่งหลัง ตอนที่ผีร้ายไปอาละวาดในโรงเรียน ที่ให้อารมณ์ระทึกในระดับเดียวกับฉากผีอาละวาดในห้องส่งจากเรื่อง One missed Call ของ Takashi Miike เลยทีเดียว


นอกจากหนังสองเรื่องที่พูดถึงไปแล้ว บางส่วนของหนังยังมีอารมณ์เดียวกับ Mad Detective ของ Johnnie To ที่เป็นการสืบสวนโดยใช้พลังเหนือธรรมชาติและวิธีแปลกๆเข้าช่วย อีกทั้งฉากฆ่าตัวตายหมู่ ยังทำให้นึกไปถึง Suicide Club ได้อีกด้วย


นั่นทำให้ Rule #1 เหมือนหยิบเอาหนังสยองขวัญหลายๆเรื่องมายำรวมกัน


แม้จะเริ่มต้นได้น่าสนใจ แต่ในตอนจบหนังกลับอ่อนเหตุผลลงไปมาก อีกทั้งการกระทำของผีร้ายก็ดูไม่น่าเชื่อถือนัก เข้าใจว่าต้องการจะเอาคำถามที่เคยถามไว้ตอนต้นเรื่องมาเล่น แต่มันไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือพอ



Rule #1 จัดเป็นหนังสยองขวัญที่ดูได้สนุกพอสมควร แม้ว่ามันจะปูเรื่องนานเกินจำเป็น แถมตอนจบก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรนัก




7 / 10 ครับ








Frost/Nixon






ประธานาธิบดีฉาว



แม้ว่า Ron Howard จะกำกับหนังที่สร้างจากเรื่องจริงมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ Apollo 13 หรือ A Beautiful Mind แต่หนังจากเรื่องจริงเหล่านี้กลับมีระดับของการ “โน้มน้าวอารมณ์” หรือที่เรียกว่า “บิ๊ว” อารมณ์ อยู่สูง อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องแต่งมากกว่าเรื่องจริง (ได้ข่าวว่า A Beautiful Mind ไม่ตรงกับเรื่องจริงหลายอย่างเลย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการปรับเปลี่ยนโดยคำนึงถึงผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ชมเป็นสำคัญ)



ซึ่งการ “บิ๊ว” แบบนี้ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ Howard เลยทีเดียว



แต่มาใน Frost/Nixon หนังกลับเล่าเรื่องในสไตล์สารคดีแบบปลอมๆ ด้วยการสัมภาษณ์ตัวละครในเรื่องต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สลับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แถมการบิ๊วอารมณ์ก็ลดลงไปจนแทบไม่เหลือ แล้วหันไปใส่ใจที่การแสดงของตัวละครทั้งสองมากกว่า


แม้เรื่องจริง (และในหนัง) ผู้ที่เป็นฝ่ายกำชัยชนะในสังเวียนน้ำลาย จะเป็นของ David Frost (Michael Sheen)

แต่ในแง่ของการแสดงแล้ว Frank Langella ในบท ประธานาธิบดี Richard Nixon กินขาด
นี่ขนาดหนังเน้นไปที่ Frost มากกว่านะเนี่ย



Langella ทำให้ Nixon ดูมีมิติ และจับต้องได้ ในบางครั้งน่าหมั่นไส้ แต่ในบางทีก็น่าสงสารและน่าสมเพช และถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว Nixon มีบุคลิก-หน้าตา-ท่าทาง อย่างไร แล้ว Langella เล่นได้เหมือนตัวจริงแค่ไหนก็ตาม แต่ที่รู้ก็คือ Langella มอบการแสดงที่เต็มไปด้วยรายละเอียด

แม้ในตอนแรกอาจดูแข็งๆ แต่นั่นคงเป็นภาพลักษณ์ที่หนังต้องการนำเสนอ Nixon ในแบบที่วางมาดต่อหน้าผู้คน แต่เมื่อหนังเริ่มเดินหน้า เราก็จะได้เห็นด้านที่อ่อนไหว และความเป็นมนุษย์ในตัวละครนี้



Frost/Nixon จัดว่าเป็นหนังที่ดูสนุก และทำให้ผมมีความรู้เรื่อง คดี Wartergate มากขึ้น แม้เรื่องราวจะไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือมีสไตล์ที่แปลกใหม่นักก็ตาม ส่วนหมัดเด็ดจริงๆของหนังอยู่ที่การแสดงของ Frank Langella




7 / 10 ครับ





Create Date : 17 ตุลาคม 2552
Last Update : 17 ตุลาคม 2552 4:19:43 น. 4 comments
Counter : 2593 Pageviews.

 
รีวิวได้ดีครับ


โดย: ลูกอบรสเขียด วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:7:23:40 น.  

 
ชอบตรงที่ว่า..หนังสรุปชัดเจนเกินไป กลายเป็นปิดกั้นจินตนาการของผู้ชม...

ถูกต้องแล้วคร้าบบ...


โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:10:16:07 น.  

 
ได้ดูเรื่องเดียวเองอ่ะค่ะ Frost/Nixon

ชอบระดับนึง เพราะมันเป็นหนังพูดแต่ เวลาอัดรายการทีไร

มันทำเราตื่นเต้นทุกทีเลย ลุงFrank สุดยอดมากๆเลย

ถ้าเราเป็นกรรมการออสการ์ปีที่แล้ว คงปวดหัวมากๆเลย

ใครได้ก้อไม่เสียใจ ( เพนน์,มิคกี้,แฟรงค์) สุดยอดทุกท่านจริงๆ


โดย: i love johnny depp IP: 125.25.50.31 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:0:05:57 น.  

 
อยากดู Frost/Nixon จัง


โดย: จุใจ วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:10:35:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.