Mini Review 6 : *** We Own the Night *** เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ *** We Own the Night *** แม้ชื่อผู้กำกับ James Gray อาจไม่เป็นที่คุ้นหูนัก แต่การที่ผลงานแทบทุกเรื่องของเขาได้เข้าชิง รางวัล Golden Palm จาก Cannes Film Festival อยู่เสมอ (ซึ่งรวมถึงเรื่องนี้ด้วย) ก็ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่น่าสนใจ ด้วย พล็อตเรื่อง ประมาณว่า พี่กับน้องที่เหมือนอยู่คนละฟากของกฎหมาย จำต้องร่วมมือกันเพื่อสะสางปัญหาที่กำลังคุกคามครอบครัวของพวกเขา อาจจะเป็นพล็อตที่เคยเห็นกันมาบ้างแล้ว แต่พล็อตแบบนี้นี่แหละ มันเป็นความขัดแย้งที่เรียกร้องความน่าสนใจได้ในตัวเอง We own the night เล่าเรื่องราวของพี่น้อง คู่หนึ่ง ซึ่ง Bobby พี่ชาย (Joaquin Phoenix) เลือกที่จะทำงาน เป็นผู้จัดการ Night Club ให้กับ Marat Buzhayev (Moni Moshonov) ชายแก่ชาวรัสเซีย ที่ Bobby นับถือเหมือนเป็นพ่ออีกคน ในขณะที่ Joe น้องชาย (Mark Wahlberg) เลือกที่จะเป็นตำรวจ เพื่อเจริญรอยตามพ่อของเขา Bert (Robert Duvall) โดยเรื่องราวเริ่มขึ้น เมื่อ Joe ที่กำลังตามคดีลักลอบขนยาเสพย์ติดข้ามชาติของ Vadim (Alex Veadov) ซึ่งเป็นหลานชายของ Buzhayev Joe ได้ขอร้องให้ Bobby ช่วยเป็นสายให้ ในขณะเดียวกัน Bobby ก็ได้รับการทาบทามจาก Vadim ให้มาทำงานกับเขา เรื่องราวต่อจากนี้ แม้จะมี จุดพลิกผัน จุดหักเห เล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้เกินคาดเดา Joaquin Phoenix มอบการแสดงที่ดีในบท Bobby ที่แม้ในตอนแรกต้องลำบากใจกับตัดสินใจเลือกข้าง แต่เมื่อสายเลือดเดียวกันถูกทำร้าย เขาก็ตัดสินใจได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด แม้จะต้องรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเอง รวมถึงเกิดขึ้นกับ Amada แฟนสาวของเขา (Eva Mendes กับบทที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมากนัก) Mark Wahlberg ดูน่าเชื่อถือในบท ตำรวจที่เอาจริงเอาจังกับงาน คงเป็นเพราะเขาต้องการพิสูจน์ตัวเองกับพ่อ เช่นเดียวกับ Robert Duvall ในบทคุณพ่อตำรวจ ที่คิดถึง เรื่องความปลอดภัยของลูกชายทั้งสอง ก่อนเรื่องงานเสมอ ในขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็เล่นได้ดีตามบทบาทที่ตัวเองได้รับ ในความเป็น หนังอาชญากรรม หนังทำได้ถึงและเล่าเรื่องได้น่าติดตาม ฉากแอ๊คชั่นต่างๆทำได้สมจริง และดูเป็นไปได้ ส่วนฉากที่น่าจดจำที่สุดคงเป็นฉากไล่ล่า ทางรถยนต์ ในบรรยากาศฝนตก ที่เน้นโทนสีหม่นๆ น้ำเงินอมเทา ที่มีทั้งความระทึก และขายสไตล์ไปพร้อมๆกัน ในขณะที่ช่วงหลังๆหนังดูจะแผ่วๆลงไป และการค้นพบเบาะแสที่สาวถึงผู้บงการตัวจริง ออกจะเป็นสูตรสำเร็จไปนิดหนึ่ง และเมื่อฉากสุดท้ายมาถึง หนังก็เน้นย้ำความสัมพันธ์ของคนสายเลือดเดียวกันอีกครั้ง การทำความรู้จักกับ James Gray เป็นครั้งแรกของผมในครั้งนี้ อาจไม่ประทับใจมากนัก ส่วนตัวคาดหวังว่า หนังน่าจะมีอะไรที่ฉีกออกไปจากหนังแนวๆนี้ เรื่องอื่นๆ หรือมีลักษณะบางอย่างที่โดดเด่น แต่ถึงแม้จะไม่มีอะไรที่ฉีกออกไปมากมายนัก ก็ต้องยอมรับว่า We Own the Night เป็นหนังดี ที่ดูสนุกอีกเรื่องหนึ่ง คิดว่าสิ่งที่หนังต้องการบอกกล่าวคงไม่หนีไปจาก หนังอาชญากรรมแนวเดียวกันนัก แต่สิ่งที่เรื่องนี้เน้นย้ำเป็นพิเศษ ก็คือ คุณค่า และ สายสัมพันธ์ของครอบครัว (ที่จะว่าไป ก็ดูจะอุดมคตินิดๆ) อย่างที่หนังแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเพื่อนสนิท ที่ไว้ใจกันมากแค่ไหน หรือ คนที่เรานับถือเหมือนกับพ่ออีกคน ยังสามารถทำร้ายเราได้ แต่คนสายเลือดเดียวกันยังไงก็ไม่มีทางที่จะทำร้ายกัน ยังไงซะ “เลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ” 7 / 10 ครับ   Create Date : 24 ตุลาคม 2551 6 comments Last Update : 24 ตุลาคม 2551 2:59:02 น. Counter : 5263 Pageviews. Share Tweet

โห โปสเตอร์เวอร์ชั่นนี้ ฮาแตกมากๆ 5555555 แสงสีระยิบระยับของเมืองนี่... ไม่มีทางเป็น เจมส์ เกรย์ แน่ๆ ฮา ผมเพิ่งดูหนังเขาเรื่องนี้เืรื่องแรกเหมือนกัน ชอบในระดับนึงนะครับ แม้จะไม่มีอะไรใหม่ (แถมดูออกจะเป็นแกงสเตอร์ฮ่องกงมากๆ) แต่ผมว่าเขาคุมโทนหม่นๆ เศร้าๆ ทึมๆ ได้ดี เพราะจริงๆหนังแบบนี้มันน่าจะหลุดลูก "โฉ่งฉ่าง" ได้มากอะครับ ส่วนตัวชอบ eva mendes ในเรื่องนี้นะ เหมือนอย่างน้อยเธอก็ได้ใช้ sex appeal ที่จริงๆเธอก็มี (แต่หนังเรื่องอื่นไม่ค่อยรู้จักหยิบมาใช้) ให้คุ้มค่า แล้วก็น่าจดจำ ชอบฉากขับรถไล่ล่ากัน มันดูจริงมาก (คงเพราะไม่มีดนตรีประกอบดังสนั่นมารกๆหู เหมือนเรื่องอื่นล่ะมั้ง)   โดย: nanoguy IP: 125.24.153.90 24 ตุลาคม 2551 11:40:02 น.

คิดว่าโปสเตอร์นี้ กะขายดาราน่ะครับ แล้วก็ดู ย้อนยุคดี (มี ตึก World Trade ด้วย แบบว่า เรื่องนี้ย้อนยุคนะ ) เคยเห็นอีกแบบ ขาว-ดำ ก็เท่ห์ดี แล้วก็ เห็นด้วย เรื่องนี้ Eva Mendes ดู มี Sex Appeal จริงๆ ตอนแรกได้ข่าวมีฉาก ที่ Phoenix เสริมแคลเซียม ด้วยนมที่ Mendes เอามาเสิร์ฟด้วย แต่ VCD ที่เช่ามาดู มันตัดไปแฮะ อดเลย   โดย: navagan 24 ตุลาคม 2551 12:41:14 น.

ไปดู The Yards มาในโรงครับ... ให้ความรู้สึกเดียวกับเรื่องนี้เลยก็คือ "ไม่ดีแต่ก็ไม่แย่" คือเห็นด้วยนะครับที่ว่าผกก. เจมส์ เกรย์ แกคุมโทนหนังได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ แต่เมื่อตัวละครในเรื่องเอ่ยบทพูดของตัวเองออกมา มันก็ไม่ได้สร้างความน่าสนใจอย่างที่ผลงานด้านอารมณ์และภาพ ที่ถูกนำเสนอทำได้เลย และผมก็มาสะดุดอีกครั้งในฉากทุ่งอีก เหมือนกับว่าผกก.แกตัดสินใจ reshoot ในนาทีสุดท้ายหรืออะไรรึเปล่า เพราะมันดูขาดๆเกินๆ แถมการตัดสินใจของแต่ละตัวละคร ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเอามากๆ ผมเคยรีวิวไว้เหมือนกัน เคยบอกว่า เจมส์ เกรย์ เป็นผกก.พื้นเพนิวยอร์ค ที่มีศักยภาพพอที่จะเป็น มาร์ติน สกอเซซี่ย์ รุ่นต่อไปได้... ผมยังเชื่อแบบนั้นอยู่ครับ เพราะเขาขาดเพียงแค่ประสบการณ์ในการเล่าเรื่องที่ดีเท่านั้นเอง... ปล. ธันวานี้ เรามาลองดู We Own The Night 2 เอ้ย Pride and Glory ล่ะกันครับ ว่าคราวนี้จะได้รับเสียงตอบรับเช่นไร...   โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 24 ตุลาคม 2551 14:55:31 น.

Taken ไม่การเมืองเลยครับ แอ็คชั่นล้วนๆ แต่ผมเพ้อเจ้อไปเองแหละ 5555555 ตามประสาคนเรียนรัฐศาสตร์นิสัยเสียน่ะครับ เห็นด้วยกับคุณ bdmd เลยว่า เจมส์ เกรย์ แกตามรอยสกอร์เซซี่จริงๆ เพราะหนังทุกเรื่อง (เท่าที่ได้ยิน) เกี่ยวกับวงการแก๊งๆ ตำรวจๆ หมดเลย ที่ป๊อปปูล่าในคานส์ เพราะผมว่าน่าจะเป็นตัวเลือกหนังอเมริกันที่น่าสนใจ และเป็นคนละแนวกับออสการ์   โดย: ืnanoguy IP: 125.24.179.71 24 ตุลาคม 2551 23:32:16 น.

Pride and Glory คะแนนใน metacritic ออกมากลางแฮะ 45 คะแนน แต่ก็อย่างที่คุณ Bloody Monday ว่าไว้ Plot เรื่องนี่มันเป็น We Own The Night 2 ได้เลยนะเนี่ย   โดย: navagan 26 ตุลาคม 2551 17:18:12 น.

สรุปผลใน BO พลังของ โคลิน & เอ็ดเวิร์ด สู้ไอ้หนุ่ม แซ็ค กับ จิ๊กซอว์ ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เอวัง...-*-   โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 27 ตุลาคม 2551 16:52:21 น.