*** The Happening *** พูดถึงพี่มาโนช กับผลงานเก่าๆ
พูดถึง ผู้กำกับ มาโนช ศยามาลัน (หรือ ชยามาลาน) ขอออกตัวไว้ก่อนเลย ว่า เคยดูผลงานเก่าของพี่แกมาแค่ 3 เรื่องเท่านั้น นั่นคือ Unbreakable, Signs และ The Village ตามลำดับ ผมไม่เคยดูผลงานสร้างชื่อของพี่แกอย่าง The Sixth Sense หรืองานที่ถูกสับเละมากที่สุดอย่าง Lady in The Water มาก่อน
และเมื่อนึกถึงคุณพี่มาโนช ก็คงต้องนึกถึงการ หักมุม แต่สิ่งที่ผมชอบในหนังของแกไม่ใช่การหักมุม แต่เป็นการแอบใส่ประเด็นหลักของเรื่อง มาอย่างแนบเนียน
อย่างใน Signs ด้วยหน้าหนังที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ (Signs) ประหลาดกลางทุ่งข้าวโพด(ซึ่งมักจะอ้างกันว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ต่างดาว) เชื่อได้ว่าคนดูคงคาดหวังเกี่ยวกับการหักมุม หรือหาสาเหตุของมันที่ทำให้ได้อึ้ง แต่ที่จริงแล้วหนังกลับใส่ประเด็นเกี่ยวกับ ศรัทธา ได้ในแบบที่เรียกว่า อึ้ง กับความเนียนของประเด็นที่หนังเล่น แถมชื่อหนัง (Signs) ที่มีต่อประเด็นของเรื่องยังทำให้ ทึ่ง ยิ่งกว่าการหักมุมเสียอีก (ซึ่งจริงๆแล้วหนังไม่ได้หักมุมอะไรเลย)
หรืออย่างใน The Village แม้หนังเรื่องนี้ จะตั้งใจหักมุม แต่ทำได้ไม่ถึงระดับ เชื่อได้ว่าหลายคนคงเดาออกตั้งแต่กลางเรื่อง แต่ประเด็นที่หนังแฝงเข้ามาเกี่ยวกับเรื่อง ความรัก มันยังคงทำให้ทึ่งได้เช่นเคย
อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือ ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังจะยิ่งใหญ่แค่ไหน พี่แกก็จะโฟกัสไปที่ตัวละครไม่กี่ตัว ในขอบเขตที่แคบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ super hero ใน Unbreakable หรือครอบครัวเล็กๆ ที่ต้องรับมือกับการรุกรานโลกใน Signs
เรื่องของความน่ากลัวลึกๆ ที่ดูแล้วขนลุกในงานของพี่แกก็คืออีกอย่างที่ชอบ พี่มาโนชมักจะเล่นกับความสมจริง และคาดไม่ถึง แต่ดู จริง จนน่ากลัว อย่างใน Signs ฉากที่ในทีวี กำลังรายงานข่าว ภาพเอเลี่ยนเดินอยู่ในเมือง มันดูจริงจนน่าขนลุก หรือ ตอนที่สัตว์ประหลาดเดินเข้ามาในหมู่บ้านใน The Village นั่นก็น่าขนลุกเช่นกัน แม้ฉากเหล่านี้เป็นการโผล่มาแวบเดียวในหนัง แต่มันได้ผลดีมาก
*** The happening ***
ใน The Happening พี่มาโนช ยังคงมาในแนวทางเดิม ( ซึ่งถ้าถามว่าคล้ายกับงานเก่าเรื่องใดมากที่สุดคงเป็น Signs ) ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น จู่ๆผู้คนก็พากันฆ่าตัวตาย เหตุการณ์ได้ลุกลามขยายวงกว้างออกไปโดยจำกัดบริเวณอยู่ในตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา
หนังติดตามการเดินทางของ Elliot ครูสอนวิทยาศาสตร์ในฟิลาเดลเฟีย และครอบครัวเพื่อหาทางหนีออกจากภัยพิบัติประหลาดนี้
ในยุคที่ การรณรงค์เรื่องสภาวะโลกร้อนกำลังเป็นกระแสที่ใครๆก็พูดถึงกัน พี่มาโนช ก็คงขอมีส่วนร่วมบ้าง แต่ก็เป็นในแบบของพี่แกเองน่ะแหล่ะ
ใครที่ติดตามผลงานพี่แกมานานคงจับประเด็นของหนังได้ทันทีตั้งแต่ฉากในชั้นเรียนระหว่างการ ถาม- ตอบ ของ Elliot กับ เด็กหน้าหล่อ เกี่ยวกับเรื่องปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่เด็กหน้าหล่อพูดขึ้นว่า
เราไม่สามารถคาดเดาการกระทำของธรรมชาติได้หมดทุกอย่างหรอก
แม้ผมจะไม่ใช่เด็กและหน้าไม่หล่อ แต่ผมขอพูดว่า
เราไม่สามารถคาดเดาการกระทำของพี่มาโนชได้หมดทุกอย่างหรอก แต่คราวนี้ผมฟันธงเลยว่าประโยคนี้อธิบายหนังได้ทั้งเรื่อง"
เพราะฉะนั้นเมื่อตอนท้ายเรื่องมาถึง การสรุปเรื่องราวจึงไม่ชวน อึ้ง หรือ ทึ่ง มากนัก เหมือนกับตัวหนังหมดมุขไปแล้ว
แม้การติดตามกลุ่มตัวละคร และ เงื่อนไขในการเลือกโจมตีของธรรมชาติ จะพอน่าสนใจอยู่บ้าง แต่การดำเนินเรื่องราวกลับอ่อนพลังลงไปเรื่อยๆ
และกับเหล่าตัวละครหลักที่มีพฤติกรรมแปลกๆ อีกทั้งบทพูดและการกระทำของตัวละคร ที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง
ครูวิทยาศาสตร์ ที่แก้ไขทุกอย่าง และคิดทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ครูคณิตศาสตร์ ก็เอาแต่คำนวณสถิติแทบจะในทุกสถานการณ์ หรือ ภรรยา ที่ทำตัวแปลกๆ
มันดูเป็นตัวละครประหลาดที่มีมิติเดียวไปหน่อย นั่นมีส่วนทำให้ผู้ชมไม่มีอารมณ์ร่วม หรือ อยากเอาใจช่วยตัวละครนัก
แม้จะเป็นหนังที่น่าจะตึงเครียด แต่หนังยังมีมุขตลกที่ใช้ได้ผลดีทีเดียว แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ใดๆเลย เพราะตัวหนังแทบจะทำให้ผู้ชมตึงเครียด หรือ วิตกไปกับเหล่าตัวละครและเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้เลย
นอกจากนี้หนังยังแทรกประเด็นเกี่ยวกับ "ความรัก" แต่มันไม่เนียนนัก กับเรื่องของแหวนที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์
.. แล้วเวลามีความรัก...เป็นสีอะไรมันb>
.. ผมจำไม่ได้แล้ว
เหมือนจะบอกว่า
นานแค่ไหนแล้วที่เราลืมมอบความรักให้แก่กัน
หรือ พี่แกอยากให้เราโยงถึงความคิดที่ว่า
นานแค่ไหน ที่เราลืมนึกถึงธรรมชาติ
ทั้งที่อีกใจหนึ่งพี่แกอยากเล่นกับความคิดที่ว่า
เราไม่สามารถคาดเดาการกระทำของธรรมชาติได้หมดทุกอย่างหรอก
ทำให้ตอนจบออกมาคลุมเครือว่า
กลุ่มตัวเอกรอดมาได้เพราะเปล่ง รังสีแห่ง ความรัก หรือ เป็นเพราะ "ธรรมชาติหยุดโจมตีพอดี" กันแน่
การรักพี่เสียดายน้อง เล่าประเด็นที่ต้องการเล่น ในฉากเดียวแบบนี้ ทำให้ประเด็นที่น่าสนใจยังไม่หนักแน่นพอ เพราะ มันค้านกันเอง
อีกทั้งหนังยังมีการจิกกัดรัฐบาลอเมริกา ที่พยายามจะโยนความผิดทั้งหลายสู่กลุ่มผู้ก่อการร้าย
หรือการเล่นกับความหวาดกลัวของอเมริกาต่อภัยก่อการร้าย (ผมชอบฉากท้ายๆ ในข่าวโทรทัศน์ ที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะการกระทำของธรรมชาติ แต่นักข่าวยังจะพยายามจะโยงไปที่การก่อการร้ายให้ได้)
ประเด็นเหล่านี้ในหนัง เป็นไอเดียที่น่าสนใจไม่เลวเลย แต่กลับเสนอออกมาได้ไม่คมคายนัก
และนี่คือหนัง เรท R เรื่องแรกของพี่มาโนช
ระดับความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น น่าจะทำให้ตัวหนังน่ากลัวขึ้น
แต่กลับกลายเป็นว่า ภาพสยองที่เห็นกันจะจะตามากขึ้น ไม่ได้สร้างความน่ากลัว หรือน่าขนลุกในระดับเดียวกับงานเก่าๆของพี่แก ที่เป็นการทำน้อยเห็นน้อยแต่น่ากลัวมาก
แต่อย่างน้อยกับ The Happening ก็ไม่ทำให้ผมถึงกับเสียดายเงิน (จริงๆผมได้บัตรฟรี อิอิ ) หรือเสียดายเวลา มันก็สนุกในระดับหนึ่งนั่นแหล่ะ แม้จะไม่ลงตัว และไม่ประทับใจนัก กับเหตุผล และความไม่น่าเชื่อถือของบทหนัง
ก็เข้าใจ ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติ(ไม่ใช่เหนือธรรมชาติแน่ เพราะธรรมชาติเป็นผู้ทำ)
การที่หนังจะใช้เหตุผลที่ว่า
มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมดหรอก
ก็ไม่สามารถเอามาใช้ แก้ตัว กับ บทหนังที่มีช่องโหว่ และขาดความน่าเชื่อถือได้
หรืออาจจะต้องแก้ตัวใหม่ว่า
มันเป็นเรื่องของพี่มาโนชเค้า เราไม่สามารถอธิบายได้หมดทุกอย่างหรอก
6/10 ครับผม
Create Date : 22 มิถุนายน 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 22 มิถุนายน 2551 3:56:22 น. |
Counter : 4992 Pageviews. |
|
|
|