BlogGang.com : : navagan :

*** Watchmen *** We Watch the Watchmen.

*** Watchmen ***

สถานการณ์ตอนนี้กำลังคุกรุ่น เมื่อกลุ่มผู้ประท้วง 2 กลุ่ม ที่มีความเห็นขัดแย้งกัน เคลื่อนตัวมาปักหลักชุมนุมเผชิญหน้ากันหลายวันแล้ว โดยแหล่งข่าวแจ้งว่า แต่ละฝ่ายต่างสะสมอาวุธไว้มากมาย

ความตึงเครียด และความกลัวที่สะสมอยู่ในทั้งสองกลุ่ม เพิ่มมากขึ้น ถ้ามีการเปิดฉากปะทะกันเมื่อไหร่ คงเกิดเหตุนองเลือดครั้งใหญ่แน่ๆ

นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตำแหน่งผู้บัญชาการ นายหนึ่ง ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสถานการณ์นี้

ท่านผู้บัญชาการ กำลังเครียดหนัก ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร พลันความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวว่า

หรือ เราจะต้องใช้บริการของ “Hero” เสียแล้ว

Watchmen เล่าเรื่องราวที่เป็นเหมือนโลกคู่ขนานของเรา (โลกที่อเมริกาชนะสงครามเวียดนาม)

ในปี 1985 สงครามเย็น ระหว่างสองขั้วอำนาจอย่าง อเมริกา และ สหภาพโซเวียต กำลังตึงเครียดถึงขีดสุด ทั้งสองฝ่ายต่างครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ที่พร้อมถล่มใส่กันทุกขณะ

ในช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังหวาดกลัวสงครามที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ Edward Blake (Jeffrey Dean Morgan) หรือในนาม The Comedian หนึ่งในอดีต Hero (ที่ต้องเกษียนตัวเองเนื่องจาก กฎของทางการที่ทำให้พวก Hero กลายเป็นพวกนอกกฎหมาย) ได้ถูกฆาตกรรม อย่างเงียบๆ

Rorschach (Jackie Earle Haley) อดีต Hero อีกคนที่ยังไม่ยอมวางมือจากการปฏิบัติหน้าที่ ได้เข้ามาสอบสวนการฆาตกรรมนี้

เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เขาจึงแจ้งเรื่องนี้แก่ อดีต Hero ทั้งหลาย ให้ระวังตัวเอาไว้ ซึ่งอดีต Hero คนอื่นๆ ประกอบไปด้วย

Dan Dreiberg หรือ Nite Owl รุ่น 2 (Patrick Wilson) อดีตคู่หูของเขา

Adrian Veidt หรือ Ozymandias (Matthew Goode) อดีต Hero ที่ปัจจุบัน เปิดเผยตัว และ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคาแรคเตอร์ Hero ของตัวเอง

Laurie Jupiter หรือ Silk Spectre รุ่น 2 (Malin Akerman) อดีต Heroine สาว ที่ทำหน้าที่เพื่อสืบต่อเจตนารมณ์ของแม่ Silk Spectre รุ่นแรก

และ สุดท้ายคือ Hero เพียงคนเดียว ที่มีพลังพิเศษจริงๆ

Jon Osterman หรือ Dr. Manhattan (Billy Crudup) นักฟิสิกส์ ที่อุบัติเหตุในการทดลองทำให้เขามีพลังพิเศษ

Watchmen ไม่ใช่ชื่อของกลุ่ม Hero ในเรื่อง แต่มันมาจากประโยคคำถามที่ว่า

“Who Watch The Watchmen?”

ซึ่งมีที่มาจากอดีต ในตอนที่กองทัพโรมันไปรบ พวกเขากลัวว่าผู้หญิงที่อยู่ที่บ้าน จะไม่มีคนดูแล คนสเปนจึงบอกว่า พวกเขาจะจัดยามดูแลพวกผู้หญิงให้ แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ใครจะเฝ้ายามพวกนั้นไม่ให้ทำอะไรพวกผู้หญิงหล่ะ

นี่คือคำถามที่แสดงถึงความไม่ไว้วางใจในผู้มีอำนาจ

ใน Watchmen คาแรกเตอร์ของ Hero ทั้งหกคน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำเสนอมุมมองหกแบบ และวิธีจัดการกับปัญหาของ “มนุษย์” ในแต่ละมุมมอง

เรามารู้จักพวกเขากันดีกว่า

แล้วตอนนี้มีใครบ้าง ท่านผู้บัญชาการคิดพลางหยิบรายงานที่บันทึกรายละเอียดของ Hero แต่ละคน มาเปิดอ่าน

อืม The Comedian เรอะ?

The Comedian

The Comedian คือ Hero ที่ชอบใช้วิธีที่รุนแรงในการแก้ปัญหา เขาสนุกกับการใช้ความรุนแรง ไม่แปลกใจที่เขาจะเต็มใจรับใช้รัฐบาล แม้ว่ามันอาจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงแค่มันเป็นวิธีที่เขาจะได้ระบายความรุนแรงออกมาก็พอ

แต่การแสดงออกซึ่งความรุนแรงของเขา แท้จริงเป็นการซ่อนความรู้สึกสิ้นหวังต่อระบบสังคม และสิ้นหวังในตัวมนุษย์

เขามองเรื่อง สันติและความสงบสุข เป็น เรื่องตลก และ เป็นแค่การสร้างภาพตามอุดมคติ ไม่มีทางที่จะทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้จริง มันก็เป็นแค่ตลกร้าย แล้วทำไมเขาถึงไม่สนุกไปกับมันเสียเลยหล่ะ

The Comedian คือ มุมมองที่สิ้นหวังในตัวมนุษย์ เมื่อสังคมมันเละเทะแบบนี้แล้ว ก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องตลก และ สนุกไปกับมันดีกว่า

ไม่ไหว ถ้าเอา The Comedian มา ท่าทางจะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการปะทะกันซะมากกว่า

หรือถ้าเขาตีกัน กลัวมันลงไปผสมโรงด้วยจริงๆ

ท่านผู้บัญชาการคิด

หรือว่า จะเอา Rorschach ดีหว่า?

Rorschach

Rorschach คือ คนที่ยึดมั่นในแนวคิดของตนเอง และไม่เคยยอมใคร ถ้าเขาคิดจะทำอะไรก็ไม่มีใครหยุดเขาได้ นั่นทำให้เขายังคงใส่หน้ากากทำตัวเป็น Hero อยู่ แม้ว่ามันจะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายไปแล้วก็ตาม

แม้ Rorschach จะนิยมใช้ความรุนแรงแบบเดียวกับ The Comedian แต่ทั้งสองก็ต่างกันมาก

ในขณะที่ The Comedian รุนแรงตามที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจอะไร
Rorschach กลับยึดมั่นในความถูกต้องยิ่งกว่าชีวิต (ตามความคิดของตัวเองนะครับ ไม่ใช่ตามกฎหมาย) โดยเขาจะจัดการกับคนเลว อย่างไม่มีการประนีประนอม และไม่สนว่ามันจะเกิดผลกระทบอะไรต่อไป

ซึ่งชีวิตในวัยเด็ก คือสิ่งที่หล่อหลอมตัวตนของเขาขึ้นมา

เขาไม่ใช่ Hero ประเภทที่คอยช่วยเหลือใคร แต่สิ่งที่เขาชอบทำ คือ ตามล่าพวกที่ทำผิด และจัดการมันอย่างสาสม

เชื่อได้ว่า การกระทำบางอย่างของเขา คงสะใจผู้ชมหลายๆคน แต่บางทีก็รู้สึกว่า แท้จริงแล้วชายคนนี้ทำตัวเป็นศาลเตี้ย และมีปัญหาทางจิต

Rorschach คือ มุมมองของคนที่ยึดมั่นในอุดมคติ สำหรับเขาสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ความถูกต้อง” โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆ

อืม น่าสนใจ คนที่ยึดมั่นในอุดมคติแบบสุดขั้ว แต่จากประวัติ เขาไม่ค่อยช่วยเหลือใคร นอกจากตามล่าพวกฆาตกร

ลองโทรไปหาดีกว่า

ท่านผู้บัญชาการต่อสายไปหา Rorschach แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ปลายสายก็ตอบมาว่า “ไม่”

Dr. Manhattan

ถ้าโลกเรามี Superman จริงๆ ก็คงเป็นอย่าง Dr. Manhattan นี่แหล่ะ

ถ้าเราสามารถรับรู้อดีต อนาคต สามารถไปที่ไหนก็ได้ในพริบตา และมีชีวิตเป็นอมตะ มันจะเป็นอย่างไร

เราจะไปช่วยตามจับเหล่าร้ายไหม ในเมื่อเราก็รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นอีก

เราจะต้องคอยดูแลพวกมนุษย์ไหม ในเมื่ออีกไม่เท่าไหร่ พวกเขาก็ต้องตาย

แล้วมาตรฐานที่ใช้แบ่งระหว่าง ความดี กับ ความเลว หล่ะ บางครั้งมันก็ช่างเลือนราง

แล้วเราควรจะทำอะไร

หรือว่าเราควรจะปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตของตัวเองจะดีกว่า

เราจะพบว่า Dr. Manhattan ค่อยๆปล่อยวางทุกสิ่ง และไม่เห็นความสำคัญของชีวิตอีกแล้ว

จากฉากที่ The Comedian กำลังจะยิง ผู้หญิงเวียดนามท้องแก่

เขากลับได้แต่ห้ามว่า "อย่าทำ" ทั้งๆที่เขาสามารถทำได้มากกว่านั้น

เขาค้นพบถึง ความไร้สาระของมนุษย์ และพบว่า ยังไงก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้อยู่ดี นอกจากทุกคนจะคิดได้แบบเขา หรือตายไปหมดทุกคน

แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่ต้องเข้าไปยุ่งกับความไร้สาระของมนุษย์ด้วย

และเมื่อถอยออกมา มองโลกในมุมมองของจักรวาลที่กว้างใหญ่ การดำรงอยู่ของเผ่าพันธ์มนุษย์ถือว่าเล็กน้อย และช่างสั้นนัก

สุดท้ายหนังไม่ได้ทำให้ตัวละครนี้หลุดพ้นอย่างสุดกู่ แต่กลับให้เขามีความเป็นมนุษย์อีกครั้ง(อาจเปรียบเกินไปสักนิด แต่ก็น่าคิดเหมือนกันว่า Dr. Manhattan กระทำเหมือนกับพระพุทธเจ้า ที่สามารถหลุดพ้นไปคนเดียวก็ได้ แต่กลับมาเผยแผ่ศาสนาเพื่อประโยชน์ของชาวโลก)

แม้เขาจะพบว่าไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์ แต่เขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งไปทีเดียว การพยายามเปลี่ยนแปลงพวกเขาก็เป็นสิ่งที่สมควร แม้เขาจะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้วก็ตาม

Dr. Manhattan คือ คนที่เข้าใกล้กับคำว่าบรรลุที่สุดแล้ว แม้ว่าเขาอาจยังไม่เข้าใจทุกอย่างอย่างถ่องแท้ (ไม่ถึงขั้นตรัสรู้ แบบศาสนาพุทธ, หรือเป็นพระเจ้าในศาสนาอื่นๆ แต่ก็ใกล้เคียง)

Dr. Manhattan คือ มุมมองของคนที่มองโลกอย่างปล่อยวางมากที่สุด แต่ก็ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง

อืม Dr. Manhattan ก็น่าสนใจ ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่กาแลกซี่ไหนเนี่ย

และถ้าเขาหลุดพ้นไปแล้ว จะยื่นมือมาช่วยในเหตุการณ์เล็กๆนี้หรือไม่

Silk Spectre II

Silk Spectre รุ่น 2 คือ ลูกสาวของ Silk Spectre รุ่นแรก เธอถูกปลูกฝังและเลี้ยงดูให้กลายมาเป็น Heroine อย่างที่แม่เธอต้องการ ทั้งที่จริงแล้วเธอรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องโง่ๆ เรื่องหนึ่ง

ที่เธอยอมทำงานเป็น Heroine เพราะเธอถือว่า นี่เป็นหน้าที่ของเธอ มากกว่าจะอยากทำด้วยใจจริง เมื่อกฎหมายถูกประกาศใช้ เธอจึงเลิกทำ

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรม The Comedian เธอก็เริ่มคิดถึงชีวิตแบบเดิมๆ อีกครั้ง

ฉากที่เธอคุยกับ Dr. Manhattan บนดาวอังคาร บ่งบอกได้อย่างดีว่าเธอ คือตัวแทนของคนธรรมดา ที่ยังเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ เชื่อมั่นในความสงบสุขและสันติ

Silk Spectre II คือ มุมมองของคนธรรมดา ที่ทำความดี และเสียสละตัวเอง เพราะคิดว่า มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ มากกว่า จะมาจากความต้องการของตัวเองจริงๆ แต่เมื่อถึงคราวต้องทำหน้าที่ เธอก็พร้อมที่จะทำ และทำอย่างเต็มที่ เธอยังมี ความเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ อยู่

Silk Spectre II เป็นตัวเลือกที่หน้าสนใจ เธอคงมาทำหน้าที่

แต่มันจะได้ผลไหมนะ เธอจะห้ามไม่ให้เกิดการปะทะได้อย่างไร ยังนึกไม่ออก

ลองดูรายชื่อต่อไปดีกว่า

Nite Owl II

Nite Owl รุ่น 2 มีความคล้ายคลึงกับ Silk Spectre รุ่น 2 มากที่สุด นอกจากที่พวกเขาเป็นรุ่นที่ 2 เหมือนกันแล้ว พวกเขายังมีความเป็น มนุษย์ปกติธรรมดาๆ เหมือนๆกัน นั่นคงทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้ดี

แต่จะมีที่ต่างกันเล็กน้อยก็คือ ขณะที่ Silk Spectre II เป็น Heroine เพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ แต่ Nite Owl II เป็น Hero เพราะอยากช่วยเหลือสังคมจริงๆ

Nite Owl II เป็นคนที่ไม่นิยมความรุนแรง เขามีเหตุผล และเคารพกฎหมาย เขายึดมั่นในความถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เทิดทูนเหนือหัวเหมือน คู่หูของเขา Rorschach

จะว่าไปแล้ว Nite Owl II ก็ไม่ต่างจาก “ตำรวจดี” คนหนึ่ง ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ไฮเทค และความสามารถทางการต่อสู้ที่มากกว่าคนธรรมดา

Nite Owl II คือ มุมมองของคนดี ที่ยังคงมีเชื่อมั่นในมนุษย์อยู่ เขาคิดว่า สังคมมนุษย์สามารถดีขึ้นกว่านี้ได้ เขาเสียสละตนเอง เพื่อสังคม จากความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง พูดง่ายๆ นี่คือคนดีแบบที่สังคมควรจะมี

อืม เขาเป็นคนดีที่เคารพกฎหมาย ไม่นิยมความรุนแรง แต่คนแบบนี้จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้จริงหรือ

คงไม่ต่างกับตำรวจ ที่คอยห้ามปรามเมื่อเกิดเหตุ ซึ่งก็ทำอะไรมากไม่ได้

เราต้องการคนที่จะทำให้ไม่เกิดการปะทะกัน

หรือว่า ต้องเรียก Ozymandias เสียแล้ว

Ozymandias

Ozymandias คือ ชายที่ถูกยกย่องว่า “ฉลาดที่สุดในโลก” เขาดำเนินชีวิตโดยมีผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตทั้งหลาย อย่างเช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช และ ฟาโรห์รามเสสที่สอง เป็นแรงบันดาลใจ

เขาพยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ เหมือนที่เหล่ามหาราชผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตทั้งหลายที่เขายึดเป็นแบบอย่างเคยทำเอาไว้

Ozymandias เป็นคนที่แน่วแน่ในอุดมการณ์ เพื่อบรรลุเป้าหมาย เขายอมเสียสละได้ทุกอย่าง

แม้ว่าการกระทำของเขาในเรื่องจะมีเป้าหมายที่ดี แต่มันก็ได้สร้างคำถามว่า

นี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ

Ozymandias คือ มุมมองของผู้ปกครอง และนักวางแผน ที่ยอมเสียสละส่วนเล็กๆ เพื่อส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ขอแค่เป็นวิธีที่ได้ผลแค่นั้นพอ

อืม...

Ozymadias น่าจะที่เหมาะสมที่สุด เขาเป็นคนฉลาด แม้วิธีของเขาอาจผิดกฎหมาย แต่เมื่อสถานการณ์ เลวร้ายขนาดนี้แล้ว คงต้องเลือกใช้เขาเท่านั้น

ท่านผู้บัญชาการ โทรศัพท์ติดต่อ Ozymandias ทันที

เพื่อง่ายแก่การเข้าใจ ขอเสนอ แผนภาพ ที่เปรียบเทียบลักษณะนิสัยของเหล่า Hero ของเรา

โดยอิงจาก ความมีอุดมการณ์ และ ความเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ ของพวกเขาแล้วกัน

โดยบางตัวละครจะมีพัฒนาการทางความคิดด้วย (ใช้ลูกศรกำกับ แสดงเส้นทางการพัฒนาทางความคิดของตัวละคร)

คิดว่าคงใกล้เคียง และอธิบายนิสัยพวกเขาได้คร่าวๆ

Watchmen เน้นไปที่การเล่าเรื่องในยุค 80 ยุคที่ สหภาพโซเวียต ยังเรืองอำนาจ และสังคมถูกปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวงจากสงครามเย็น มากกว่าจะเล่าเรื่องการปราบอธรรมของเหล่า Hero

เพียงแต่หนัง เล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เป็น Hero ที่เหมือนเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจ ซึ่งแต่ละคนมีมุมมองที่หลากหลายต่อสังคมในยุคสมัยนั้น

จะว่าหนังเป็นเหมือนบทบันทึกถึงห้วงอารมณ์ช่วงสงครามเย็นก็คงไม่ผิด

Watchmen จึงเล่นกับความหวาดวิตกของสังคม และเสียดสีสงคราม การเมือง มากกว่าจะเน้นไปที่การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างจริงจัง อย่างที่เป็นใน V for Vendetta อีกผลงานหนึ่งของ Allan Moore ผู้แต่งเรื่องนี้

หนังเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ที่ใครรู้เรื่องประวัติศาสตร์อเมริกา ในช่วง สงครามเวียดนาม และ สงครามเย็น คงจะสนุกกับจุดเล็กจุดน้อยที่หนังใส่เข้ามา

ไม่ว่าจะเป็น การที่มนุษย์เดินทางสู่ดวงจันทร์ได้สำเร็จ การกำเนิดของ MTV และ การลอบสังหาร JFK เป็นต้น โดย หนังปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างมีอารมณ์ขัน

นอกจากรายละเอียดที่มากมาย ขนาดที่ดูสองรอบอาจจะเก็บไม่หมด หนังยังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับอารมณ์เสียดสีอยู่ในที แถมด้วยประโยคคมๆหลายประโยค

ขอยกตัวอย่างฉากที่จำได้ มาสักฉาก

ในตอนใกล้จบ

Dr. Manhattan ถาม Ozymandias ที่นอนถือสิ่งที่คล้ายกับ Remote อะไรบางอย่าง ไว้ในมือ ว่า “นั่นคืออะไร อุปกรณ์ทำลายโลกชิ้นใหม่หรือ”

Ozymandias ตอบว่า “นายน่าจะเรียกมันอย่างนั้น”

ก่อนที่จะกด Remote นั่น และพบว่ามันคือ Remote TV

มันเป็นฉากที่คมคายมาก มันวิพากษ์วิจารณ์ “สื่อ” ในฐานะ อาวุธอย่างหนึ่ง
ซึ่งในปัจจุบัน “สื่อ” เป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง

ฉากนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะเล่าเรื่องราวของยุคสมัย 80 แต่มันก็ยังใช้ได้กับปัจจุบัน

เรื่องราวของมันยังคงมีความร่วมสมัย

ในที่สุด Ozymandias ก็มาช่วยเหลือ

เขาบอกกับท่านผู้บัญชาการว่า ในเมื่อเหตุการณ์นี้ มีอิทธิพลมาจาก ความกลัว และ ความวาดระแวงซึ่งกันและกัน ของเหล่าผู้ชุมนุม

ฉะนั้น เราต้องทำให้พวกเขากลัวมากกว่าเดิม กลัวจนไม่กล้าที่จะทะเลาะกัน เราจะต้องสร้างศัตรูที่น่ากลัวที่สุดแก่พวกเขาทั้งสอง ให้พวกเขาจับมือกัน

ศัตรูของศัตรูคือมิตร

ท่านผู้บัญชาการ สั่งการให้ตำรวจใช้ความรุนแรงขั้นเด็ดขาด โดยมี Ozymandias คอยช่วย สลายการชุมนุมทั้งสองฝ่าย มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็จับมือกันชั่วคราวเพื่อต่อต้านอำนาจตำรวจ แต่ก็ทำอะไรฝ่ายตำรวจได้ไม่มากนัก เพราะกำลังที่เหนือกว่า

ในที่สุด ทั้งหมดก็สลายการชุมนุม

Watchmen เต็มไปด้วยประเด็นชวนคิดมากมาย ซึ่งการที่หนังมีเรื่องราวมากเกินไป น่าจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับ Zack Snyder ที่ต้องการเก็บรายละเอียดให้ครบถ้วนตามต้นฉบับ

นั่นทำให้ประเด็นต่างๆในหนังไม่ได้ถูกนำเสนออย่างลึกซึ้ง

คงจริงอย่างที่ Allan Moore ผู้แต่งได้บอกไว้ว่า ไม่มีทางที่ จะทำ Watchmen เป็นหนัง เรื่องราวของมันเหมาะกับการเป็นหนังสือการ์ตูนเท่านั้น

แต่กับผลลัพธ์ที่ได้ Snyder ก็สมควรได้รับคำชม ที่ทำให้เรื่องราวที่ยอกย้อน เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และ รายละเอียด เรื่องนี้ ปรากฏแก่ผู้ชมได้ค่อนข้างลื่นไหล ไม่มีสะดุด

แต่ส่วนตัวคิดว่า สามารถเล่าให้กระชับกว่านี้ และตัดเนื้อหาบางส่วนออกไปได้

อย่างไรก็ตามแม้จะมีเรื่องราวมากมาย แต่หนังก็ให้ความสำคัญกับประเด็นหลักของเรื่องเพียงประเด็นเดียว นั่นทำให้หนังไม่ สะเปะสะปะ จนเกินไป

กับฉากแอ๊คชั่น ถึงแม้จะมีน้อย แต่ก็ดูดีมีสไตล์ มันทั้งเท่ห์และสามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ดี แถมโหดกันแบบสะใจซาดิสม์ สมกับที่ได้ เรท R (หนังไม่เหมาะกับเด็ก และผู้ใหญ่ขวัญอ่อน)

แต่รู้สึกว่า Snyder จะใช้ภาพ Slow Motion มากเกินจำเป็นไปหน่อย

ลองคิดเล่นๆว่า ถ้า เอาฉาก Slow Motion ทั้งหลาย มาฉายที่ความเร็วแบบปกติ ตัวหนังคงสั้นลงไปสัก 15 นาที

สำหรับทีมนักแสดง ถือว่าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ในการสร้างบุคลิกให้กับ ตัวละคร Hero ในเรื่อง ให้มีชีวิตชีวาและจับต้องได้

แต่บทที่พวกเขาได้รับก็ไม่ได้เรียกร้องความสามารถอะไรจากพวกเขามากมายนัก

บทหนักจะไปอยู่ที่ Rorschach ของ Jackie Earle Haley และ Nite Owl II ของ Patrick Wilson (สองนักแสดงฝีมือดีที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Little Children) เพราะจะว่าไปแล้วสองตัวละครนี้เหมือนเป็นตัวเดินเรื่องหลัก

โดยเฉพาะตัวละคร Rorschach ที่สร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ชมได้เป็นอย่างดี

ส่วนตัวละครที่น่าจะมีความลึกทางอารมณ์มากที่สุดคงเป็น The Comedian ของ Jeffrey Dean Morgan

ในขณะที่ตัวละครอย่าง Ozymandias นั้น ถูกใช้งานน้อยที่สุด

พูดถึงช่วงสุดท้ายของหนัง สำหรับคนไม่ได้อ่านการ์ตูนก็ถือว่าเหนือคาดอยู่เหมือนกัน

ถือว่าหนังประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ที่เล่นเอาผู้ชมอึ้งเล็กๆ แต่มันก็ไม่ได้ทรงพลังมากมายนัก

แต่อย่างน้อยมันได้ฝากคำถามกลับไปสู่ผู้ชมว่า วิธีการแบบในหนังมันสมควรหรือไม่ เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วหรือ

ที่สำคัญ

เมื่อพิจารณาถึงสันดานของมนุษย์ สังคมมันจะสงบสุขได้จริงๆหรือ?

หลายเดือนหลังจากการสลายการชุมนุม

ความเกรงกลัวต่ออำนาจตำรวจเริ่มหมดไป

กลุ่มผู้ประท้วงทั้งสองกลุ่ม ก็เริ่มขัดแย้งกัน และเคลื่อนขบวนมาชุมนุมประจันหน้ากันอีกครั้ง

ส่วนตัว Watchmen เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกชอบมากทีเดียวครับ ตื่นตากับงานภาพ หัวเราะหึหึ กับมุขเสียดสีต่างๆ สนุกกับประวัติศาสตร์เล็กๆน้อยๆที่หนังใส่เข้ามา และยังมีเพลงประกอบที่เพราะมาก

อีกทั้งหนังยังมีประเด็นน่าสนใจให้เก็บกลับไปคิดต่อด้วย

แม้ว่าตัวหนังยังไม่ถึงกับรู้สึกว่า "สุดยอด" ก็ตาม แต่มันก็ทำให้อยากหาการ์ตูนมาอ่าน และกลับดูไปมันอีกครั้ง

8 / 10 ครับ

ของแถมครับ

เปิดแผยเนื้อหาของหนังเรื่องอื่น คือ Hero และ Gone Baby Gone

1. การที่มันเป็นหนังเกี่ยวกับ Hero ทำให้ผมนึกไปถึงหนังจีนที่คล้ายกันเรื่องหนึ่งของ ผู้กำกับ จางอี้โหมว ที่เรื่องนั้นใช้ชื่อเรื่องตรงๆไปเลยว่า Hero

ทั้ง Watchmen และ Hero มีความคล้ายคลึงกันอยู่ แบบขำๆนะครับ อย่าซีเรียส

ลองเปรียบเทียบตัวละคร

The Comedian = ฟ้าเวิ้ง เหมือนกันตรงที่ ตายตั้งแต่แรก (ตายจริง กับตายในนาม)

Rorschach = ไร้นาม เหมือนกันตรงที่ อุดมการณ์แรงกล้า แต่ก็ยอมสละชีวิตในตอนท้าย เพื่อสิ่งที่ดีกว่า

Nite Owl II = ดาบหัก เหมือนกันตรงที่ เป็นตัวเดินเรื่องหลักอีกคน

Silk Spectre II = หิมะเหิน เหมือนกันตรงที่ เป็นเมียของ ดาบหัก (Silk Spectre II เป็นเมีย Nite Owl II) แห่ะๆ

Ozymandias = จิ๋นซี เหมือนกันตรงที่ มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ เป็นคนที่เหมือนจะเป็นตัวร้าย แต่พอตอนจบก็เฉลยว่าที่ทำไปก็เพื่อสังคมที่ดีขึ้นเหมือนกัน แถมวิธีก็คล้ายกัน คือ เสียสละส่วนน้อย เพื่อส่วนมาก

หนังตั้งคำถามว่าคล้ายๆกันว่า Hero ที่แท้จริงคืออะไร

ที่สำคัญ อารมณ์ ตอนจบ นี่ใกล้เคียงกันเลย

อ้าว ลืม Dr. Manhattan ไปซะงั้น

2. Watchmen มีตอนจบ ที่คล้ายกับ Gone Baby Gone

ตอนจบของหนังเป็นการกระตุ้นให้คิดว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ความถูกต้อง กรอบศีลธรรม หรือ สิ่งที่สมควรทำ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นมัน “ดีที่สุด” จริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังสองเรื่องมีเหมือนกัน แม้หนังจะให้คำตอบกันคนละอย่าง

ส่วนตัวคิดว่า Gone Baby Gone ทำได้ดีกว่า และทรงพลังมากกว่า

3. หลายคนชอบไปเปรียบกับ The Dark Knight ผมว่ามันต่างกันพอสมควร

Watchmen มีความเป็นการ์ตูนอยู่สูง และมีอารมณ์เสียดสี ส่วน The Dark Knight นั้นจริงจังกับตัวเองมาก และเน้นความสมจริงมากกว่า

ส่วนที่เหมือนกันคือ การเล่นกับด้านมืด

กระนั้น The Dark Knight ยังมีความเป็นอุดมคติสูงกว่า

อีกอย่างที่เหมือนกันสำหรับผมคือ มันเป็นหนังดี ที่ดูสนุกเหมือนๆกัน

Create Date : 18 มีนาคม 2552

23 comments

Last Update : 19 มีนาคม 2552 3:16:48 น.

Counter : 16514 Pageviews.

ผมเสียดายตอนท้ายครับ มันรวบรัดไปหน่อย อุตส่าห์ทำหนังยาวมาตั้ง 163 นาทีแล้ว แทนที่จะกระแทกให้มันพีคไปเลย (ส่วนหนึ่งคงเพราะคนดูไม่ได้ทำความรู้จักกับ Ozymandius ให้มากเ้พียงพอ) จนรู้สึกว่าอยากให้หนังยาวซัก 200 นาที - -*

ส่วนเต็มๆที่เหลือ เ้ขียนลง SP ไปแล้วก๊า ^^

โดย: nanoguy IP: 125.24.124.83 19 มีนาคม 2552 5:03:53 น.

^
^
^

นั่นสิครับ ตั้งแต่ตอนบุกไปที่บ้าน Ozy แล้วมันรีบๆ ไงไม่รู้

อย่างว่า ถ้ายาวกว่านี้คงดี

แต่จะให้ดีที่สุด ผมว่าทำเป็น Mini Series สัก 10 ตอน มันน่าจะเวิร์คนะครับ

บทความนี้ผมเขียนแบบทดลองอะไรนิดๆหน่อยๆ

เลยอาจดูประหลาดๆ

มันเลยยาวมาก ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะมึนกันมั๊ย

โดย: navagan 19 มีนาคม 2552 6:05:17 น.

อ่านแล้วขอเข้ามาชมเชยครับว่าเขียนดีและสนุกมากครับ แป็ปเดียวจบโลด

จำได้ว่าดูออกจากโรงงานแล้วเครียดครับเพราะอุดมการณ์บางอย่างถูกสะเทือนไหวๆ

แต่เห็นด้วยครับว่าหากหนังยาวกว่านี้น่าจะดีมากๆ

โดย: Seam - C IP: 58.9.204.176 19 มีนาคม 2552 10:36:12 น.

เรื่องนี้เดี๋ยวจะมาอ่านอีกทีครับ (แต่ชอบที่เปรียบเทียบกับ Hero จัง แหะๆๆ)

มาว่าเรื่อง Shinjuku Incident... คุณ navagan ต้องคิดซะว่านี้คือหนังของผกก.นะครับ เพราะถ้าปรับสโคปเป็นหนังของ เฉินหลง จะพาลผิดหวังเอา...

สำหรับเนื้อหาก็อาจดูติดเชยๆซ้ำๆไปบ้างครับ เช่นการที่พระเอกเป็น nobody แล้วอาศัยความเป็นคนที่มีจิตใจดี (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้บริสุทธิ) ในการแสวงหาความสุขตามที่ฝัน แต่เมื่อเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตแบบเส้นตรง แน่นอนที่ยังไงแล้วทุกสิ่งก็ย่อมไม่จีรัง

แต่ความเชยๆซ้ำๆนี้พอได้ เฉินหลง มาเล่น ก็กลับเป็นของแปลกใหม่ขึ้นมาทีเดียวเชียว ตอนแรกผมคิดว่าป๋าแกจะออกแนวน้ำเน่า แบบเดียวกับช่วงสุดท้ายของ วิ่งกระเตงฟัด แต่ก็อย่าลืมว่านี้มันหนังของ เอ๋อตงเซิน เพราะฉะนั้นเรื่องฟ้าใสหลังฝนนี้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆอยู่แล้ว (ยิ่งเรื่องนี้มันดูมืดมนไปกว่า 90% เลยละครับ)

โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 19 มีนาคม 2552 13:21:03 น.

วิจารณ์ได้น่าสนใจนะครับ แต่เป็นสไตล์ที่ปรุงแต่งคำวิจารณ์กับรายละเอียดมากไปหน่อย ซึ่งจากบทวิจารณ์ที่เขียนมาผมยังไม่เห็นการ ขบ "ธีม" ของหนังออกมาอย่างชัดเจน คุณเท่าทันหนังในหลายจุดและไม่เท่าทันหนังในหลายจุด แต่ก็อยากชมสำหรับคำวิจารณ์นะครับ

ข้อเพิ่มเติมที่เห็นต่าง:
คุณให้ธีมของหนังไปอยู่ที่ออซซีฯ แต่ผมคิดว่มันอยู่ลึกกว่านั้น ธีมของหนังเรื่องนี้ผมคิดว่าอยู่ที่ประโยคติดตลกของคอมเมเดี่ยน "ชีวิตก็เหมือนเรื่องตลกซักฉากหนึ่ง" เพราะคอมเมเดี่ยนมองเห็นและเข้าถึงเรื่องนี้ก่อนคนอื่นๆ ทั้ง ดร.แมนฮัตตันหรือคนอื่นๆ มนุษย์มีทุกอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มนุษย์สร้างสรรทุกอย่าง ความกลัว ความรัก ปาฏิหาริย์ แต่มนุษย์ก็ไม่เคยสมบุรณ์แบบด้วยสันดานของตัวเองนั่นเอง

หนังย้อนเป็นพาราเรลเวิร์ลในโลกปี 80 ของสงครามเย็นที่เมื่อ "นิกสัน" ไม่โดนคดีวอเตอร์เกต และทำให้โลกก้าวเข้าสู่สงครามเย็นเต็มรูปแบบ มาตราการในการปกป้องโลกของออสซี่ฯ ถูกที่สุดในเวลานั้นใหมอาจไม่มีใครตอบได้ แต่มันแก้ไขไม่ได้คีย์ของเรื่องเป็นประโยคสั้นๆ เล็กๆ ของ ดร.แมนฮัตตัน 2-3 ประโยค
"ผมเปลี่ยนทุกอย่างได้เว้นแต่สันดานของมนุษย์"
"ไม่รู้สิ บางทีผมอาจจะไปยังจักรวาลที่ห่างไกลและสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาบ้าง"

....ดร.แมนฮัตตันเดินทางข้ามมายังจักรวาลใหม่ ที่มีดาวฟ้าคราม และสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้น เขาปล่อยสิ่งมีชีวิตนั้นใช้ชีวิตอย่างที่ตนสมควรใช้ จนถึงเหตุการณ์ของผู้ปกครองคนหนึ่งที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นเข้าสู่สงครามเย็น และเขาหยุดมันไว้เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมในแบบที่ออสซี่ฯ ทำให้เกิด บางที่สิ่งมีชีวิตที่เขาสร้างอาจจะมีโอกาสสร้างปาฏิหาริย์ที่ดีกว่านั้น โลกใบนั้นไม่เข้าสู่สงครามเย็น แต่สิ่งมีชีวิตนั้นก็ยังคงสร้างหายนะขึ้นกับตัวเองไม่เว้นวันอยู่ดี ดร.แมนฮัตตันพูดถูก "เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงสันดานมนุษย์ได้เลย"

วอชเมน!! หนังที่เมื่อคนดูแล้วจะสามารถเข้าใจวัตตะสังสาระของมนุษย์และหยุดที่จะใช้ชีวิตและถอยออกมา พิจารณาหรือดูสิ่งที่ พวกเรา เพื่อนฝูง หรือเราทำ หนังที่ดูจบ เราควรถอยออกมาดูชีวิตตนเอง ถอยออกมาเป็นวอชเมน

ที่มาของวอชเมนเป็นอย่างที่คุณพูดคงจะถูกมันเป็นการคิดซ้ำต่อสิ่งที่เราตัดสินใจทำ ว่ามันเป็นอย่างไร

ก็แค่ผ่านมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ

โดย: ผ่านมาผ่านไป IP: 124.120.166.84 19 มีนาคม 2552 17:29:59 น.

ตัวละครทั้งหกคน แต่ละคนก็มีแนวคิดของตัวเองแตกต่างกันออกไป ขอเขียนแยกเป็นคนๆไปตามความคิดของผมเองนะครับ

The Comedian : เป็นตัวละครที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดในเรื่อง เป็นคนที่ดูเหมือนจะขวางโลก แต่จริงๆเค้าเป็นคนที่มองสังคมมนุษย์ได้ทะลุปรุโปร่งคนหนึ่งเลยทีเดียว ที่ทำรุนแรงไปก็เพราะเค้าแค่เพียงต้องการให้ใครสักคนมาหยุดสิ่งที่เค้าทำ ชอบที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่ทุกๆคนในกลุ่มนึกถึงเค้าในงานศพ

Silk Spectre II : เป็นตัวละครที่ยังเต็มไปด้วยความหวัง ความเชื่อมั่น ถึงขนาดลงทุนวาปไปดาวอังคารกับ Dr. Manhattan ที่เหมือนจะปล่อยวางแล้ว เพื่อขอร้องให้ Dr. Manhattan กลับมาช่วยมนุษย์โลก ให้เห็นคุณค่าของมนุษย์อีกครั้ง ชอบที่สุดก็คงจะเป็นฉากที่ลงไปช่วยคนจากเหตุไฟไหม้ รู้สึกจะเป็นฉากเดียว ที่ทำตัวเหมือนฮีโร่ทั่วไป ^ ^

Nite Owl II : เป็นตัวละครที่คล้ายๆกับ Silk Spectre II ต้องการช่วยเหลือทำให้สังคมกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ชอบที่สุดคงเป็นฉากที่เห็นคู่หูกระจายไปต่อหน้าต่อตา ดูแล้วได้อารมณ์มากๆครับ

Rorschach : ตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่อง ชอบที่เค้ามีอุดมคติสูง ยึดถือความถูกต้องเป็นหลัก โดยไม่ใครหน้าไหนทั้งนั้น ชอบที่สุดก็คงเป็นฉากสุดท้ายของชีวิตเค้านั่นแหละ คำพูดที่เค้าพูดกับ Dr. Manhattan ฟังแล้วมันทั้งเคียดแค้น ทั้งสงสัย รวมทั้งหดหู่ อาลัย ต่อการกระทำที่เค้ายอมรับไม่ได้ของ Dr. Manhattan กับ Ozymandias

Ozymandias : ตัวละครที่เพิ่งมาประทับใจตอนจะจบเรื่องอยู่แล้ว =*= ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก ทำเพื่อโลก แต่ตั้งอยู่บนหลักความถูกต้อง(ในความคิดเค้าเอง) ชอบที่สุดก็คงเป็นความสามารถของเค้า เร็วเท่ากระสุน เท่ดีๆ

Dr. Manhattan : ตัวละครที่ดูจะปลงตกต่อทุกสิ่ง ประโยคเด็ดๆหลายประโยคที่ผมชอบ พรั่งพรูออกจากปากของเค้า ที่ชอบที่สุดคงเป็นคำพูดที่ว่า "พ่อผมเลิกทำนาฬิกา ตั้งแต่ไอน์สไตน์บอกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ผกผันได้" ฟังแล้วชอบมากๆ

โดยส่วนตัว ผมชอบหนังเรื่องนี้มากๆๆ ก็ขอชมเชยผู้เขียนการ์ตูนและ ผกก. ที่นำมาต่อยอดได้อย่างคมคายและแนบเนียน มุมมองต่างๆที่มีต่อสังคมมนุษย์ ความปลงตกในชีวิต รวมทั้งการเสียสละ ความเชื่อมั่น ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่รวมกันเป็นเรื่องนี้

ผมเห็นด้วยกับคุณ ผ่านมาผ่านไป ว่าประโยคที่เน้นย้ำเรื่องราวนี้ได้ดีที่สุด ผมคิดว่าคงเป็นคำพูดที่ The Comedian มักจะพูดอยู่เสมอๆว่า ชีวิตเป็นเพียงแค่เรื่องตลกฉากนึงเท่านั้น

ปล. ไม่เห็นมีวิจารณ์โปสเตอร์เลย กลายเป็นเปรียบเทียบกับเรื่อง Hero แทน
ปล.2 เรื่อง Hero ก็มีคำพูดทีเด็ดของเรื่องที่ชอบสุดๆเหมือนกัน ที่กระบี่หักเขียนบนพื้นทรายว่า "ใต้หล้า"

โดย: hormones IP: 58.8.180.208 19 มีนาคม 2552 18:58:42 น.

^
^
^

ตอบ คุณ ผ่านมา ผ่านไป

จะเรียกว่า "ปรุงแต่ง" ก็ถูกครับ คือ ผมอยากเขียนบทวิจารณ์ในรูปแบบใหม่ๆ ดูบ้าง

เลยลองเอามาผสมกับเรื่องแต่ง

พอเขียนแล้วก็สนุกดีครับ (คนเขียนสนุก คนอ่านไม่รู้สนุกด้วยป่าว)

และก็จริงอย่างที่คุณว่าครับ เรื่องคำพูดของ The Comedian

จริงแล้วตอนเขียนผมลืมนึกถึง ธีมนี้ไปเลย

พอนึกออก ก็ไม่รู้จะผูกเรื่องกับเรื่องที่แต่เสริมยังไง เลยไม่ได้เน้น ธีม นี้

ทีนี้ผมลองมานั่งดู แผนภาพที่ผมวาดขึ้นมา

ก็เห็นอีกแง่มุมหนึ่งว่า Ozymandias กับ The Comedian นี่ ตรงขั้ามกันเลย

โดยมี Dr.Manhattan อยู่ตรงกลาง

พอลากเส้นตรงแทยง ก็ทับกัน พอดี

ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความเห็นครับ

ตอบ hormones

โปสเตอร์มันหลากหลายแบบเหลือเกิน แล้วก็ไม่มีไอเดียด้วย เลยขอผ่าน

เรื่อง Hero นี่มานั่งๆคิด แล้วก็เห็นว่ามันคล้ายๆกันแฮะ

แต่ก็ไม่ได้มีสาระอะไรนัก เลยใส่เป็นของแถมขำๆ

โดย: navagan 19 มีนาคม 2552 20:33:53 น.

โลกที่ ดร.แมนฮัตตันมาสร้างใหม่ก็คือโลกที่เราอยู่นี่ไงครับ หนังเปรียบโลกที่ใครซักคนหนึ่งสร้างกับโลกปัจจุบัน

หนังว่าร้ายนิกสัน และบอกกับพวกเราว่าดูซิ "เราเคยผ่านเหตุการณืแบบนั้นมาแล้ว แต่ก็จมปลักอยู่ที่เดิม"

โดย: ผ่านมาผ่านไป IP: 124.120.166.84 19 มีนาคม 2552 22:40:34 น.

ขอบคุณครับที่แนะนำ ผมก็ไม่อยากเอาของเดิมมาขายซักเท่าไหร่ครับ คนอ่านเค้าจะมาบ่น

โดย: Ghoeby 20 มีนาคม 2552 21:12:09 น.

ตอบ คุณ ผ่านมาผ่านไป

ขนาดนั้นเลยหรือครับ ไม่เคยอ่านการ์ตูน และไม่ได้คิดขนาดนั้น

แล้ว Dr. Manhattan นี่ไปสร้างโลกเลียนแบบโลกเราในจักรวาลอื่น

แต่เปลี่ยนแค่เรื่องสงครามเวียดนาม กับ Nixon เลยเหรอ

ส่วนเรื่องที่หนัง เสียดสี Nixon นี่เห็นๆกันอยู่ครับ

โดย: navagan 22 มีนาคม 2552 2:12:33 น.

...ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ

แต่อ่านดูแล้วก็คงจะต้องดูหลายรอบแน่เลย รายละเอียดเยอะจัด

โดย: renton_renton 22 มีนาคม 2552 8:16:25 น.

^
^
^

ลองไปดูหนัง แล้วจะพบว่า รายละเอียดในหนังมันเยอะมากครับ ที่เขียนมานี่ไม่ถึง 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ

ส่วนที่เขียนเยอะแยะ จริงๆ ไม่ได้ลงลึก หรือ ลึกซึ้งอะไร

แค่วิเคราะห์นิสัยตัวละคร กับ วิจารณ์ลงไป

แต่ที่มันเยอะ เพราะผมแต่งเรื่องประกอบ เพิ่มลงไปเองครับ

โดย: navagan 22 มีนาคม 2552 23:03:42 น.

คุณ Navagan ครับ

พอดีผมอ่านแล้วชอบมากมาย ก็เลยขอ Copy ลงใน hi5 ผมนะครับ

( ถ้าไม่ได้ อย่างไร Mail มาบอกผมได้แล้วผมจะลบให้ทันทีเลยนะครับ )

โดย: Ayako IP: 58.9.88.22 25 มีนาคม 2552 10:38:42 น.

พอดีผมไม่ได้เป็นสมาชิก ( PM ไม่ได้ )

nut_best@hotmail.com

โดย: Ayako IP: 58.9.88.22 25 มีนาคม 2552 10:40:07 น.

ผมว่าบท Ozymandias น้อยไปหน่อย (เผลอๆ น้อยกว่า The Comedian อีกมั้ง) เลยทำให้หนังช่วงหลังไม่ impact เท่าที่ควร

โดย: ฟ้าดิน 26 กรกฎาคม 2552 7:24:44 น.

แวะเข้ามาอ่าน หลังจากหยิบ DVD มาดูเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รุ 5555

อย่างอื่นคุณจขบ. กล่าวไปเยอะแล้ว ผมขอนุญาตหยิบประเด็นเล็กๆน้อยมาใส่หน่อยนะครับ คือเรื่องของโรชาช (เขียนภาษาปะกิตยากจัง) กับไนท์โอล์ว ที่ดูเป้นตัวเดินเรื่องหลัก ซึ่งผมคิดว่า กว่า 80% ของคนดูเรื่องนี้ ต้องชอบโรชาชแน่ๆ ในขณะที่ตัวไนท์โอล์ว ออกจะดูงั้นๆไปหน่อย เพราะว่าไม่ค่อยมีอะไรเด่นมาก ดูเป็นพระเอกมาตรฐาน

ผมคิดถึงอะไรรู้มั้ยครับ ผมคิดถึงประเด็นที่ชอบพูดกันว่า "ผู้หญิงชอบคนเลว" ผมว่าเอามาเทียบกับสองคนนี้ได้เลยล่ะ

โรชาช เป็นคนดีแบบมาดเลว (โดยเฉพาะฉาก "มือแก ความสะใจชั้น" ^^) คนดูจะติดใจเพราะไอ้ความไม่เพอร์เฟคต์ของแกนี่แหละ เป็นโรคจิต นิยมความรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็ยึดมั่นอุดมการณ์

ไนท์โอล์ว เป็นคนดี ให้เกียรติผู้หญิง (จากที่ไม่บุ่มบ่ามอะไรกับซิลค์สเปคเตอร์แบบคอมีเดียน) และเป้นแบบฉบับของฮีโร่ มีชุดแบบมาตรฐาน มีอุปกรณ์ไฮเทค ฯลฯ แต่ดั๊นนนนไม่เด่นด้านไหนเลยซะนี่

ถ้ามาถามว่า สุดท้ายแล้วใครเจ๋งกว่ากัน มันก็แล้วแต่คน แต่ถ้าเอาจริงๆผมว่า ยังไงก็ต้องไนท์โอล์วครับ ถึงจะไม่สะใจเท่าโรชาช แต่ก็พึ่งได้ในระยะยาว อย่างน้อยเราก็วางใจได้ว่า เค้าคงไม่ลุกขึ้นมาสับหัวชาวบ้านๆง่ายๆ เนอะ

=====
กลับมาที่หนังดีก่า เห็นด้วยว่าออสซี่บทน้อยไปหน่อย น่าจะมีโชว์ความสามารถอะไรหน่อยตอนเริ่มเรื่อง จะได้อินกับบทของเค้าในตอนท้าย นี่โผล่มาบอกแค่ว่า เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก แล้วก็ใส่ชุดราชันย์ออร่าเกย์มากๆ 555

หลายจุดยืดไปนิด แต่โดยรวมก็ชอบครับ ทั้งธีมหลักและปรัชญาแฝงในแต่ละตัวละครหมดเลลย ^^

โดย: CARAGIO IP: 124.122.98.17 3 กันยายน 2552 13:55:59 น.

ถ้าคนส่วนมาก ดู WATCHMEN เข้าใจ โลกจะเป็นยังไงนะ

วิจารณ์ได้ดีมากๆครับ เพราะวิจารณ์กันได้แบบนี้แหละ เลยเลิกซื้อหนังสือหนัง อิอิ

โดย: ป้อม นาคพนม IP: 124.120.120.50 19 ธันวาคม 2552 23:43:02 น.

พึ่งได้ดูหนังเรื่องนี้จบเมื่อซักครู่ ขอสารภาพว่าดูแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะ แต่มา search เจอะบลอกของคุณ ทำให้เข้าใจอะไรขึ้นเยอะ มันลึกซึ้งอย่างนี้นี่เอง.........

โดย: Vitamin_C 16 เมษายน 2554 22:22:15 น.

หนังสือ Watchmen ยังมีขายอยู่ไม
ถ้ายังมีขาย ขายอยู่ที่ไหน
จะหาซื้อได้ยังไง ???

โดย: Contra IP: 125.27.19.243 3 มีนาคม 2555 20:25:17 น.

พวกเราทุกคนก็คือ ดร.แมนฮัตตัน ที่รู้เรื่องราวความเป็นไปทุกอย่างของมนุษย์แต่ทำอะไรไม่ได้ และไม่ทำ(ทำไปทำไมให้เดือดร้อนตัวเอง)

โดย: คิดว่างั้น IP: 110.169.236.96 23 กรกฎาคม 2555 15:05:30 น.

ขอบคุณมากครับ
ชอบมากๆเลย
เข้าใจเห็นภาพเลยครับ

โดย: ช้างทมิฬ IP: 124.120.86.231 6 สิงหาคม 2555 21:50:55 น.

Thank you for sharing superb informations. Your web-site is very cool. I am impressed by the details that you have on this web site. It reveals how nicely you perceive this subject. Bookmarked this web page, will come back for more articles. You, my pal, ROCK! I found just the info I already searched all over the place and just could not come across. What an ideal website.
Cheap Ray Bans //www.homesnetwork.com/

โดย: Cheap Ray Bans IP: 94.23.252.21 3 สิงหาคม 2557 23:55:02 น.

I am so happy to read this. This is the type of manual that needs to be given and not the random misinformation that's at the other blogs. Appreciate your sharing this greatest doc.
Nike Air Max 1 //www.tnsi.com/services.aspx

โดย: Nike Air Max 1 IP: 94.23.252.21 12 สิงหาคม 2557 13:29:47 น.