รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
14 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 
ดูสภาวะธรรมอย่างไรในการปฏิบัติตามแนวทางหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

เรื่องก่อนหน้าที่ได้เขียนไว้แล้ว แนะนำให้อ่านก่อนถ้าท่านยังไม่เคยอ่านมา

เรื่องที่ 1 เคร็ดวิชาการภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน

เรื่องที่ 2 ให้รู้สึกของหลวงพ่อเทียน คือ ??

เรื่องที่ 3 รู้สึกตัวอย่างไรในการภาวนา

เมื่อท่านได้ศึกษาหลักการตามเรื่องทั้ง 3 เรื่องข้างบนเข้าใจดีแล้ว  ทีนี้ก็ได้เวลาลงมือการภาวนาได้จริง ๆ กันสักที

วิธีการเคลื่อนมือของหลวงพ่อเทียนนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า ขยับมือไปตามรูปแบบทีท่านสอนพร้อมด้วยความรู้สึกตัว   หลวงพ่อท่านเน้นหนักว่า **ให้รู้สึก** ท่านก็สมควรจะ *ให้รู้สึก* ตามที่หลวงพ่อท่านสอน  มาลงมือกันเลยครับ

เมื่อท่านนั่งได้ที่แล้ว อย่าเพิ่งได้ขยับมือ ขอให้ท่านนั่งเฉยๆ สบายๆ  นั่งอย่างผ่อนคลาย อย่าได้เกร็งร่างกาย สักครู่หนึ่ง นี่คือท่าเริ่มต้น ที่สำคัญมาก ๆ แต่คนจะมองข้ามไป ทำให้การภาวนาไม่ตรงครับ

นั่งเฉยๆ สบาย ๆ เพื่ออะไร ...
ท่าแรกเริ่มนี้ ท่านสมควรนั่งเฉยๆ สบาย ๆ  อย่าได้คิดอะไร อย่าได้ทำอะไร เฉยๆ อย่างนั้นแหละ ให้นั่งสักครู่้ แล้วขอให้ท่านสังเกตจิตใจของท่านเอาไว้ว่า มันจะเฉยๆ  นิ่ง ๆ อยู่ เพราะท่านไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้คิดอะไร   อาการที่ท่านรู้สึกถึงได้ของอาการนิ่งๆ  เฉยๆ ของจิตใจนี้แหละ สำคัญมาก ผมจะเปรียบเหมือนผ้าที่วางไว้แล้วแผ่ออกที่พื้น แต่ไม่มีรอยยับอะไรเลย

ถ้าท่านสังเกตอาการของจิตที่เฉยๆ นี้ได้แล้ว ค่อยเริ่มขยับมือทีละจังหวะไปตามรูปแบบที่หลวงพ่อท่านสอน  

เนื่องจากการเีขียนของผม เป็นการบอกถึงวิธีการ *ให้รู้สึก* แก่ท่านในการปฏฺบัติจริง  ผมขอให้ท่านผ่านไปที่จังหวะยกมือขึ้นเลย โดยข้ามจังหวะพลิกผ่ามือไปก่อน
เพราะจังหวะพลิกผ่ามือ การพลิกมือจะใช้เวลาสั้นและเบาเกินไป มือใหม่อาจจะรับรู้อาการ * ให้รู้สึก * ไม่ได้

ขอให้ท่านจากท่านั่งนิ่งแล้วเคลื่อนมือยกขี้นไปเลย

ขอให้ท่านสังเกต  เวลาที่มือเคลื่อนขึ้้น  จากความรู้สึกที่นิ่งๆ  ตอนนั่งเฉยๆ  ท่านจะสามารถรับรู้อาการ *กระฉอก* ของจิตใจได้  มันจะวูบขึ้นมาในความนิ่งของจิตใจนั้น ขอให้ท่านลองทำหลาย ๆ ครั้งว่า สามารถรับรู้อาการกระฉอกนี้ได้หรือไม่  

อาการกระฉอก ก็คือ สภาวะที่แปรเปลี่ยนไปที่เกิดในจิตใจที่นิ่ง ๆ เมื่อก่อนหน้านี้
เมื่อกี้นิ่ง แต่พอเคลื่อนมือ มันจะไหว ๆ วูบ ๆ  ไม่นิ่งแล้ว ซึ่งเปรียบเหมือนผ้าที่เรียบ ๆ เมื่อกี้นี้ มีรอยยัีบย่นเกิดขึ้น

ถ้าท่านรุ้สึกได้ถึง อาการนิ่ง อาการกระฉอก ได้แล้ว ถือว่า ท่านเข้าใจ *ให้รู้สึก*ได้แล้ว 

อาการกระฉอกที่เกิดขึ้นในขณะเคลื่อนมือ นั้นจะมีอาการที่ไหวตัวอันเนื่องมาจากการเคลื่อนมือ และ บางครั้งนักภาวนาจะพบอาการเผลอวูบหนึ่งสั้น ๆ ในขณะที่เริ่มเคลือนมือด้วย หรือ บางครั้งอาการคิดก็เกิดขึ้น ก็จะวูบแบบนี้เหมือนกัน

พอท่านเคลื่อนมือขึ้นแล้วหยุด  จังหวะหยุดนี้แหละ ก็ให้ท่านค้างไว้ที่ท่านั้นก่อน นั่งนิ่ง ๆ ค้างมือไว้ แล้วสังเกตอาการจิตใจนิ่งๆ  เหมือนตอนท่าแรกเริ่ม แล้วก็เคลื่อนต่อไป แล้วหยุด  วนเวียนแบบนี้ไปจนครบ 14 จังหวะ

หลวงพ่อท่านสอนการเคลื่อนมือนี้ ถ้าทำอย่างที่ผมว่าไว้ จะตรงกับคำสอนในพระไตรปิฏกเลยว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา   การรับรู้วูบ ๆ นี่แหละ คือ ตัวสติที่ไปรับรู้อาการของกายหรืออาการของจิตใจทีมันสั่นไหว แปรเปลี่ยน

นักภาวนามือใหม่ ๆ นั้น พอเกิดวูบขึ้น จิตของนักภาวนาอาจจะไหลไปยึดอาการวูบ  แล้วเกิดเผลอไปแว๊บหนึ่ง เผลอไม่เป็นไรนะครับ ให้เริ่มนิ่งใหม่แล้วเคลื่อนต่อไป
เช่นเดียวกับอาการเผลอไปคิด ก็ไม่เป็นไร ให้เริ่มใหม่แล้วเคลื่อนต่อไป

เมื่อท่านสามารถสัมผัส อาการเผลอ อาการคิด ได้ที่มันวูบ ๆ นี่ ท่านไม่ต้องไปกังวลใจแต่ประการใด  อย่าได้ไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อไม่ให้เผลอ เพื่อไม่ให้คิด เช่นไปเพ่งมือ หรือไปตรึงความรู้สึกตัว  อย่าได้ไปทำเด็ดขาดเลยนะครับ

พอท่านฝึกไปเรื่อย  ๆ  ระยะแรก ๆ ท่านอาจจะเผลอมาก หลงไปคิดมาก นี่เป็นเพราะว่ากำลังสัมมาสติของท่านอ่อนแอ  เมื่อท่านฝึกไปตามที่ผมบอก ซึ่งก็คือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ฝึกบ่อยๆ  กำลังสัมมาสติของท่านจะเพิ่มขึ้นเอง พอกำลังสัมมาสติเพิ่มขึ้นเองเพราะการฝึกฝนให้จิตไปรับรู้อาการต่างๆ ที่มันกระฉอกบ่อยๆ ในขณะฝึก อาการเผลอ อาการหลงคิดก็จะค่อยๆ ดีขึ้นไปเอง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอยู่นะครับ มันไม่หายไปหรอก เพราะนี่คืออาหารของจิต เพื่อให้จิตของท่านกิน ให้จิตมีกำลังวังชาแน่นขึ้น พอท่านจะฝึกไปนาน ๆ หลายๆ เดือน และได้ผลแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าที่เข้าทาง

** ทำไมวิธีการของหลวงพ่อต้องวนมือไปมามากแบบในการฝึุก....
คำตอบก็คือ วิธีการของหลวงพ่อเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากครับ ที่ท่านคิดแบบฝึกนี้ออกมา เพื่อให้ผุ้นักภาวนาเกิดการเผลอ เกิดการคิดขึ้นในขณะฝึกฝน แล้วให้สติไปรับรู้อาการเผลอ อาการคิดนี่แหละครับ เพื่อช่วยเพิ่มกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
นี่คือ สิ่งที่หลวงพ่อเท่านบอก * ให้รู้สึก * ซึ่งก็คือ การรับรู้อาการกระฉอกเหล่านี้นั้นเอง

**รับรู้อาการกระฉอกไปเรื่อยๆ ผลจะเป็นอย่างไร
คำตอบก็คือ เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิทีตั้งมั่นครับ  พอจิตมีกำลังสัมมาสมาธิตั้งมั่นได้พอประมาณ จิตจะเกิดการแยกตัวออกเป็นผุ้รู้ ผุ้ดู แล้วไปเห็นความคิดได้
พอจิตแยกตัวออก แล้วเห็นความคิดได้ นี่คือ การเริ่มได้ผลในการภาวนาตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้  การเห็นความคิดนี้ จะทำให้นักภาวนาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา   ท่านจะเข้าใจได้เองทันทีที่เห็นความคิดได้ นี่คือปัญญาในการภาวนา  

ถ้าท่านยังไม่เห็นความคิดแบบนี้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา แต่หลงไปว่า ดีจริงๆ ไม่มีความคิดเกิดเลย ไม่มีกิเลสเกิดเลย เพราะปฏิบัติผิดทาง ท่านก็จะไม่มีปัญญา
ท่านสมควรจะพิจารณาตรวจสอบการฝึกของท่านใหม่ได้แล้ว

ผลของการภาวนานั้น การเห็นความคิดเป็นเพียงการได้ผลขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ขอให้ท่านหมั่นฝึกไปเรื่อย ๆ  แบบนี้ *ให้รู้สึก* ไปเรื่อยๆ กำลังสัมมาสมาธิยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น แล้ว ปัญญาในการเห็นสภาวะธรรมก็จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ  เอง ท่านไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการฝึกเลย เริ่มต้นอย่างไร ปลายทางก็ฝึกแบบนั้นได้

ผมเชื่อว่า สิ่งที่ผมเขียนเรื่องนี้ จะมีผู้ชำนาญการฝึกสายหลวงพ่อเทียนหลายๆ ท่านไม่เห็นด้วย  ผมฝึกแบบหลวงพ่อเทียนมาประมาณ 5 ปี ผมเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนเอาไว้แบบนี้ และได้ผลออกมาแบบนี้ ผมก็มาเขียนแนะนำให้ท่านที่กำลังสนใจแนวทางนี้  เมื่อท่านอ่านแล้วขอให้พิจารณาเอาเองด้วยปัญญาของท่านก็แล้วกันครับ 

**คำสอนในพระไตรปิฏก **

สติปัฏฐานสูตร  .. อาตาปี สัมปชาโน สติมา
สมาธิสูตร ..ภิกษุจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น จักเห็นธรรมตามความเป็นจริง



Create Date : 14 มิถุนายน 2555
Last Update : 14 มิถุนายน 2555 16:44:57 น. 0 comments
Counter : 3000 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.