ไขปริศนาธรรมของเณร ผู้บอกทางแก่พระใบลานเปล่า
1..บทความเรื่อง " ไขปริศนาธรรมของเณร ผู้บอกทางแก่พระใบลานเปล่า " เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง ซี่งในพระสูตรในพระไตรปิฏก ไม่ได้เฉลย ปริศนาธรรมของเณรไว้เลย ท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าได้เชื่อในบทความนี้โดยไม่ได้พิจารณาใตร่ตรองด้วยปัญญาให้แน่ชัดเสียก่อน . บทความนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะอ่านให้เข้าใจได้ เพราะจะเกี่ยวข้องกับสภาวะธรรมในขั้นสูง ที่นักภาวนา ทียังไม่มี ดวงตาเห็นธรรม และ ไม่มี ญาณ เกิดขึ้น จะไม่มีทางที่จะพบกับสภาวะะรรมนี้ได้เลย ในการอ่านก็จะสร้างความเข้าใจได้ยากยิ่ง การอ่านจำต้องมีความอดทนค่อนข้างมาก ถ้าท่านมีความอดทนพอ ที่จะศีกษาในเรื่องนี้ ผู้เขียนก็ยินดี เพื่อปัญญาของท่านเองในกาลข้างหน้า . ในสภาวะธรรมนี้ ถ้าใครพบได้แล้ว ก็จะสามารถต่อยอดไปสู่การไขปริศนาธรรมของพุทธศาสนานิกาย Zen ที่กล่าวไว้ว่า "มารคือพุทธะ" ซี่งปริศนาธรรมของ Zen นี้ ผู้เขียนได้เคยอ่านพบ การวิจารย์ด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจของชาวพุทธไทยจำนวนมากที่ไปกล่าวว่า พุทธะ กับ มาร นั้น คือ สิ่งเดียวกัน สำหรับเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ถ้าท่านยังไม่พบกับสภาวะธรรมนี้ ขอให้ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ถ้ารีบด่วนสรุปว่า เป็นการลบหลู่พระเกียรติของพระพุทธองค์ . 2..สิ่งที่ท่านควรทำความเข้่าใจก่อน ก็คือ สภาวะปรมัตถธรรมของโลกภายนอก โลกภายใน และ อายตนะ ขอให้ดูภาพข้างล่างนี้ประกอบคำอธิบาย จากภาพข้างบน เป็นภาพของสภาวะปรมัตถธรรมของ 3 สิ่ง คือA..โลกภายนอก - เป็นโลกของคนเราที่รู้จักกันดีอยุ่แล้ว ในโลกภายนอก ก็จะมี คน สัตว์ สิ่งของ มีกิจกรรมของคนต่างๆ มากมายB..โลกภายใน - เป็นโลกอีกโลกหนี่ง ที่ซ้อนทับอยู่กับสภาวะปรมัตถของโลกภายนอก ในโลกภายในนี้ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งของ จะมีก็แต่สภาวะธรรมของ จิต อยู่ โลกภายในนี้ คนทัวไป จะรู้เห็นไม่ได้เลย แม้แต่นักภาวนาที่มีดวงตาเห็นธรรมใหม่ๆ ที่ยัง ขาดประสบการณ์ทางจิต ก็จะยังไม่รู้จักโลกภายในนี้ C..อายตนะ - เป็นเขตแดนแคบ ๆ ที่เหมือนเส้นกั้นอยู่ระหว่างโลกภายนอกและโลกภายใน โดย อายตนะ นี้ จะเป็นช่องทางเข้าออกของจิตที่อยู่ในโลกภายใน ออกมาสู่โลกภายนอกได้ ขอยกตัวอย่างทางโลก เพื่อให้เข้าใจ อายตนะ ได้ดีขึ้น ที่บ้านของท่าน จะมีประตูบ้าน ปกติคนจะอยู่บ้าน แต่ถ้าคนจะออกไปนอกบ้าน ก็จะเดินผ่านประตูบ้านออกมา ซี่งประตู่บ้านทีใช้ผ่านเข้าออกนี้ ก็เปรียบได้กับ อายตนะ . ขอยกตัวอย่างการทำงานของ จิตและกิเลส ประกอบ เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ถ้าคนเราสนใจในสิ่งของในโลกภายนอก เช่น ชายหนุ่มไปเห็นหญิงสาวหน้าตาสวย จิตที่อยู่ในโลกภายใน ก็จะเคลื่อนตัวออกมาผ่านทางเส้นอายตนะแล้วผ่านตาเนื้อ ออกไปสู่โลกภายนอก เมื่อจิตออกไปโลกภายนอกทางตาเนื้อแล้ว ในทางธรรมจะพูดว่า เกิดเป็น วิญญาณทางตา เกิดขึ้นแล้ว วิญญาณทางตาที่ไหลออกทางอายตนะผ่านทางตาเนื้อ ก็จะไปเกาะติดที่ หญิงสาว ที่กำลังสนใจมองอยู่ อาการที่จิตไหลออกผ่านอายตนะโดยผ่านทางตาออกไปแบบตัวอย่างนี้ ในทางธรรม จะพูดว่า จิตมีราคะเกิดขึ้นแล้วจิตจึงไหลออกไปด้วยแรงดึงของตัณหาที่ดึงจิตไปสู่โลกภายนอก ถ้าท่านยังไม่ชัดในคำอธิบายเรื่อง อายตนะ ข้างบน ขอแนะนำให้อ่านซ้ำจนกว่าจะเข้่าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว การที่จิตไหลออกไปสู่โลกภายนอก ผ่านทางอายตนะนี้ก็จะเหมือนกันหมดในทุกอายตนะ ได้แก่ 1.ตา(เห็นรูป) - 2.หู(ได้ยินเสียง) - 3.จมูก (ได้กลิ่น) - 4.ลิ้น (ได้รับรู้รส) - 5.กาย (รู้สัมผัส หรือรู้ความรู้สีกที่เกิดขึ้นที่กาย ) - 6. มโน(่ที่เป็นความคิด) . ปริศนาธรรมของเณร ที่ได้กล่าวธรรมแก่พระใบลานเปล่า เณรได้กล่าวเปรียบเที่ยบไว้ ว่า มี ทางออกของตัวแย้ มีอยู่ 6 ทาง ซึ่งก็คือ อายตนะที่เป็นทางผ่านออกมาของจิต ทั้ง 6 ทาง ให้เฝ้าดูทางออกของตัวแย้นี้ ในพระสูตรได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพระใบลานเปล่า ได้รับฟังเรื่องธรรมนี้แล้ว ก็ได้พากเพียรภาวนา แล้วท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ . 3..นักภาวนาทั่วไป จะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะพบธรรมนี้ได้ ผู้เขียนขอแยกออกเป็น Step ดังนี้ >>Step 3.1 เริ่มต้นจากมือใหม่ที่เข้ามาในการภาวนา ท่านสมควรใช้ อายตนะ ทั้ง 6 ที่เขียนไว้ใน ข้อ 2 ข่างบน คือ 1.ตา(เห็นรูป) - 2.หู(ได้ยินเสียง) - 3.จมูก (ได้กลิ่น) - 4.ลิ้น (ได้รับรู้รส) - 5.กาย (รู้สัมผัส หรือรู้ความรู้สีกที่เกิดขึ้นที่กาย ) - 6. มโน(่รู้ที่เป็นความคิด) โดยฝึกฝนให้รู้การทำงานของอายตนะ อาจเป็นการเลือกอายตนะใดมาฝีกฝนก่อน ทีนิยมกัน ก็มักใช้ กาย โดยรู้สัมผัสที่กาย เช่น การเดินจงกรม หรือ นั่งสมาธิ โดยการรู้ ลมหายใจที่เรียกว่า อาณาปานสติ ก็ได้ โดยให้ฝีกฝนไป ฝีกทุกวัน ฝีกไปเรื่อยๆ >>Step 3.2 ถ้านักภาวนาฝีกฝนได้ดีพอ ต่อไป จะเริ่มเห็นอารมณ์โกรธเป็นไตรลักษณ์ได้ เมื่อ เห็นอารมณ์โกรธเป็นไตรลักษณ์ได้หลาย ๆ ครั้ง ก็จะพบ จิตผู้รู้ ปรากฏขึ้นมาได้เองต่อไป ขั้น 3.2 นี้ ไม่ใช่ของง่ายที่จะพบได้ ถ้ายังพบไม่ได้ ก็ขอให้ฝึกขั้น 3.1 ต่อไปเรื่อยๆ กอ่น อย่าไปมองหาจิตโกรธ หรือ มองหาจิตผู้รู้ ท่านจะไม่มีวันพบได้เลย และยังเป็นการปฏิบัติที่ผิด ขั้นตอนอีกด้วย >> Step 3.3 เมื่อท่านสามารถเห็นไตรลักษณ์ของอารมณ์โกรธได้แล้ว พบจิตผู้รู้ได้แล้ว ขอให้ฝีกฝนเหมือน Step 3.1 ต่อไปเรื่อยๆ อีก รอเวลาจนกว่า ดวงตาเห็นธรรม ( ตาใน ) จะเกิดขึ้นเอง ซี่งท่านต้องรอเวลา ให้ ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นเอง ท่านไม่สามารถทำให้เกิดไม่ได้ . เมื่อเกิดดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านก็ยังคงฝีกเหมือน Step 3.1 เหมือนเดิมต่อไปอีก แล้ว ในขั้นนี้ ท่านต้องรอเวลา ให้เห็นทัน ตัวจิต วิ่งผ่านออกมาทางเส้นอายตนะเพื่อไปสู่โลกภายนอก ท่านควรเห็นทันตัวจิตวิ่งผ่านอายตนะหลาย ๆ ครั้ง แล้วท่านจะรู้จัก เส้นอายตนะ ได้เอง ว่า เส้นอายตนะอยู่ที่ไหน มื่อท่านพบเส้นอายตนะได้เมื่อใด ท่านก็จะรุ้จักได้เองว่า ดินแดนปรมัตถของโลกภายนอก อยู่ที่ใด ดินแดนปรมัตถของโลกภายใน อยู่ที่ใด เพราะเส้นอายตนะเป็นเส้นเขตแดนของ โลกภายนอก และ โลกภายใน >> Step 3.4 เมื่อท่าน -รู้จัก เส้นอายตนะ - รู้จัก เส้นเขตแดนโลกภายนอก - รู้จัก เเส้นขตแดนของโลกภายในได้แล้ว ท่านก็ยังคงฝีกเหมือน Step 3.1 ต่อไปอีก จนท่านพบได้เองว่า เมื่อความคิดได้เกิดขึ้นนั้น ตัวจิตจะวิ่งผ่านอายตนะออกไปก่่อน แล้วจะวิ่งกลับมาที่เส้นอายตนะแล้วความคิดจึงเกิดขึ้นได้ เพราะกลไกของจิตจะเป็นแบบนี้ (แต่ถ้าตัวจิตวิ่งออกไปที่โลกภายนอก แล้วไม่วิ่งกลับเข้ามา อาการเผลอหลงลืมสติ ก็เกิดขึ้น แล้วกิเลส ก็เกิดขึ้นได้โดยง่าย เมื่ออาการเผลหลงลืมสติ เกิดขึ้นอยู่) . ท่านต้องเห็นการทันทำงานของกลไกจิตที่เคลื่อนตัวผ่านอายตนะแบบนี้ได้เอง เห็นได้หลายๆ ครั้งก่อน ต่อไป เมื่อใดที่ท่านเห็น จิตหยุดอยู่ที่เส้นอายตนะ โดยท่านไม่ได้มีการคิดเลย ท่านจะพบกับ สภาวะธรรมทีเรียกว่า จิตประภัสสร ปรากฏขึ้นมา หมายเหตุ การเห็นทันการเคลื่อนตัวของจิตที่ผ่านอายตนะนี้ ห้ามไปจ้องมองเพื่อต้องการเห็น เพราะถ้าไปจ้องมอง จะไม่เกิดเหตุการณ์ให้เห็นได้ ท่านควรใช้ชีวิตปกติของตัวท่าน แล้ว พอจิตเคลื่อนตัว แล้วไปเห็นทันได้เอง ถ้าครั้งนี้ เห็นไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร ฝีกไปเรื่อยๆ สักวันก็จะเห็นทันได้เอง การฝึกฝนในระดับสูง ต้องใช้เวลามากแบบนี้เสมอ . สกาวะธรรมจิตประภัสสรนี้ เป็นคล้าย ๆ กับ รัศมีทรงกลดของดวงอาทิตย์ ที่ปรากฏขึ้นที่ เส้นอายตนะนี้เอง ขอให้ดูภาพ ดวงอาทิตย์ทรงกลดได้นี่ link นี้https://www.thaipbs.or.th/news/content/263924 แต่ถ้าเมือ่ใด ทีท่านคิด จิตคิดก็อยู่ที่เส้นอายตนะเช่นกัน ล้วจิตประภัสสรที่เหมือนดวงอาทิตย์กรงกลดก็จะหายไป นี่ คือ การไขปริศนาธรรมของ Zen ที่ว่า มารคือพุทธะ โดยที่มาร คือ ความคิด เมื่อมีความคิดเกิด กายก็เกิดขึ้น แล้วทุกข์ที่กายก็เกิดขึ้นได้ และพุทธ คือ จิตประภัสสร ซี่งทั้ง 2 อย่างนี้ คือ สิ่งเดียวกัน อยู่ทีว่า มีคิดหรือไม่มีคิด เท่านั้นเอง หมายหตุ...การคิดที่มีสติกำกับนั้น จิตอยู่ทีเส้นอายตนะ แต่ถ้า การคิดที่่ไม่มีสติกำกับ จะมีการปรุงแต่งเกิดขึ้น จะไปเกิดอยู่ที่ เรือน เรือน คือ อะไร ขอให้อ่านเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้อะไรในคืนวันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-12-2019&group=17&gblog=182 .. 4.. การไขปริศนาธรรมของเณรเรื่องรูออกของตัวแย้ และปริศนาธรรมของ Zen เรื่อง มารคือพุทธะ ได้ ก็เกิดปัญญา มากขึ้นในทางธรรม เข้าใจกลไกของจิตมากขึ้นว่า ความคิด เกิดได้อย่างไร อาการที่ไม่คิด แล้วเกิด จิตประภัสสร เป็นอย่างไร . แต่ผู้เขียนไม่สามารถ บอกได้ว่า การไขปริศนาธรรมทั้งสองนี้ออกได้แล้่ว คือ สภาวะธรรมของพระอรหันต์ใช่หรือไม่ แต่ธรรมของพระพุทธองค์นั้น เปรียบได้ดังใบไม้ในป่าใหญ๋ ทียังมีอีกมากมาย ตราบใดที่ยังภาวนาไปเรื่อยๆ ก็จะพบธรรมใหม่ๆ ได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ เสมอ . แต่สิ่งหนี่ง ที่นักภาวนาควรใส่ใจก็คือเรื่อง สุภาพ การภาวนาในระดับสูง มักจะก่อให้เกิดอาการท้องอืดเกิดขึ้นได้ ถ้าท่านเกิดอาการท้องอืดขึ้น ขอให้อ่านบทความนี้ เพื่อการักษา อาการนี้ แก้อาการท้องอืด เป็นกรดในท้อง ที่เกิดในนักภาวนาทีปฏิบัติจนได้ผลดีในระดับหนี่งแล้ว https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=23-12-2019&group=17&gblog=183 . 5..ปัญญาในทางธรรม เกิดขึ้นได้ แต่ต้องลงแรงฝีกฝนสติปัฏฐานให้ถูกทางก่อน ถ้าท่านฝีกมา 5 ปีหรือมากกว่า ไม่เคยเห็น จิตโกรธ เป็นไตรลักษณ์เลย ท่านควรทบทวนการฝึกของท่านแล้ว มีอะไรไม่ตรงทางแห่งมรรคเป็นแน่แท้ ขอบคุณทีอ่านจนจบกับเรื่องราวที่ยาก ๆ แบบนี้ครับ
Create Date : 16 ตุลาคม 2565
Last Update : 17 ตุลาคม 2565 6:14:52 น.
0 comments
Counter : 382 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****