1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
สิ่งใดไม่เที่ยง ไม่สมควรทีไปยีดถือว่า นั้นเป็นเรา นั้นเป็นของเรา
1..บทความเรื่อง <สิ่งใดไม่เที่ยง ไม่สมควรไปยีดถือว่า สิ่งนั้นเป็นเรา สิ่งนั้นเป็นของเรา> เป็นความเข้าใจส่วนตัว ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยการพิจารณาด้วยปัญญา ขอบคุณครับ . 2...ในพระไตรปิฏกเถรวาท มีคำสอนของพระพุทธองค์ต่อบุคคล หรือ กลุ่มบุคลล ว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สมควรไปยีดถือว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา ชาวพุทธทีศรัทธาในคำสอน และได้ศีกษาในพระไตรปิฏก ก็จะพบคำสอนนี้ ปรากฏอยู่ในหลาย ๆ พระสูตรด้วยกัน . ปัญหามีว่า สิ่งนั้นทีพระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงคืออะไร และจะเข้าใจในคำสอนนี้ได้อย่างไร . 4..การจะเข้าใจในคำสอนนี้ ไม่ใช่ของง่าย เพราะ ไม่มีปรากฏในรายละเอียดในตำรา และ ไม่มีการสอนออกมาจากครูบาอาจารย์ท่านใดเลย ท่านทีจะเข้าใจได้ จำเป็นต้องศีกษาค้นหาด้วยตนเองเท่านั้น . พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถึง ทางสายกลาง หรือ มรรค 8 และ สติปัฏฐาน 4 ไว้ นีคือ ทางทีพระพุทธองค์ทรงให้มา ส่วนรายละเอียด ท่านต้องลงมือปฏิบัติตามทีพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ . 6.. ถ้าท่านลงมือปฏิบัติ โดยใช้หลักของ มรรค8 และ สติปัฏฐาน 4 ปฏิบัติไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อ จิตของท่านจะมีกำลังจิตเพิ่มขึ้น ซี่งหมายความว่า จิตท่านมีกำลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มากขึ้นกว่าเดิมขึ้นมา จิตทีมีกำลังของ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ท่านจะรู้ได้จากสิ่งทีท่านได้พบสภาวะธรรม ได้ > ท่านสามารถพบและรู้เห็นไตรลักษณ์ ของ อารมณ์ปรุงแต่ง หรือ ความคิดทีไม่ได้ตั้งใจคิด ทีเกิดขึ้นเอง แล้ว ดับไปได้เอง > ท่านสามารถ รู้การหายใจ ทีเป็นแบบรู้ได้เองได้ ( แนะนำ อ่านเรื่อง การรู้การหายใจแบบ Secondary ในลิงค์นี้ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2021&date=01&group=17&gblog=225 ) > เมื่อจิตของท่านมีประสบการณ์มากขึ้นในการพบและรู้เห็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ปรุงแต่งได้ ซี่งประสบการณ์นี้ ท่านควรจะได้พบและรู้เห็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ปรุงแต่งได้หลายๆ ครั้งได้แล้ว นี่เป็นสิ่งสร้างเหตุให้ท่านเกิด ธรรมจักษุ ขึ้นมา ( ธรรมจักษุ หรือ ดวงตาเห็นธรรม หรือภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า ตาใน ) 7..ดวงตาเห็นธรรม เมื่อเกิดใหม่ๆ นักภาวนาจะเห็นได้ถึงโลกอีกโลกหนี่ง ทีซ้อนทับกับ โลกของมนุษย์เรา มันเป็นโลกอีกมิติหนี่ง ( ตอไป ผู้เขียนขอเรียกว่า โลกภายใน ) ที่เป็นทีเกิดของ ปรมัตถธรรม ทีจะเห็นได้แต่คนมี ธรรมจักษุ เท่านั้น . เมื่อนักภาวนามี ธรรมจักษุ แล้ว งานภาวนาต่อไป ก็คือ การหมั่นพบทุกข์ เพื่อให้ สิ่ง 2 สิ่งทีอยู่ในโลกภายใน ปรากฏตัวขึ้น สิ่ง 2 สิ่งนี้ คือ 1..จิตตัวรู้ หรือ จิตผู้รู้ 2.. จิตพลังงาน (จิตส่วนทีไปสร้างการปรุงแต่งขึ้นมา) สิ่งทีท่านต้องทำก็คือ เฝ้าดู พฤติกรรมของ สิ่ง 2 สิ่งนี้ 8..เมื่อนักภาวนาได้เผ้าดู พฤติกรรมของสิ่ง 2 สิ่งในข้อ 7 จนพบรากเหง้าหรือรู้กำพืดของสิ่งทั้ง 2 นี้ จนเข้าใจในพฤติกรรมของสิ่งทั้ง 2 ได้เป็นอย่างดี เมื่อใด ท่านก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ทีว่า สิ่งใดไม่เที่ยง ไม่สมควรไปยีดมั่นว่า สิ่งนั้นเป็นเรา หรือ สิ่งนั้นเป็นของ ๆ เรา . 9...เพื่อเป็นแนวทางแก่ท่านนักภาวนา เมื่อท่านเฝ้าดูจนเข้าใจในพฤติกรรมได้เป็นอย่างดี ท่านควรจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง เพราะการได้เห็นในพฤติกรรมของเขา ถ้าท่านยังตอบคำถามไม่ได้ในข้อใด ขอให้ท่านเฝ้าดูพฤติกรรมของเขาต่อไป จนกว่าจะเข้าใจได้ดี . A..จิตตัวรู้ หรือ จิตผู้รู้ เพราะเหตุใด จึงปรากฏตัวขึ้นเป็นเม็ด เป็นดวง เพราะเหตุใด จึงไม่ปรากฏตัวเป็นเม็ดเป็นดวง เมื่อท่านรู้สาเหตุแล้ว ต่อไป ท่านสามารถทำให้เจ้าสิ่งนี้ ปรากฏเป็นเม็ดเป็นดวงได้ไหม และ ทำให้ ไม่ ปรากฏตัวเป็นเม็ดเป็นดวงได้ไหม ซี่งท่านควรทำได้ทั้ง 2 แบบหมายเหตุ ถ้าท่านเข้าใจพฤติกรรมของข้อนี้ ท่านจะรู้จักว่า ความมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน เกิดได้อย่างไร B...อารมณ์ปรุงแต่งต่างๆ ไม่ว่าดีหรือเลว และ ความคิดต่าง ๆ เกิดได้อย่างไร เหตุใดทีทำให้เกิดขึ้น และ เหตุใด ทีทำให้ดับลงไปหมายเหตุ ถ้าท่านเข้าใจในข้อนี้ เป็นอย่างดี ท่านจะรู้ว่า ทุกข์เกิดได้เพราะเหตุใด ทุกข์ดับได้เพราะเหตุใด C..วิญญาณทางตา ทางหู เกิดได้อย่างไร และ วิญญาณทางตา ทางหู ดับลงได้อย่างไร หมายหตุ ทีแนะนำให้เฝ่าดูแค่ทางตา ทางหู เพราะง่ายทีสุด เมื่อเข้าใจได้ ก็จะเข้าใจในวิญญาณอายตนะอื่นได้ด้วย เมื่อท่านเข้าใจในข้อ C นี้ ท่านจะเข้าใจในคำสอนทีพระพุทธองค์ให้แก่ท่านพาหิยะได้ ท่านจะรู้ได้ด้วยว่า ทำไมตนทีอ่านเรื่องท่านพาหิยะ ทีอ่านแล้ว คำสอนดูเหมือนง่ายๆ แต่ทำไมคนที่อ่านไม่สามารถพบความจริงในเรื่องนี้ได้ ........ 3 หัวข้อข้างบนเป็นเพียงแนวทางให้แก่ท่านนักภาวนาเท่านั้น แต่เนื้อแท้แล้ว ยังมีอย่างอื่นอีก ทีผู้ภาวนาจะพบได้เอง จนเข่าใจได้เอง ทำให้เกิดปัญญาขึ้นแก่ตนเอง ( ปัจจัตตัง ) . 10..ไม่มีใครจะบอกได้ว่า การเฝ้าดูพฤติกรรมของสิ่งทั้ง 2 นี้ จะใช้เวลานานเท่าใด ขอเพียงแต่ท่านมีความเพียร มีหลักการ แล้ว เฝ้าดูไปเรื่อยๆ ขอบคุณสำหรับท่านทีอดทนอ่านจนจบ และต้องขอบคุณ ถ้าท่านทีอ่านได้ประโยชน์จากบทความนี้ จนเข้าใจในธรรมของพุทธศาสนาได้อย่างหมดสงสัยในกาลภายหน้า
Create Date : 30 สิงหาคม 2564
Last Update : 4 กันยายน 2564 16:40:01 น.
0 comments
Counter : 930 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****