รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
เมษายน 2564
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
16 เมษายน 2564
 
All Blogs
 
โครงสร้างของโลกภายนอก และ โลกภายใน

1.....บทความเรื่อง < โครงสร้างของโลกภายนอก และ โลกภายใน   > บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ   ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป
.
2...ขอให้ดูภาพประกอบ คำอธิบาย 

โลกภายนอก คือ อะไร
โลกภายนอก ก็คือ โลกของคนเรานี่เอง ทีมี ผู้คน  มีสัตว์ มีบ้าน มีรถยนต์ มีธุรกิจ และ อื่น ๆ อีกมาก
เป็นโลกทีคนเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
โลกภายใน คือ อะไร
โลกภานใน คือ โลกอีกมิติหนี่งทีซ้อนทับอยู่กับโลกภายนอก ในโลกภายในนี้ จะไม่มีผู้คน ไม่มีบ้าน
ไม่มีธุรกิจ ไม่มีดวงอาทิตย์  ไม่มีดวงจันทร์ จะมีแต่ความว่างเปล่า  ความเงียบ และ ความสว่าง
อายตนะ คือ อะไร
อายตนะ คือ เขตแดน ทีต่อเชื่อมระหว่าง โลกภายนอก และ โลกภายใน
อายตนะนี้ ก็คือระบบประสาทของคนเรา ทีเกี่ยวข้องกับ ตา หู จมูก ลิ้น ร่างกาย

3..เมื่อคนเกิดมา ก็จะพบกับโลกภายนอกทันที เรียนรู้โลกภายนอก เพื่อการมีชีวิตอยู่ทีดีในโลกภายนอก
เมื่อคนเราต้องเรียนรู้อยู่กับโลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา ตัวจิตของคนเรานั้น ก็จะวิ่งเผ่นพล่านอยู่ในโลกภายนอกนี้อยู่เสมอ เมื่อคนเราคิดเพื่อแก้ปัญหา ก็จะมีขบวนการของความคิด ทีเกิดขึ้นจากการทำงานของตัวจิตเอง ถ้าคิดแล้วเกิดอาการไม่ชอบใจ ก็จะเกิดทุกข์ขึ้น ถ้าคิดแล้วเกิดอาการชอบใจ ก็จะเป็นสุขขึ้น ถ้าคิดแล้วไม่เกิดอาการชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ ก็จะเฉยๆ 

ขบวนการความคิดของคนเรา
การเกิดขึ้นของอาการชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉยๆ นี้ จะวนเวียนไปตลอดเวลา อาการจิตอย่างหนี่งเกิดขึ้น เดียวก็ดับลงไป แล้ว อาการจิตอย่างอื่นก็เกิดขึ้นได้อีก แล้วก็ดับลงไปอีก เพราะพุทธองค์ได้ทรงเปรียบการเปลี่ยนแปลงของอาการจิตอย่างนี้ว่า เหมือนวานรในป่าใหญ่ ทีโหนเถาวัลย์จากกิ่งนี้ ไปกิ่งโน้นเป็นประจำ

เพราะคนเราอยู่กับโลกภายนอก ก็จะมีเรื่องทีให้คิดอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
การวนเวียนของความคิด จะทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้นทีเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ ทางภาษาธรรมก็จะเรียกว่า สังสารวัฏ 
เมื่อคนเราไม่รู้จักการวนเวียนของความคิด การปรุงแต่งทางอารมณ์ สังสารวัฏ ทางภาษาธรรม ก็จะเรียกว่า การมีอวิชชา
.
4..คนเราจะหลุดออกจากสังสารวัฏได้อย่างไร
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ พระองค์ได้ตรัสสอน สติปัฏฐาน 4 ให้แก่ชาวพุทธ
โดยสติปัฏฐาน 4 นี้ ในพระไตรปิฏก ได้กล่าวว่า เป็นทางอันเอกทีจะนำพาสัตว์ให้พ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวงได้

เมื่อสังสารวัฏ คือ การวนเวียนของความคิด การปรุงแต่งทางอารมณ์ ซี่งหมายความว่า
อาการในสังสารวัฏได้เกิดขึ้นเมื่อขณะที่จิตคนเรานั้น ไปอยู่ที โลกภายนอก นั่นเอง

ถ้าจะหลุดจากสังสารวัฏได้ ก็ให้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เพื่อให้ จิตทีวนเวียนอยู่ทีโลภายนอก
ย้ายมาอยู่ที่ อายตนะ หรือ โลกภายใน 

ขณะที่จิตที่อยู่ที่ อายตนะ หรือ อยู่ที่โลกภายใน  ภาษาธรรมก็จะเรียกว่า ขณะนั้นจิตมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันเป็นข้อ 7 และ 8 ใน ทางสายกลาง (มรรค 8 ) ทีพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้

5.. การทีจิตอยู่ทีอายตนะ หรือ อยู่ทีโลกภายใน ต่างกันอย่างไร

ถ้าจิตอยู่ที อายตนะ  จิตยังสามารถรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอกได้อยู่เหมือนเดิม ยังมีความคิดได้ ยังมีอารมณ์ปรุงแต่งได้  แต่จะไม่ยีดติดความคิด ไม่ยีดติดในอารมณ์ปรุงแต่งทีเกิดขึ้น 

ถ้าจิตอยู่ทีโลกภายใน จะไม่มีความคิดเรื่องโลกภายนอก ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งใด ๆ เกิดขึ้นเลย

6..จะปฏิบัติอย่างไร ให้จิตมาอยู่ที่อายตนะ หรือ โลกภายในได้

การปฏิบัตินั้น ก็ให้เดินตามสติปัฏฐาน 4 ทีพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว
ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยความเข้าใจทีตรง ไม่หลงไปกับการปฏิบัติทีหลงผิดว่า นีคือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 แล้วละก็ ผลของการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ที่ตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์  ก็จะส่งผลให้จิตเข้ามาอยู่ที่อายตนะได้ก่อนเป็นอันดับแรก

เมื่อได้ปฏิบัติต่อไปอีก มีความรู้ ความเข้าใจ มีดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้น มีปัญญาญาณแก้กล้า จิตก็จะสามารถเข้ามาอยู่ทีโลกภายในได้ต่อไป

7..การหลุดพ้น คือ อย่างไร
การหลุดพ้น คือ อาการทีจิตไม่อยู่ในโลกภายนอก หรือ จะกล่าวว่า จิตหลุดจากโลกภายนอกก็ได้

เพื่อความเข้าใจได้ง่ายขึ้น  ซี่งถ้าจิตอยู่ที อายตนะได้ หรือ อยุ่ทีโลกภายใน ได้ นี่คือ อาการของจิตหลุดพ้นแล้ว

นักปฏิบัติทีมีปัญญาญาณ จะสามารถมองเห็นโลกภายนอก โลกภายใน และอายตนะ ตามรูปในข้อ 2 ได้
เมื่อเห็นได้ และ รู้จักว่า จิตนั้นหน้าตารูปลักษณ์เป็นอย่างไร ตอนนี้ จิตอยู่ทีไหน 
ถ้านักปฏิบัติมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีแข็งแรงมากพอ จิตย่อมหลุดพ้นและเกิดความเข้าใจในตนได้ว่า จิตได้หลุดพ้นแล้วหรือยัง  โดยไม่ต้องไปถามใครต่อใครเลย
 


Create Date : 16 เมษายน 2564
Last Update : 23 เมษายน 2564 8:52:17 น. 0 comments
Counter : 967 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.