อาณาปานสติที่สมบูรณ์ บ่งบอกว่า สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ แล้ว อาณาปานนสติสมบูรณ์เป็นอย่างไร
111..บทความเรื่อง " อาณาปานสติที่สมบูรณ์ บ่งบอกว่า สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ แล้วอาณาปานสติสมบูรณ์เป็นอย่างไร " เขียนขึ้นจากความเข้าใจส่วนตัวของผู้เขียนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปเหมือนอาจารย์ผู้สอนธรรมท่านใด ท่านที่เข้ามาอ่าน ผู้เขียนขอแนะนำให้ อ่านแล้วพิจารณาด้วยปัญญา อย่าได้ด่วนตัดสินใจ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในบทความนี้ 222..กรรมฐาน อาณาปานสติ ไม่ใช่กรรมฐานที่ง่าย แต่ที่ทำกันทั่วไป คือ การรู้ลมที่ปลายจมูก ซี่ง ยังเป็นการรู้ ที่มีการบังคับรู้อยู่ (หรือจะพูดว่า เป็นการบังคับจิตอยู่ก็ได้ ) จึงยังไม่เป็นธรรมชาติ ความไม่เป็นธรรมชาติของการู้ลมหายใจ จะรู้สีกได้ 2 ประการ คือ 1..รู้ลมแล้วรู้สีกอีดอัดขึ้นมา 2..รู้ลมแล้วกลับมีความคิดเกิดขึ้น เมื่อความคิดเกิดขึ้น ความรู้สีกความเป็นตัวตนก็เกิดขึ้น . 333...สำหรับการรู้ลมหายใจที่เป็นธรรมชาตินั้น จะมีลักษณะดังนี้ A...รู้ว่า มีลมหายใจปรากฏ แต่ไม่รู้ว่า ลมหายใจนั้นอยู่ที่ใดของร่างกาย ถ้ายังมีรู้ว่า ลมอยู่ปลายจมูก หรือ อยู่ท้องพองยุบ นั่นยังไม่เป็นธรรมชาติของการรู้ลม . B..การรู้ลมหายใจ นั้น จะต้องเป็นการรู้ได้เอง ไม่ใช่การพยายามจงใจไปรู้ลม ซี่งใน blog ของผู้เขียน ได้เรียกการรู้ลมที่รู้ได้เองว่า เป็นการรู้แบบ Secondary หมายเหตุ คำนี้ รู้แบบ Secondary เป็นคำที่ผู้เขียนตั้งขึ้นมาเอง เพื่อใช้ในการสอนธรรมปฏิบัติ . เพื่อความเข้าใจในเรื่องการรู้แบบ Secondary ว่าเป็นอย่างไร ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประกอบ เพื่อให้เข้าใจก่อนว่า การรู้แบบ Secondary นี่เป็นอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะนำไปใช้ในการรู้ลมหายใจได้ต่อไป . ตัวอย่างที่ขอยกมา ก็คือ การตีเหล็กด้วยวัตถุที่แข็งอะไรก็ได้ เช่น ไม้ หรือ เหล็กแท่งอีกแท่งหนี่ง เมื่อใช้เหล็กแท่งตีเหล็กอีกก้อนหนี่ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาจากการตีก็คือ เสียง จะเห็นว่า เสียงที่เหล็กโดนตี เกิดขึ้นมาเอง และ การเกิดนี้ จะต้องสร้างเหตุขึ้นมาก่อน ก็คือ เหล็กถูกตี แล้ว เสียงก็จะเกิดตามมาภายหลังได้ การที่เหล็กถูกตี นี่เป็นการกระทำที่เป็นตัวเริ่มต้น หรือ Primary ที่เป็นตัวสร้างเหตุ ส่วนเสียงที่เหล็กโดนตี จะเกิดได้เอง ซี่งเป็นผลมาจากเหล็กโดนตี จึงเป็น Secondary . C..การรู้ลมที่เป็นธรรมชาติได้นั่น เกิดขึ้นเมื่อ คนกำลังทำอะไรอยู่ก็ได้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ ถูบ้าน ล้างรถ และ อื่น ๆ เมื่อ กำลังทำอะไรอยู่ แล้วจิตสามารถไปรู้ลมหายใจ ที่เกิดอยู่ได้เอง อันมีลักษณะดังข้อ A และ ฺB ที่เขียนไว้ข้างบน นี่เป็นการรู้ลมหายใจที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ ไม่มีการแต่งลม ไม่มีการบังคับลมหายใจ ไม่มีการเจาะจงเพื่อไปรู้ลมหายใจเลย . เมื่อมีการรู้ลมหายใจแบบ Secondary โดยที่ตัวเราไม่ได้ไปกำหนดรู้ คำถามมีว่า แล้วใครเป็นผู้ไปรู้ลมหายใจนี้ได้ละ คำตอบก็คือ ธาตุรู้ ที่เป็นธาตุที่อยู่ใน จิตผู้รู้ เป็นสิ่งที่ไปรู้ลมหายใจแบบนี้ ท่านนักภาวนาจะเห็นว่า การรู้ลมแบบ Secondary นี้ บอกได้ชัดว่า สิ่งที่ไปรู้ลม ไม่ใช่ตัวเรา สิ่งที่รู้ลม ไม่มีตัวตน ไม่รู้อยู่ที่ไหน นี่คือ ความเป็นอนัตตา ได้ปรากฏขึ้นให้พบได้แล้ว นี่คือ สภาวะธรรมแท้ ๆ ได้ปรากฏขึ้นให้พบได้แล้ว . มีคำสอนของพระสารีบุตร ที่ผํู้เขียนเคยได้ยินมาจากท่านผู้รู้ที่เป็นนักภาวนารุ่นพี่ของผู้เขียน ได้ กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตร ท่านได้สอนว่า การวางจิตที่ตรงพอดีโดยใช้สติเป็นผู้วางจิตนี้ จะทำให้เกิดอาณาปานสติที่สมบูรณ์ขึ้นมา หรือ จะพูดอีกนัยว่า การวางจิตที่ตรงพอดี เป็นการสร้างเหตุ ที่ทำให้เกิดผลคือ มีอาณาปานสติที่สมบูรณ์เกิดขึ้นได้ . คำถามมีต่อว่า แล้วการวางจิตที่ตรงพอดี นี่คือ อย่างไร เรื่องนี้ ก็เฉลยได้ว่า การไม่ยีดติดในส่วนสุดทั้งสอง คือ การไม่ยึดติดในกามสุข และ การไม่ยีดติดในทุกข์ นี่คือ การวางจิตที่ตรงพอดี ท่านนักภาวนาเมื่อทำการภาวนา สิ่งทีต้องสังเกตตนเองก็คือ ลมหายใจพอดีไหม ไม่สั้นไป ไม่ยาวไป ลมหายใจเป็นธรรมชาติไหม รู้ลมหายใจแล้วไม่อีดอัดใช่ใหม่ รู้ลมหายใจไม่มีความสุขเกิดขึ้นใช่ใหม ไม่มีการเจาะจงการไปรู้ใช่ใหม่ การวางจิตด้วยยสติในตอนนี้คือ การวางจิตทีพอดีแล้ว จึงเกิดอาณาปานสติทีสมบูรณ์ขึ้นแล้ว . เพียงแต่ท่านนักภาวนา พบการวางจิตที่พอดีได้ จะพบเองว่า การใช้ชีวิตประจำวันอบู่ แล้ว มีอาณาปานสติที่สมบูรณ์ปรากฏรู้ได้อยู่ ถ้าเป็นอย่างนี้ อยู่เสมอ ๆ แทบทั้งวัน นี่คือ การมีสติปัฏฐาน 4 ทีสมบูรณ์แล้ว . สภาวะธรรมของพระอรหันต์ ก็คือ การมีสติปัฏฐาน 4 ที่สมบูรณ์ จิตไม่มีการยีดติดในสิ่งใดได้แล้ว จึงจะเกิดอาณาปานสติที่สมบูรณ์ได้แล้ว วิธีนี้ จะเป็นการตรวจสอบการภาวนาของตนเองได้ว่า ตนเองนั้นได้เดินทางแห่งมรรค จนพบกับธรรมชาติแท้ ๆ ได้แล้วหรือยัง . ธรรมในพุทธศาสนานั้น ยากที่จะเข้าใจได้ จนกว่า ผู้ภาวนาจะพบได้เอง จากที่เป็นคนช่างสังเกตุสภาวะธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเมื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน สังเกตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจ ก็จะเข้าใจในธรรมได้ว่า ธรรมแท้ ๆ นั้นเป็นเช่นนี้เอง . ถามวา ยากใหม่ ตอบว่า ยากสุด ๆ ทีเดียว แต่ก็ยังมีทางพบได้
Create Date : 25 ตุลาคม 2565
Last Update : 25 ตุลาคม 2565 10:41:49 น.
0 comments
Counter : 409 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****