1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
มาเป็น...ท่านพาหิยะ..กันเถอะ
หมายเหตุ ... บทความนี้ เขียนขึ้นมาใหม่ แทนบทความเดิมที่เคยเขียนไว้ ใน Blggang.com นี้ ที่ ขณะนี้ ตัวอักษรไม่เรียงตัวเป็นระเบียบ ยากแก่การอ่าน และไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ จึงตัดสินใจเขียนขึ้นมาใหม่ตามนี้ . 1..พระสูตรในพระไตรปิฏกทีลือลั่นมากพระสูตรหนี่งก็คือ พาหิยะสูตร ทีนักภาวนาในไทยแทบจะทุกคน ต้องเคยได้ยินหรือได้อ่านพระสูตรนี้มาแล้ว ทีพระพุทธองค์ทรงตรัสแก่ท่านพาหิยะ สรุปได้ดังนี้ว่า........ . เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ. จาก https://www.84000.org/tipitaka/_mcu/v.php?B=25&A=1607&Z=1698 . 2.ทำไมคนทั่วไปจึงไม่อาจพบอาการทางธรรมในพาหิยะสูตรได้ . ในการรับรู้ของคนทีใช้อายตนะทั้ง 6 ในการรับรู้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มโนทวาร การรับรู้แบบนี้ เมื่อเกิดการรับรู้ขึ้นแบบตั้งใจ จะเกิดวิญญาณขันธ์ทีอายตนะขึ้น เมื่อเกิดวิญญาณขันธ์ ก็จะเกิดขันธ์ตัวอื่นตามขึ้นมา เมื่อขันธ์เกิดขึ้น การรับรู้จึงไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ ดังทีกล่าวไว้ใน พาหิยะ สูตร . 3..เมื่อการรับรู้ทีสร้างขันธ์ ดังเขียนไว้ในข้อ 2 นี้ ทำให้ไม่อาจพบธรรมแบบทีกล่าวในพาหิยะสูตรได้ แล้วการรับรู้แบบใด จึงจะทำให้พบธรรมได้ ? คำตอบก็คือ ..การรับรู้ด้วยจิตทีทำหน้าทีในการรู้ . หมายเหตุ .... ในธรรมชาติของจิตนั้น จะมี 2 ส่วน ส่วนที 1 คือ จิตทีทำหน้าที รู้ สภาวะธรรมทีเป็นปรมัตถธรรมจิตส่วนนี้ มีสภาพว่างเปล่าแบบสุญญตา ไม่อาจเห็นตาเนื้อ แต่จะเห็นได้ด้วย ธรรมจักษุทีมีญาณปัญญา เท่านั้น ส่วนที 2 คือ จิตทีเป็นพลังงานทีทำหน้าทีในการสร้างขันธ์ 5 ขึ้นมา . จบหมายเหตุ... . ในการรับรู้ของจิตทีทำหน้าทีรู้ของจิตส่วนที 1 (ต่อไปขอเรียกว่า จิตรู้) เพียงจิตรู้ รับรู้ อาการทีเป็นกิริยาของอายตนะ เช่น ถ้ารับรู้ทางตา ทีเรียกว่า การเห็น .. บวก การรับรู้อาการทีเป็นกิริยาทางหู ทีเรียกว่า การได้ยิน .... บวก การรับรู้อาการของลมหายใจทีเป็นปรมัตถธรรม ที่ปรากฏตัวอยู่ในโลกภายใน เพียงเท่านี้ ธรรมแบบพาหิยะสูตรจะพบได้ทันที . 4....การรู้แบบพาหิยะสูตรนั้น จิตรู้ทีประกอบด้วยญาณปัญญา ทีมี สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีมีพลัง จะควบคุมการทำงานของจิตส่วนที 2 ทีเป็นพลังงานในการสร้างขันธ์ให้หยุดการสร้างขันธ์ขึ้น แล้วจิตรู้ส่วนที 1 จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเอง เพียงเท่านี้ นักภาวนาก็จะพบการรู้แบบพาหิยะสูตรได้ . การพัฒนาจิตรู้ส่วนที 1 ให้มีพลัง ก็จะมาจากการฝีกฝนทีตรงทางแห่งองค์มรรค เมื่อการฝีกฝนได้ผล นักภาวนาก็จะพบธรรมแบบในพระสูตรได้... . 5...มาทดลองทำเพื่อการรู้แบบพาหิยะกัน ขอให้ท่านอ่านแล้วทำตามคำแนะนำด้านล่างในข้ 5 นี้ . 5.1 ท่านจะต้องทำแบบ ทำเล่นๆ อย่าได้จริงจัง การทำอะไรด้วยการเจือด้วยอาการจริงจัง ตั้งใจ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความคิดขึ้นทันที เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ความเป็นตัวตนก็เกิดขึ้น จึงไม่อาจพบกับสภาวะแบบท่านพาหิยะได้ . 5.2 ขอให้เปิดเพลงบรรเลงนี้ฟัง ขอให้ฟังแบบได้ยินเสียงก็พอ ไม่ต้องไปใส่ใจ https://www.youtube.com/watch?v=8jtKzJpp3Gc&list=RD8jtKzJpp3Gc&index=1&ab_channel=ChutimaJindarat . ท่านสามารถใช้เพลงบรรเลงอื่นก็ได้ แต่ควรเลือกเพลงที่ท่านไม่เคยได้รู้เกี่ยวกับเนื้อร้องในเพลงนัั้น เช่น ถ้าท่านเลือกเพลงบรรเลง ลอยกระทง ท่านร้องได้มาก่อน แบบนี้เพลงลอยกระทง จะใช้ไม่ได้ เพราะถ้าท่านเปิด ความคิดที่เป็นเนื้อเพลงจะปรากฏขึ้นในสมองของท่านแล้ว สภาวะพาหิยะ ก็ไม่เกิดขึ้น . 5.3 จากนั้น ขอให้ใช้มือลูบไปที่ด้านหลังของศรีษะแถว ๆ ท้ายทอย ลูบช้า ๆ สบาย ๆ เหมือนลูบเล่น ๆ . เมื่อ ท่านทำครบตามนี้ คือ หูสักแต่ว่าได้ยินเสียง มือลูบทีท้ายทอยช้า ๆ สบาย ๆ ตาเนื้อของท่านจะเกิดอาการมัวๆ ขึ้น เห็นภาพวัตถุต่าง ๆ ไม่ชัด แล้ว ลมหายใจ จะปรากฏขึ้นให้รู้ได้ สิ่งที่ท่านควรระวังก็คือ อย่า อย่า อย่า --เน้นว่า อย่า - ไปรู้ลมหายใจที่จมูก หรือ ปลายจมูกเด็ดขาด ให้เพียงแต่ว่า รู้ว่ามีลมหายใจก็พอ ***ไม่ต้องไปรู้ว่า ลมกำลังไหลเข้า หรือ ลมกำลังไหลออก *** ลมหายใจจะอยู่ที่ไหนก็ได้ หรือ จะเป็นว่า ไม่รู้ว่า ลมหายใจไม่รู้อยู่ที่ไหนก็ได้ ***** . เมื่อท่านทำได้ ท่านกำลังเข้าสู่สภาวะของพาหิยะแล้ว >>> 1...ตาเนื้อเห็นภาพมัว ๆ ก็คือ สักแต่ว่าเห็น >>> 2...หูได้ยินเสียงเพลงบรรเลง ที่ไม่ได้สนใจ สักแต่ว่าได้ยิน >>> 3...การลูบทีท้ายทอยแบบสบาย ๆ ก่อให้เกิดสักแต่ว่าผัสสะขึ้น >>> 4.. การสร้างเหตุข้อ 1 / 2 / 3 จะทำให้เกิดสติที่สามารถรู้ลมหายใจได้เอง (ข้อ 4 นี้ ท่านอย่าลืมว่า อย่าไปสนใจลมหายใจว่าไหลเข้าหรือออก หรือลมอยู่ที่ไหน เด็ดขาด เพราะถ้าท่านไปรู้ดังกล่าว จะทำให้เกิดความคิดขึ้น แล้ว อาการของพาหิยะ จะไม่เกิดขึ้น ) >> เมื่อ มีการรู้ ครบ ทั้ง 4 อย่างขึ้นที่รู้แบบสักแต่ว่า สภาวะแบบพาหิยะ จะเกิดขึ้นทันที
Create Date : 09 สิงหาคม 2565
Last Update : 9 สิงหาคม 2565 10:38:11 น.
0 comments
Counter : 393 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****